29 มี.ค. 2021 เวลา 07:46 • หุ้น & เศรษฐกิจ
INDEGO Exclusive Content EP.6
เจาะลึกปรัชญาแห่ง ARK
วินาทีนี้ต้องยอมรับว่าเป็นช่วงเวลาทองของ ARK Invest อย่างแท้จริง โดยในปี 2020 ที่ผ่านมา ARK ได้บริหารจัดการกองทุน ETF ติดอันดับ Top 10 ของโลกทั้งสิ้น 3 กอง ได้แก่ ARK Genomic Revolution ETF, ARKG (อันดับ 1 ผลตอบแทน 185.32%) ARK Next Generation Internet ETF, ARKW (อันดับ 4 ผลตอบแทน 150.77%) และ ARK Innovation ETF, ARKK (อันดับ 6 ผลตอบแทน 148.25%)
โดยกลยุทธ์ของ ARK คือ ใช้วิธีการบริหารแบบเชิงรุก หรือ Active ซึ่งสวนทาง ETF ส่วนใหญ่ที่ใช้วิธีการบริหารแบบ Passive โดยผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ ARK คือ Cathie Wood หญิงแกร่งชาวมะกัน ผู้เป็นทั้ง CEO และ CIO ของ ARK ซึ่งตัดสินใจลาออกจากการเป็น CIO ของ AllianceBernstein และทำการก่อตั้ง ARK ในปี 2014
ARK ย่อมาจาก Active Research Knowledge โดย ARK เชื่อว่านวัตกรรม คือ กุญแจสำคัญในการเติบโตของรายได้และผลกำไรของบริษัทในระยะยาว และมองหาผู้นำโลกยุคใหม่ที่สามารถหาผลประโยชน์และสร้างกำไรได้จาก Innovation และมีความสัมพันธ์ หรือ Correlation ที่ต่ำเมื่อเทียบกับกลยุทธ์การลงทุนแบบดั้งเดิม
ARK จะเน้นที่การเติบโตระยะยาว และไม่สนใจความผันผวนในระยะสั้น โดยมองว่าเมื่อหุ้นตกนั้นคือโอกาส ARK เน้นลงทุนใน Theme ที่จะเข้ามา Disrupt โลกยุคใหม่ พร้อมทั้งรวบรวมบุคลากรจากมากมายหลายสาย ไม่เพียงแต่สายการเงินเพื่อความหลากหลายทางวิชาชีพและความเชี่ยวชาญอย่างเฉพาะทางในการวิเคราะห์ที่แม่นยำ รวมถึงเน้นสร้างองค์กรที่เปี่ยมไปด้วยบุคลากรที่อายุไม่เยอะที่เปี่ยมไปด้วย Passion
ARK ได้ผสมผสานเทคนิคการ Top Down และ Bottom Up เข้าด้วยกันเพื่อเฟ้นหาหุ้น โดยกระบวนการ Top Down เริ่มจากการเปิดอิสรภาพทางความคิดเพื่อระดมไอเดียจากคนในทีมว่าโลกกำลังเปลี่ยนไปในทิศทางใด และจะมี Theme อะไรที่เข้ามาเปลี่ยนโลกบ้าง รวมถึงมีการหาไอเดียจากสื่อ Social Media และเมื่อหา Theme ได้แล้วจะใช้บุคลากรผู้เชี่ยวชาญทางนั้นเข้ามาร่วมวิเคราะห์หาโอกาสการลงทุน ส่วนการ Bottom Up นั้น ARK จะไม่สนใจการลงทุนตาม Benchmark และจะประเมินศักยภาพการสร้างรายได้และกำไร แนวโน้มค่าใช้จ่าย ส่วนแบ่งทางการตลาดและโอกาสการเติบโต รวมถึงมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นตัวนั้นๆ ในอนาคตข้างหน้าอีก 5 ปี ซึ่งท้ายที่สุดการตัดสินใจจะต้องได้รับการยอมรับจาก Cathie Wood นอกจากนี้หลังจากเลือกหุ้นได้แล้ว ARK จะทำการติดตามหุ้นตัวนั้นๆ ในการประชุมทุกสัปดาห์เพื่อพิจารณาว่าควรเพิ่มหรือลดสัดส่วนมากเพียงใด โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานและความสามารถในการเติบโตระยะยาวเป็นหลัก
นอกจากนี้ ARK ยังไม่หยุดยั้งและตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านการลงทุนในนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2021 นี้ สิ่งที่ ARK คิดว่าเป็นกุญแจสำคัญที่จะเข้ามาเปลี่ยนโลกเรา ได้แก่
1. Deep Learning
“เหนือกว่ามนุษย์ คือ AI และเหนือกว่า AI คือ AI ที่ฉลาดกว่าเดิม” โดย Deep Learning คือการทำให้ AI สามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ด้วยตัวเองโดยใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ซึ่งจะก่อให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างมหาศาล ตามมา เช่น รถยนต์ไร้คนขับ และ Smart Speaker เป็นต้น
