1 พ.ค. 2021 เวลา 08:01 • ท่องเที่ยว
เด็กบ้านนอกออกเที่ยว : มาชู-ปิกชู ภูเขาสายรุ้ง คุสโก เปรู 4
เช้าวันนี้หลังจากกินอาหารที่ โรงแรมเตรียมไว้ให้เสร็จแล้ว พวกเรารีบลงมารวมตัวกันข้างล่างขึ้นรถ ที่มาจอดรอแต่ฟ้ายังไม่สว่าง อากาศด้านนอกยังคงเย็น บวกกับมีลมโชยๆ ที่คุสโกหกโมงเช้าฟ้ายังไม่สว่างมากนัก แต่ก็มีรถราเริ่มวิ่งกันหนาตา ผู้คนเริ่มออกมาทำธุระประปรังกันแล้ว
รถตู้ของเราออกจากหน้าโรงแรม เดินทาง มุ่งหน้าสู่ ' Vinicanca Rainbow Mountain' 'ภูเขาสายรุ้ง 'ที่อยู่ในเทือกเขาแอนดีส แหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง ของเปรู ที่เกิดจากการทับถมกันของแร่ธาตุต่างๆ จนทำให้เกิดสีสันแปลกตา อยู่ตอนใต้ของเมือง คุสโก นั่งรถออกไปประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆ ผ่านเมืองเล็กๆน่ารักๆ ชุมชน หมู่บ้าน สองข้างทาง ที่ตั้งอยู่เป็นระยะ
ธรรมชาติสองข้างทาง ยังอุดมสมบูรณ์ ป่าไม้ สลับกับไร่ข้าวโพด และพืชที่เหมาะกับอากาศหนาว ปลูกอยู่สองข้างทาง กับบรรดาเหล่า อัลปาก้า และลามะ ที่และเล็มหญ้า อยู่สองข้างทางเป็นฝูง
รถวิ่งตามทาง สลับไหล่เขาค่อยๆชันขึ้นไปเรื่อยๆ เริ่มเห็นภูเขาสีแปลกตาโผล่มาให้เห็น ทั้งสีเขียว สีน้ำตาล ออกแดง สลับกัน
จนรถของเราวิ่งมาถึงจุดพักรถ และที่จำหน่ายบัตร (คนละ 10 pen) แล้วยังต้องนั่งรถต่อไปอีกสักพัก ไต่ระดับขึ้นเขาไปจนถึงลานจอด
จากจุดนี้ ใครที่สะดวกเดินขึ้นเขาไปก็สามารถเดินได้ ด้วยระยะทางประม่ณ 5 กิโลเมตร หรือใครจะขี่ม้า ที่มีให้บริการพร้อมคนจูงก็ได้ ราคาไป-กลับ 80 โซล ประมาณ 800 บาท
พวกเราทุกคนพร้อมกันใช้บริการ ม้า เพื่อเป็นการไม่เสียเวลามากในการเดินทาง และเพื่อประหยัดพลังงานด้วย เพราะเราอยู่ในพื้นที่ที่สูง 5200 ม.จากระดับน้ำทะเล อ็อกซิเจนก็น้อย จะทำให้เหนื่อยง่าย ทุกการเดินต้องค่อยเป็นค่อยไป ช้าๆ เนิบๆ
เช็คความพร้อมของม้ากับคน
สองข้างทางที่ผมขี่ม้าขึ้นไปตามไหล่เขา ด้านซ้ายเป็นหุบ ที่ลึกชัน ส่วนด้านขวาเป็นแนวเขา มีคนที่เดินขึ้นเขาแถวเรียงหนึ่ง เป็นทางยาว ขนานกับทางของม้าที่พวกเราใช้บริการ
