29 มี.ค. 2021 เวลา 03:00 • หนังสือ
“การอ่านคือรากฐานที่สำคัญ”
ผมชอบประโยคสโลแกนด้านบนที่ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการอ่านของแพรวสำนักพิมพ์มากนะครับ
.
จะว่าไปการอ่านหนังสือก็คงคล้ายกับการออกกำลังกายอยู่เหมือนกัน คล้ายตรงที่ว่าทุกคนรู้ว่ามันดีต่อตัวเองและสามารถทำได้จริง แต่เลือกที่จะไม่ทำ..
ผมเองเข้าใจดีถึงความยากลำบากในการที่จะเริ่มอ่านหนังสือสักเล่มอย่างจริงจัง วันนี้ผมเลยมีเรื่องของคนรักการอ่านคนหนึ่งมาเล่าให้ฟังครับ เผื่อว่าฟังแล้วคุณอาจจะรู้สึกอยากอ่านมากขึ้นอีกนิด
.
.
เรื่องที่จะเล่าวันนี้เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมีชื่อว่าพลอย สโรชา กิตติสิริพันธุ์ครับ
.
พลอยเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมากๆ โดยสิ่งที่จุดประกายให้เธอคือเรื่องเกี่ยวกับพงศาวดารและลิลิตที่เธอได้เรียนในสมัยที่เธออยู่มัธยมปลาย เธอชอบและสนใจในวรรณคดีตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ความฝันสูงสุดของเธอคืออยากเขียนหนังสือ แต่เธอก็รู้ว่านั่นเป็นสิ่งที่ใหญ่เกินตัวของเธอไปมากและรู้ดีว่าความฝันนั้นคงทำให้เป็นจริงได้ยาก แม้อย่างนั้นเธอก็ยังตัดสินใจเข้าเรียนต่อที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในคณะอักษรศาสตร์เพื่อสานต่อความรักและความชอบของเธอที่มีต่อการอ่านและเขียนหนังสือ
ระหว่างที่เรียนอยู่นั้นเธอได้มีโอกาสไปฝึกงานที่สำนักพิมพ์ผีเสื้อ ที่นั่นเธอได้ทำงานด้านบรรณาธิการ และได้อ่านหนังสือเป็นร้อยๆเล่ม นี่ทำให้เธอรักหนังสือมากเข้าไปใหญ่..
.
เธอเรียนจบด้วยการได้รับเกียรตินิยมอันดับที่ 1 และล่าสุดเธอก็สามารถทำความฝันให้สำเร็จได้ด้วยการออกหนังสือของตัวเองเล่มแรกกับสำนักพิมพ์ผีเสื้อในปี 2015 และในเวลาต่อมาก็ได้ออกงานเขียนอีก 2 เล่ม..
.
เล่ามาถึงตรงนี้ มีสิ่งหนึ่งที่ผมยังไม่ได้บอก..
.
พลอย สโรชา เป็นหญิงสาวตาบอดครับ
.
แม้ตาจะพิการแต่ใจของเธอไม่มืดบอดเลย.. เธอพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่าแม้แต่คนที่พิการทางสายตาก็ยังสามารถมีความสุขกับการอ่านหนังสือได้ และยังสามารถเขียนหนังสือให้คนตาดีอ่านได้ด้วย!
ขอขอบคุณภาพ พลอย สโรชา จาก https://mgronline.com/onlinesection/detail/9590000016590
.
ถึงตรงนี้คุณอาจจะบอกว่า ไม่ได้ไม่อยากอ่านนะแต่มันไม่มีเวลา แค่ทำงานทำนู่นทำนี่ก็หมดเวลาแล้ว
.
คุณรู้ไหมครับว่า Warren Buffett อ่านหนังสือมากกว่า 500 หน้าต่อวัน โดยเขาพูดถึงเรื่องนี้ว่า “ผมอ่านหนังสือ 500 หน้าต่อวัน นั่นคือวิธีการทำงานของความรู้ มันจะค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นเหมือนกับดอกเบี้ยทบต้น เราทุกคนสามารถทำได้ แต่ผมการันตีได้เลยว่ามีไม่กี่คนที่ทำจริงๆ”
Bill Gates ในสมัยที่ยังทำงานอยู่ที่ Microsoft และมีงานยุ่งมากๆ เขาก็ยังอ่านหนังสือมากถึง 50 เล่มต่อปี
Elon Musk เองก็เล่าว่าตอนที่ขาย เพย์พาล (Paypal) เขาได้เงินมาทั้งหมด 180 ล้านเหรียญสหรัฐ และคิดว่าถ้าใช้เงินซัก 90 ล้านเหรียญในการซื้อจรวด ไอซีบีเอ็ม (ICBM – Intercontinental Ballastic Missile) จากรัสเซีย เขาอาจจะจุดประกายและสร้างแรงบันดาลใจในการเดินทางสำรวจดาวอังคารได้
ณ จุดนี้ Elon ถูกถามถึงความรู้เกี่ยวกับจรวดของเขา
Elon ก็ตอบว่าเขาไม่เคยมีความรู้เกี่ยวกับจรวดมาก่อน และพูดต่อว่า “ผมก็แค่เริ่มอ่านหนังสือ”
และนั่นล่ะครับ อย่างที่เราเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่ Space X
เขาคนนี้สร้างจรวดได้จากการอ่านหนังสือจริงๆครับ
.
สรุปว่า แม้แต่คนที่ยุ่งมากที่สุดในโลกก็ยังมีเวลาอ่านหนังสือ
แล้วคุณเป็นใครถึงบอกว่าไม่มีเวลาอ่านหนังสือ?
.
ผมคิดว่าที่จริงแล้วคุณคงจะมีเวลาแต่คุณไม่อยากอ่านมากกว่า แต่ลองคิดดูนะครับ ถ้าคุณลดเวลาการเล่มเกม, ดูโทรทัศน์ และเล่นมือถือลงสักนิด แล้วเปลี่ยนมาอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นแค่วันละ 10 หน้า
เดือนนึงคุณก็จะอ่านได้มากถึง 300 หน้า
ด้วยอัตราเท่านี้ คุณจะสามารถอ่านหนังสือเล่มหนาอย่าง Sapiens จบได้ในระยะเวลาเดือนครึ่ง
และอ่าน Principles จบในเวลา 2 เดือน!
.
สุดท้ายนี้ผมแค่อยากเขียนบทความนี้ขึ้นเพื่อกำจัดข้ออ้างในการอ่านทั้งหมดของคุณ แต่ถ้าอ่านบทความนี้จบแล้วยังไม่รู้ว่าจะอ่านหนังสือไปทำไม ลองอ่านข้อความนี้
.
“There is no more profitable investment than investing in yourself. It is the best investment you can make; you can never go wrong with it. It is the true way to improve yourself to be the best version of you and lets you be able to best serve those around you.”
- Roy T. Bennett, The Light in the Heart
.
และหนึ่งในการลงทุนกับตัวเองที่ง่ายที่สุดก็คือการอ่านหนังสือสะสมความรู้นั่นเอง
.
อ่านบทความนี้จบแล้ว ลองเลือกหนังสือที่ชอบ อ่านให้สนุก อ่านให้มีความสุข และอย่าหยุดพัฒนาตัวเอง
มามีความสุขกับการอ่านกันนะครับ
.
จุ้ย-ศรีแก้ว
**ขอบคุณที่อ่านบทความนี้จนจบ คิดเห็นอย่างไรแบ่งปันกันได้ด้านล่างเลยครับ
โฆษณา