2. The Re-Invention of the Data Center
“ยกระดับขีดจำกัดของสมอง” เมื่อ CPU เปรียบเสมือนสมองของ Computer แต่เมื่อสมองนั้นถูกยกระดับให้เหนือกว่าเดิมจึงนำไปสู่ความชาญฉลาดและพัฒนาการที่มากยิ่งขึ้น โดยทั่วไปแล้วคอมพิวเตอร์ที่เรามักใช้กันจะเลือกใช้ชิปสถาปัตยกรรม x86 จากบริษัท Intel อย่างไรก็ตามขีดความสามารถในการผลิตชิปของ Intel เริ่มล้าหลัง ส่งผลให้นักพัฒนาจากหลายๆ บริษัท เช่น Apple Microsoft รวมถึง Amazon ก็ได้หันมาพัฒนาสถาปัตยกรรมใหม่ที่เรียกว่า ARM หรือ Advanced RISC Machine ที่มีขนาดเล็กลง ประมวลผลได้รวดเร็วกว่าและราคาถูกกว่าเข้ามาแทนที่ ซึ่งจะทำให้การต่อยอดสู่การพัฒนา Devices ที่มีขนาดเล็กแต่ชาญฉลาดทำได้ง่ายขึ้น
3. Virtual Worlds
“จะดีกว่าไหมหากเราเลือกเกิดได้” ในโลกเสมือน หรือ โลกแห่งเกม เราสามารถเป็นใครคนที่พิเศษได้แบบไร้ขีดจำกัดตามที่เราอยากจะเป็น โดยหากเราเข้าไปอยู่ในพื้นที่ๆ เรามีความสุข ทำให้เรามีแนวโน้มใช้เวลาอยู่กับโลกเสมือนมากขึ้น และมีโอกาสใช้เงินจริงเพื่อซื้อสินค้าในโลกเสมือนหรือเกมเพื่อความมีตัวตนและการเป็นที่ยอมรับจากผู้อื่น และทำให้ผู้พัฒนาสามารถต่อยอดไปสู่การคิดค้นอุปกรณ์ Augmented Reality (AR) หรือการสมมุติสิ่งของบนพื้นที่จริง รวมถึงอุปกรณ์ Virtual Reality (VR) หรือการสร้างสภาพแวดล้อมในโลกเสมือน ซึ่งทาง ARK มองว่าเทคโนโลยีดังกล่าวยังมีขีดจำกัดในปัจจุบัน แต่จะมีความสมจริงมากขึ้นและสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้ในช่วงปี 2030
4. Digital Wallets
“สังคมไร้เงินสดสะดวกสบายเป็นไหนๆ” ทุกวันนี้เราลดการเข้าสาขาของธนาคารลงและใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันอย่าง K PLUS, SCB Easy หรือแม้กระทั่ง เป๋าตัง แต่ในระดับสากลนั้น มีบริษัทจำนวนมากที่ผันตัวมาเป็นธนาคาร เมื่อเราสามารถใช้จ่ายผ่าน Alipay, WeChatPay รวมถึง Grab Pay ได้แล้ว ซึ่งไม่เพียงแค่การใช้จ่าย แต่ยังต่อยอดไปสู่บริการต่างๆ มากมาย เช่นการขอสินเชื่อ รวมถึงการลงทุน
5. Bitcoin Fundamentals
“เมื่อ Bitcoin ไม่ใช่แค่เรื่องสมมุติ แต่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง” โดย ARK มองว่าที่ Bitcoin ราคาขึ้นมาแรงในรอบนี้มีปัจจัยพื้นฐานมารองรับสะท้อนผ่านการที่สถาบันต่างๆ เริ่มยอมรับสกุลเงินคริปโตมากขึ้น ขณะที่บริษัท Paypal ก็ได้อนุญาตให้สามารถซื้อขายสกุลเงินคริปโตในแพลตฟอร์มได้ และบางบริษัท เช่น Square ก็ได้เลือกกระจายการลงทุนมาใน Bitcoin เช่นกัน และหากในอนาคตบริษัทอื่นๆ เลือกพิจารณาที่จะนำ Bitcoin มาเป็นทางเลือกในการลงทุนเพื่อบริหารสินทรัพย์จะทำให้มูลค่าของ Bitcoin นั้นเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
6. Bitcoin: Preparing For Institutions
“เมื่อใครๆ ต่างก็สนใจ Bitcoin” ไม่ว่าจะเป็น Regulator ธนาคาร นักลงทุนสถาบัน รวมถึงบริษัทเอกชนเริ่มหันมาให้ความสนใจและศึกษาเกี่ยวกับ Bitcoin มากขึ้น นอกจากนี้ Bitcoin ยังมีความสัมพันธ์ (Correlation) กับสินทรัพย์อื่นที่ต่ำจึงเป็นตัวเลือกในการกระจายการลงทุนที่น่าสนใจ พร้อมคาดว่ามูลค่าตลาด Bitcoin จะเพิ่มขึ้นจาก 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 1-5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายใน 5-10 ปีข้างหน้า