ทางเดินของม้า กับคน ขนานกันเพื่อขึ้นไปยัง ภูเขาสายรุ้ง
เกือบครึ่งชั่วโมง ที่คนจูง ทั้งเดินสลับวิ่ง เพื่อทำรอบ กลางทาง จะมีรางน้ำไว้ให้ม้าได้พักกินน้ำ สวนทางกับคนที่กำลังลงจากเขาที่เห็นอยู่ประปราย
รางน้ำสำหรับให้ม้าแวะกินกลางทาง
พอมาถึงจุดพักม้า ก่อนจะถึงจุดชมวิว ที่สามารถมองเห็น ภูเขาที่เรียงตัวกันหลากสี ผมและน้องๆ ลงมาถ่ายรูปกัน ท้องฟ้ายังโปร่ง มองเห็นทิวทัศน์ได้ชัดเจน อากาศรอบๆตัว เย็นขึ้น และลมเริ่มแรง
จุดพักม้า และร้านชาเล็กๆ
มีจุดที่เป็นร้านขาย ชา เล็กๆ ที่ก่อสร้างด้วยหินซ้อนกันเพื่อบังลม อย่างง่ายๆ อยู่ สองสามร้าน เพื่อบริการนักท่องเที่ยว ดื่มเพื่อให้ความอบอุ่น
พอมากันครบทุกคน พวกเราก็เดินขึ้นไปยังจุดชมวิว ที่อยู่ห่างขึ้นไปประมาณ 5-6 ร้อยเมตร ทางค่อนข้างชัน แต่ก็มีเสาไม้ ขึงเชือกปักไว้ให้จับ กับลื่น
ผมเดินขึ้นไปได้ประมาณร้อยกว่าเมตร เริ่มเอะใจ เพราะมองไม่เห็น' หนู 'แฟนผม ที่ตอนแรกยังเดินอยู่ข้างๆกันตอนที่เริ่มเดินขึ้น พอหันไปมอง เห็น เธอ ยืนหนาวกอดอก อยู่ด้านล่าง พร้อมโบกมือให้
แนวเขาสายรุ้งที่มองจากด้านข้าง
สายลมจากที่พัดเบาๆเริ่มแรงขึ้น และมีฝนตกปรอยๆ ทำให้อากาศที่หนาวอยู่แล้ว กลายเป็นหนาวมากขึ้นไปอีก
ผมย้อนลงไปด้านล่าง เพื่อเช็คอาการของ หนู ที่ยืนหนาวสั่นอยู่ ยิ่งมีฝนลงมาด้วยยิ่งทำให้เธอมีอาการหนาวสั่นมากกว่าเดิม
รูปจากน้องๆที่ขึ้นไปยังจุดชมวิว ภูเขาสายรุ้ง
เหมือนฟ้าฝนไม่เป็นใจ ที่หลังจากฝนลงมา ตอนนี้กลายเป็นหิมะตกลงมาด้วยพร้อมกับลมที่แรงขึ้น แฟนผมยังคงตัวสั่น ปากสั่น แต่ยังบอกให้ผมเดินขึ้นไปข้างบน ไม่ต้องห่วงเธอ ไอ้ใจเราก็อยากจะขึ้นไป เพราะไหนๆก็มาถึงขนาดนี้แล้ว เหลืออีกไม่กี่เมตร แต่ใจก็อดเป็นห่วงแฟนไม่ได้ เลยตัดใจ ไม่ขึ้นไปชมวิวข้างบน เพราะถ้าขึ้นไปแล้ว แฟนเป็นอะไรไป คงได้ไม่คุ้มเสียแน่ๆ
สายฝน และหิมะเริ่มลงด้านหลังคือร้านชา และที่ไกลสุดตาคือจดชมวิวที่ต้องเดินขึ้นไปอีก 600 ม.
