30 มี.ค. 2021 เวลา 08:38 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
HANNIBAL series
อํามหิตอัจฉริยะ
7.9/10
ฉากการพูดคุยกันอย่างสม่ำเสมอของสองตัวเอก ที่เรามักจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในทุกๆ ครั้งของการสนทนา เป็นหนึ่งในฉากการพูดคุยช่วงท้ายซีรีส์ที่ตัวผู้เขียนชอบบรรยากาศของฉากนี้มาก ภาพจาก google.com
ต้องขอบอกก่อนเลยว่าได้ดูแต่ Hannibal ที่เป็นแบบ TV series และยังไม่ได้ดูหนังในตระกูลเดียวกันเลยซักเรื่อง555 เลยอาจจะมีบางส่วนที่อาจจะยังไม่เข้าใจแบบ 100% แต่คิดว่าคงจะไม่เป็นปัญหาอะไร
Hannibal เป็นซีรีส์สืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับการตามจับตัวฆาตกรโรคจิตที่กินมนุษย์เป็นอาหาร ผ่านมุมมองการ "จินตนาการ" ของสองตัวเอก "วิล" อาจารย์สถาบัน FBI ที่สอนเกี่ยวกับมุมมองความคิดของฆาตกร และ "ฮันนิบาล" หมอด้านจิตวิทยาชื่อดังพร้อมกันกับทีม FBI ที่ต้องช่วยกันสืบสวนหาความจริงจนเข้าไปพัวพันกับคดีที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายพวกเขาก็ถลำลึกลงไปจนถอนตัวไม่ขึ้น
ใครที่ได้ดูซีรีส์เรื่องนี้แล้วสามารถเข้าใจบทพูดของตัวละครได้อย่างถ่องแท้นั้น ผมขอยกย่องครับ5555 หนังมีความคลุมเครือในส่วนของบทพูดมากกกก มีแค่บางครั้งเท่านั้นที่ตัวละครหลักจะพูดกันอย่างตรงไปตรงมา บทพูดในเรื่องนั้นเป็นการหยิบยกบทกวี ปรัชญา คำคมต่างๆ ของทางฝั่งฝรั่งมาพ่นใส่กันไปมาดีๆนี่เอง มีการเปรียบเปรยพรรณนาสารพัดไม่ต่างจากงานภาพในเรื่องที่เหมือนกับภาพวาด แต่นี่คือซีรีย์ฆาตกรรมครับ ต่างจากซีรีส์ฆาตกรรมอื่นๆ ซีรีส์เรื่องนี้ให้อารมณ์แบบ phycological thriller drama ผสมกับความรักแบบ romantic (พูดแล้วอาจจะดูงงคงต้องไปดูเอง) โดยใช้หลักการคิดแบบฆาตกรเพื่อจับฆาตกร ซึ่งฆาตกรทุกคนในเรื่องล้วนแล้วแต่เป็นฆาตกรโรคจิต!
"ชีวิตที่ปราศจากความเสียใจคงจะไม่ใช่ชีวิตหรอก" หรืออาจแปลได้อีกว่า "ชีวิตที่ปราศจากความเสียใจคงจะไม่มีชีวิตชีวาหรอก" ภาพจาก pinterest.com
อย่างที่กล่าวไป แทบทุกอย่างในเรื่องสามารถมองเป็นงานศิลป์ได้แทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นฉากหลังของเรื่อง บทพูดของแต่ละตัวละครทั้งทางตรงหรือทางอ้อม คนที่ถูกฆาตกรรมล้วนแต่ถูกจัดแสดงไม่ต่างจากงานศิลปะ เป็นศิลปะในแบบที่ค่อนข้างชัดเจนและดูรุนแรง จากการใช้องค์ประกอบต่างๆ หนังมีการเล่นกับแนวคิดของ "ความขัดแย้ง"อยู่เสมอๆ ทั้งอย่างตรงไปตรงมาและแสดงออกในรูปแบบของสัญญะหลายๆ อย่างภายในเรื่อง(หลายอย่างค่อนข้างมีความแมส สามารถเข้าถึงได้ไม่ยากซึ่งต่างกันลิบลับกับบทพูด555)
หนึ่งในฉากฆาตรกรรมที่เลียนแบบมาจากภาพวาดชื่อดัง "ฤดูใบไม้ผลิ" (บอตติเชลลี) และเป็นฉากที่น่าจะเบาบางที่สุดในเรื่องละ555 นอกจากนั้นคือเห็นตับไตใส้พุงยันกระดูก ผู้ที่อ่อนไหวต่อภาพพวกนี้ควรระวัง ภาพจาก tor.com
การดำเนินเรื่องของหนังเป็นไปอย่างเนิบๆ มีการเล่าเหตุการณ์แบบกลับไปกลับมาอยู่ตลอด ใครที่ไม่ชอบการดำเนินเรื่องแบบนี้หรือการต้องคอยฟังบทสนทนาอยู่บ่อยๆ อาจจะเบื่อได้ง่ายๆ หนังมีการกั๊กพอสมควรในช่วงแรก แต่พอถึงเวลาจะเฉลยอะไรก็จะเฉลยออกมาเต็มที่เลย555 ส่วนตัวคิดว่าหนังมี plot hole อยู่พอสมควร ทำให้การที่เราจะอินจะ "เชื่อ" ไปกับหนังได้อย่างสนิทใจนั้นดูจะมีอุปสรรคอยู่บ้าง รวมทั้งการที่หนังมีองค์ประกอบต่างๆ ภายในหนังให้เล่าค่อนข้างมาก บางครั้งเลยทำให้ดูจะไปได้ไม่ค่อยสุดสักเท่าไหร่
ทั้งนี้ทั้งนั้น การแสดงของ Hugh Dancy ในบทของ "วิล" และ Mads Mikkelsen ในบท "ฮันนิบาล" ซึ่งดูจะเงียบขรึมแต่ก็ทั้งทรงพลังรวมถึงขัดแย้งในบทพูดและการกระทำนั้น ยังสามารถทำให้เราไปต่อได้5555 น่าสนใจตรงการตีความของ Dr. Hannibal ที่แตกต่างจากเวอร์ชั่นภาพยนต์แต่ก็คงไว้ซึ่งเสน่ห์แบบแปลกๆ เป็นหนึ่งในซีรีส์ที่ควรค่าแก่เวลาการรับชมสำหรับสายจิตวิทยาและปรัชญาแน่นอนครับ
ปล.
(1) เป็นที่รู้กันว่า Mads Mikkelsen รับเล่นเรื่องไหนเป็นต้องแสดงเป็น..... อยู่เรื่อยไป555
(2) แม้ว่าจะสร้างจากนิยายชุดเดียวกันกับเรื่อง The Silence of the Lambs ที่ Anthony Hopkins แสดงนำและได้รางวัลออสก้าไปนั้น แต่ตัวเนื้อเรื่องก็มีความแตกต่างและเหมือนกันในบางจุด
#Hannibal
#ReviewByMe
โฆษณา