7. Electric Vehicles (EVs)
“รถไฟฟ้าทางเลือกใหม่ที่ใช่เลย” โดย ARK คาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะเพิ่มขึ้นจาก 2.2 ล้านคันในปี 2020 เป็น 40 ล้านคันในปี 2025 จากต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่ที่มีแนวโน้มถูกลงเรื่อยๆ และจะถูกพัฒนาเป็นรถยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Car) ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนถ่ายอำนาจแห่งอุตสาหกรรมยานยนต์สู่ผู้พัฒนายุคใหม่ เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์แบบดั้งเดิมจะขาดแคลนด้านความเชี่ยวชาญทางวิศวกรไฟฟ้ารวมถึงมีขีดจำกัดด้านระบบปฏิบัติการ
8. Automation
“หุ่นยนต์ผู้ช่วยเหลือ” หุ่นยนต์ไม่ได้มาทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่เข้ามาช่วยส่งเสริมการทำงานของมนุษย์ในแง่ของประสิทธิผลที่มากขึ้น รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายที่จะนำมาสู่กำไรที่มากขึ้น เช่นเดียวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่จะตามมา โดยคาดว่าระบบ Automation จะเข้ามามีบทบาทอย่างมากในอุตสาหกรรมโรงงานผลิตอาหาร รวมถึงระบบ Online Grocery
9. Autonomous Ride-Hailing
“Grab โฉมใหม่ ไร้คนขับ” ARK มองว่าในอนาคตหากเราใช้ระบบเรียกรถไร้คนขับจะมีต้นทุนที่ถูกกว่าการเป็นเจ้าของรถส่วนตัวเสียอีก เนื่องจากประหยัดต้นทุนค่าแรงของคนขับ โดยผู้นำในตลาดคงไม่พ้น Tesla ที่ใช้ระบบกล้องรอบคันซึ่งไม่ซับซ้อนและจะทำให้ Scale ได้ง่าย ส่วนบริษัท Waymo ของ Alphabet จะใช้ LiDAR ผสมกับ HD Map ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาสักพักใหญ่จนกว่าจะสามารถใช้ได้อย่างแพร่หลาย และมีอีกบริษัทที่น่าสนใจคือ Baidu ที่ผันตัวจากการทำ Search Engine มาตะลุยตลาด Autonomous Car และเป็นบริษัทที่รัฐบาลจีนเลือกมาเป็นผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแพลตฟอร์มรถยนต์ขับเคลื่อนเองได้ของประเทศ
10. Drone Delivery
“อยากได้ของไว ปัญหาหมดไป เมื่อมี Drone” ทุกวันนี้เราอาจคุ้นชินกับการใช้ Drone เพื่อเก็บภาพมุมสูงที่ไม่สามารถถ่ายได้จากมนุษย์ แต่ในอนาคต Drone จะเข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งในวงการซื้อของออนไลน์จากเทคโนโลยีการขับเคลื่อนเองอัตโนมัติ รวมถึงต้นทุนค่าแบตเตอรี่ที่ถูกลง และคาดว่าภายในปี 2030 การซื้อสินค้ากว่า 40% จะถูกขนส่งด้วย Drone
11. Orbital Aerospace
“อวกาศอยู่ใกล้แค่เอื้อม” โดย ARK มองว่าในอนาคตธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอวกาศจะไม่ได้ผูกขาดแค่จากภาครัฐแต่จะเป็นธุรกิจเสรีที่เปิดกว้าง ประกอบกับพัฒนาการทางเทคโนโลยี เช่น 3D Printing, Robotics จะทำให้ต้นทุนการผลิตจรวดและดาวเทียมถูกลง ซึ่งจะนำไปสู่การให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมที่ครอบคลุมพื้นที่ได้ทั่วโลก ด้วยต้นทุนที่ถูกลง รวมไปถึงการพัฒนา Hypersonic Flight หรือเที่ยวบินแบบเร่งด่วน ซึ่งลดระยะเวลาการเดินทางจากสหรัฐฯ ไปญี่ปุ่น ซึ่งเดิมทีใช้ประมาณ 13 ขม. เหลือเพียง 2-3 ชม.