ผมพาแฟนเดินไปที่ร้านขายชา เพื่อซื้อมาดื่ม เพิ่มความอุ่นให้ร่างกาย หลังจากที่พายุหิมะพัดมาอย่างแรง เพิ่มดีกรีความหนาวให้กับนักท่องเที่ยวที่ยืนอยู่บริเวณนั้น ต่างมายืนล้อมร้านขายชา เพื่อหาความอุ่นให้ร่างกาย
ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีหลังจากดื่มชาเสร็จ ผมตัดสินใจชวนแฟนลงจากเขา โดยที่ไม่ต้องรอ พรรคพวก ที่ขึ้นไปด้านบน เพราะขืนอยู่ อาจมีช็อคแน่ เพราะเสื้อผ้าที่แฟนสวมใส่มา ไม่หนาพอ และมาเจออากาศเปลี่ยนกะทันหันแบบนี้เดี๋ยวร่างกายปรับไม่ทัน
เราเรียกคนจูงม้ามาตกลงราคา เพราะตอนที่ขึ้นมาเราใช้บริการแบบเที่ยวเดียวคือ 50 โซล ถ้าเหมาไป กลับ ราคาจะลดเหลือ 80 โซล แต่เราไม่แน่ใจว่าจะอยู่ข้างบนนานขนาดไหน คนจูงม้าจะรอเราไหม เพราะเขาอยากทำรอบ อีกอย่าง เราจำหน้าเขาไม่ได้ เพราะเขาแต่งตัวคล้ายกัน และมีอยู่กันหลายคน
ผมให้แฟนผมขี่ม้าลงมาก่อน ผมขี่ตามหลังมา พอม้าผม เดินออกจากจุดพักม้าได้ไม่เกินสองร้อยเมตร คนจูงม้าผม เห็นม้าพรรคพวกมีปัญหา เลยส่งสัญญาณสื่อสารจะเข้าไปช่วย ว่าแล้ว พี่แกก็ปล่อยเชือกม้าตัวที่ผมขี่อยู่ ใจผมนี่เต้นตุ๊บๆ จินตนาการไปโน่นเลย กลัวม้ามันจะวิ่งเตลิด เพราะไม่มีคนคอยจับเชือก ถ้าเป็นเยี่ยงนั้น ผมตั้งใจไว้แล้วว่า โดดแน่ๆ เดชะบุญ ม้ามันคงเหนื่อย มันเลยยืนอย่างสงบ มีขยับตัวไปมาบ้าง ไม่ดื้อเหมือนที่คิดไว้ ( เด็กบ้านนอกอย่างเราเคยขี่ควายมาแล้ว ถ้ามีอะไรคงได้ใช้วิชากันบ้างละ )
ม้าตัวที่มีปัญหา มีคนจูงม้าอยู่สามคน รวมคนจูงม้าผมด้วย กำลังช่วยกันผลัก ดันน้องผู้หญิงให้ขึ้นหลังม้า ไอ้เจ้าม้าดันตัวเล็ก น้องผู้หญิงก็ตัวใหญ่มาก พอดันให้ขี่หลังได้ ม้ามันไม่ยอมเดิน ทั้งจูงทั้งตี ยังไงมันก็ไม่เดิน จนคนจูงม้าผม ส่ายหัว แล้วเดินไปบอก การ์ด ที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก ให้วิทยุบอก ให้คนส่งม้าตัวใหม่มาให้น้อง ที่น่าจะเดินลงไม่ไหว
ผมลงมาถึงด้านล่าง ใกล้กับจุดจอดรถ หิมะ ยังคงทำหน้าที่ของมัน ลงมาเรื่อยๆ พร้อมกับลมที่พัดแรงต่อเนื่อง ผมเดินไปร้าน ขายน้ำที่อยู่ใกล้กับที่จอดรถ ซื้อโค้ก มาสองขวด แบบไม่ต้องแช่เย็น พร้อมกับ ช็อคโกแล็ต อีกกำมือ เอามาให้แฟนกิน เพื่อเพิ่มน้ำตาล ให้ร่างกายอุ่นขึ้น (อ่านเจอตามสื่อ ว่าน้ำตาลช่วยให้อบอุ่นได้ )
โค้ก เปรู แบบไม่ต้องแช่เย็น ช่วยได้เยอะ
หิมะหยุดตก หลังจากที่เราลงมายังจุดจอดรถได้เกือบยี่สิบนาที ร่างกายที่อุ่นขึ้นจนกลับมาปกติของแฟนผม ทำให้เราทั้งคู่สบายใจไม่กังวลกลัวกับอาการที่เป็นอยู่ก่อนหน้านี้ พรรคพวก เริ่มทยอยลงมา ไถ่ถามอาการ อย่างเป็นห่วง
แนวเทือกเขาแอนดีส
หลังจากลงมากันครบ' ชักภาพ' เป็นที่ระลึกแล้ว เราขึ้นรถ บึ่งกลับโรงแรมทันที โดยไม่ได้แวะพักเลย พอมาถึงโรงแรมพักผ่อนอาบน้ำ แล้วหัวค่ำเราออกมาเดินเที่ยวในตัวคุสโก เพื่อหาอาหารใส่ท้องกัน
หลังจากนั้นขากลับ เดินชมบรรยากาศกลางคืนในตัวเมือง คุสโก สะดุดตา กับถนนเส้นหนึ่ง ที่เห็นมีคน ยืนมุงกันเยอะ เลยแวะดู คนรอต่อคิว ถ่ายรูปกับ' ก้อนหิน' ข้างกำแพง ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่าหินก้อนนี้มันสำคัญยังไง คนถึงต้องต่อแถวรอถ่ายรูปกันขนาดนั้น
ก้อนหินก้อนนั้น
ด้านข้างกำแพงนั้น มีชายกลางคน แต่งตัวแบบชนเผ่า อินคา สมัยโบราณ ยืนให้นักท่องเที่ยว ได้ถ่ายรูป คู่กับกำแพงหิน ที่มีหินลักษณะพิเศษก้อนนั้นด้วย
จนพวกเราเดินกลับโรงแรมแล้วแยกย้ายเข้าห้องพักผ่อน พร้อมกับรอฟังข้อมูลว่าหินก้อนนั้นแตกต่างจากหินก้อนอื่นอย่างไร จากน้องที่อาสาหาข้อมูลให้ในตอนเช้า
พอรุ่งเช้า วันสุดท้าย ตามโปรแกรมวันนี้เราจะออกเดินเที่ยวเก็บตก รายละเอียดในตัวเมือง คุสโก กัน
เริ่มจากตลาดขายของที่ระลึก ที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักมากนัก พอเดินเข้าสู่ถนนหน้าตลาด มีกลุ่มวัยรุ่น ชาวเปรู วิ่งมาขอถ่ายรูป กับน้องๆในกลุ่ม เราก็สงสัยกันว่าเกิดอะไรขึ้น หรือเข้าใจอะไรผิด เพราะดูอาการน้องๆวัยรุ่นกลุ่มนี้ ตื่นเต้นมากที่เห็นกลุ่มพวกเรา
แฟนคลับ วัยรุ่นเปรู มาขอถ่ายรูป
หรืออาจเพราะเรามาจากทางเอเชีย ซึ่งจะไม่ค่อยมีคนเอเชียเดินทางมาที่อเมริกาใต้มากนัก หรือ คิดว่า พวกเรามากับกลุ่มศิลปิน เกาหลี ที่มีคิว มาแสดง ที่เปรู พอดี กับที่เรามา เพราะวันที่เราเดินทางมาถึง ที่สนามบิน ผมเห็นแฟนคลับ ศิลปินเกาหลี มายืนออ รอต้อนรับนักร้องนักแสดงที่สนามบินเยอะมาก
พอถ่ายรูปกับแฟนคลับเสร็จ (555)พวกเรายังมีแซวน้องๆ ในกลุ่มพร้อมกับเดินดูของที่ตลาด พร้อมกับแวะชิม น้ำผัก-ผลไม้สดๆ ที่มีขายกันเยอะมากตามตลาด(อาจเป็นเพราะ ผัก ผลไม้ของ ที่นี่ปลูกกันเยอะ เลยเอามาสกัดแยกกากขายในลักษณะนี้ รสชาดอร่อยมาก)