12. 3D Printing
“การพิมพ์ที่เลือกได้ มิติใหม่แห่งภาคการผลิต” ในอดีตนั้นการผลิตอาจต้องใช้หลายขั้นตอนที่ยุ่งยาก เช่น การทำแม่พิมพ์ การหล่อวัตถุ หรือแม้กระทั่งการประกอบชิ้นส่วนต่างๆ แต่เมื่อมี 3D Printing จะช่วยให้การผลิตเป็นไปได้อย่างใจนึก และลดความซับซ้อนในการผลิต ซึ่งจะนำมาสู่การใช้วัตถุดิบที่น้อยลง และต้นทุนที่ถูกลง รวมไปถึงการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่อาจไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
13. Long Read Sequencing
“วินิจฉัยอย่างแม่นยำเพื่อประสิทธิภาพการรักษาที่ดีที่สุด” ในอดีตเรามักจะต้องป่วยก่อนจึงรักษา แต่ในอนาคตเราสามารถรักษาได้ก่อนป่วย ด้วยการถอดรหัสทางพันธุกรรม (Gene Sequencing) เพื่อหาโอกาสว่าจะเป็นโรคอะไรในอนาคต และหาทางป้องกันไว้ดีกว่าสายแล้วค่อยมาแก้ ซึ่งเทคโนโลยีการถอดรหัสทางพันธุกรรมนั้นถูกพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ จนมีการพัฒนาการอ่าน DNA แบบยาวหรือ Long Read Sequencing ที่มีความแม่นยำกว่าการถอดรหัสแบบ Short Read Sequencing หรือพูดง่ายๆ คือเห็นภาพกว้างขึ้นก็วินิจฉัยได้ดีขึ้น
14. Multi-Cancer Screening
“ตรวจมะเร็งลดการตาย” ในอนาคตเราจะสามารถตรวจมะเร็งได้หลากหลายชนิดเพียงแค่ทำการตรวจเลือด ซึ่ง ARK คาดว่าในปี 2025 จะมีค่าตรวจมะเร็งหลากชนิดต่อคนเพียง 250 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นราคาที่คนหมู่มากยอมจ่ายได้เพื่อลดโอกาสการเสียชีวิต
15. Cell and Gene Therapy: Generation 2
“เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกแก้ได้” โรคบางโรคเกิดจากพันธุกรรม ซึ่งไม่สามารถทำการรักษาได้ด้วยวิธีปกติ อย่างไรก็ตามพัฒนาทางการแพทย์ทำให้มนุษย์สามารถค้นพบการรักษาด้วยการทำ Gene Therapy หรือการเข้าไปเปลี่ยนโครงสร้าง DNA ที่มีความผิดปกติ ด้วยการตัดต่อโครงสร้าง DNA หรือนำเอา DNA ที่ปกติมาใส่แทนเพื่อแก้ไขให้กลับมาเป็นปกติเพื่อคุณภาพชีวิตที่สมบูรณ์
บทความโดย Winthemoney
Sources: ARK Invest, etf.com, Forbes
.
.
ซึ่งปรัชญาการลงทุนของ ARK นั้นชัดเจนว่าไม่ได้เลือกหุ้นที่จะเป็นผู้ชนะแค่ในปี 2021 แต่จะเป็นผู้ชนะในระยะยาวที่จะเข้ามา Disrupt โลกอนาคต ซึ่งเหมาะกับผู้ที่เน้นการลงทุนที่เติบโตอย่างมหาศาลแต่รับความเสี่ยงได้มาก โดยผู้สนใจลงทุนผ่านกองทุน ETF ของ ARK นั้นสามารถลงทุนผ่าน
- Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund ผ่านกองทุน TMB-ES-GINNO / T-ES-GINNO
- ARK Next Generation Internet ETF (ARKW) ผ่านกองทุน TNEXTGEN / WE-CYBER
- ARK Genomic Revolution ETF (ARKG) ผ่านกองทุน TGENOME
- ARK Innovation ETF (ARKK) ผสม ARK Genomic Revolution ETF (ARKG) ผ่านกองทุน LHINNO และ PWIN
- ARK Fintech Innovation ETF (ARKF) ผ่านกองทุน MFTECH
.
.
✅ สำหรับผู้สนใจลงทุนผ่านบริการของ INDEGO สามารถติดต่อลงทุนและสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
📧 อีเมล: support@robowealth.co.th
📞 โทร: 02-233-9995
🗓 ทุกวันทำการ จันทร์ - ศุกร์ เวลา 8:30 - 17:30 น.
#ยืนหนึ่งเรื่องกองทุนต้อง INDEGO
โฆษณา