หลังจากนั้นเราเดินแวะถ่ายรูปที่ ' จตุรัสอาร์มาส ' Plaza de Armas ' ที่เป็นจุดศูนย์กลางของเมือง คุสโก ที่ ยูเนสโกยกให้เป็น' มรดกโลกทางวัฒนธรรม' ในปี 2526 น้ำพุที่มีอนุสาวรีย์ของผู้ก่อตั้งเมือง และรายล้อมด้วยโบสถ์ วิหาร อาคารบ้านเรือน ในสมัยอินคา และ สมัยที่สเปน เข้ามาปกครอง ให้นักท่องเที่ยว ได้เดินชม ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก อยู่รอบๆลานกว้าง
จตุรัส อาร์มาส เมืองคุสโก
เราช็อปปิ้งได้ของตามที่บรรดาเพื่อนๆฝากซื้อ และ มีน้องในกลุ่มซื้อกลับมาขาย ให้กับ คนที่สนใจ ของที่เปรู หลายอย่าง ทั้งกระเป๋าทอมือ เสื้อผ้า พวงกุญแจ เข็มกลัด จนได้เวลากลับ โรงแรม
ของที่ระลึก และ มาม่า เจ้าของร้านผู้ใจดี
เราเดินทางแต่เช้าตรู่ เพื่อไปสนามบิน รอต่อเครื่องเหมือนที่เดินทางมา มีเหตุการณ์ตื่นเต้นที่สนามบิน ที่ ลิมา เพื่อต่อเครื่องเข้าไปอเมริกา หลังจากตรวจเอกสารทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว และรอขึ้นเครือง ผม และ พี่อีกคน ในกลุ่ม ถูกประกาศชื่อขึ้นบอร์ด ให้ไปจุดตรวจทางด้านหน้าทางขึ้นเครื่อง
ผมและพี่ 'ม้ง'และชายผิวสีอีกสองคน ถูกตรวจ ค้นตัว แบบละเอีนดยิบที่ด้านหน้าเกท ต่อหน้าสาธารณชน ที่มองมาด้วยสายตาประมาณว่า ' พวกมึงขนยาเสพติดแน่ๆ ' ' พวกมึงขนของผิดกฎหมายแน่ๆ 'ผมดูสายตาคนที่กำลังมองมาออก 555 พลันนึกถึง เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดที่ผมอยากได้เอามาปลูกที่บ้านเรา ถ้าผมเอามาด้วยคงเป็นเรื่องแน่
หลังจากตรวจแล้วไม่พบเจอสิ่งผิดกฎหมาย ผม พี่ม้ง และอีกสองคน ก็ได้อภิสิทธิ์เชิญให้ขึ้นเครื่องก่อนชาวบ้าน และได้คำตอบจากการสอบถามมาว่า จะมีการสุ่มตรวจ ผู้โดยสารขาเข้าอเมริกา ที่เดินทางมาจากอเมริกาใต้เป็นประจำ เพราะมีการลักลอบขนของผิดกฎหมายบ่อยๆ(น่านไง)
เราเดินทางมาต่อเครื่องอีกสองจุด ทั้งอเมริกา และ ฮ่องกง ก่อนถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพ
**จบแล้วครับ กับการเดินทางท่องเที่ยวที่น่าจะไกลที่สุดในชีวิต ของผม
#เด็กบ้านนอกออกเที่ยว
ชอบกดไลค์ ถูกใจกดแชร์ได้นะครับ
** ก้อนหินก้อนนั้น แตกต่างจากก้อนอื่น เพราะ มีด้าน เหลี่ยม มุม ถึง 12 จุดโดยธรรมชาติ แล้ว เอามาตกแต่งเพิ่มสร้างเป็นกำแพง ที่ลงตัวกับหินก้อนอื่นๆที่อยู่รอบตัวมัน
***เราใช้เวลาในการเดินทาง ไป-กลับ เกือบ สี่วัน เพราะ เราเผื่อเวลา ในการ เปลี่ยนไฟล์ทบินด้วย กลัวตกเครื่อง หาก มีการดีเลย์ และ เผื่อสำหรับ ได้เที่ยวระหว่างเปลี่ยนไฟล์ทเป็นของแถม
ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้นะครับ
โฆษณา