[Avaris : Music Myth History FairyTales UrbanLegend] 📃 กระดาษแผ่นที่สี่ : รายพระนาม 22 ราชาในขบวนกาญจนยาตราแห่งอียิปต์ (ตอนที่ 1) ***Trigger Warning : มีภาพพระศพประกอบ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่หวาดกลัวภาพมัมมี่***

สำรวจ
ลงทุน
คำถาม

มีบัญชีอยู่แล้ว?หรือ

Avaris : Music Myth History FairyTales UrbanLegend

•

4 เม.ย. 2021 เวลา 15:33 • ประวัติศาสตร์

📃 กระดาษแผ่นที่สี่ : รายพระนาม 22 ราชาในขบวนกาญจนยาตราแห่งอียิปต์ (ตอนที่ 1)

***Trigger Warning : มีภาพพระศพประกอบ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่หวาดกลัวภาพมัมมี่***

เมื่อคืนวันที่ 3 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา เวลา 18.00 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น หรือ 23.00 นาฬิกา ตามเวลาประเทศไทย อียิปต์ได้จัดพระราชพิธี The Pharaoh's Golden Parade of 22 Royal Mummies หรือพิธีย้ายพระบรมศพฟาโรห์และราชนารีจำนวน 22 พระองค์ และโลงพระศพจำนวน 17 โลง จาก The Egyptian Museum มาประทับ ณ The National Museum of Egyptian Civilization ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ ไม่ไกลจากมหาพิระมิดแห่งกิซา

The Pharaoh's Golden Parade of 22 Royal Mummies

พิธีดำเนินไปอย่างยิ่งใหญ่ โดยฟาโรห์และราชินีแต่ละพระองค์จะเสด็จโดยพระราชยานที่ตกแต่งเป็นรูปเรือทองตามโบราณราชประเพณีที่เชื่อว่าเมื่อฟาโรห์สิ้นพระชนม์ พระองค์จะลงเรือสุริยะเดินทางไปสู่ดินแดนแห่งความตายเพื่อรวมเป็นหนึ่งกับเทพเจ้าโอซิริส โดยมีขบวนม้าศึกและนักบวชสตรีโดยเสด็จ และเมื่อถึงพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ ก็มีการยิงสลุต 21 นัดเพื่อถวายพระเกียรติแก่ฟาโรห์และราชินีทั้ง 22 พระองค์ด้วย

The Pharaoh's Golden Parade of 22 Royal Mummies

มัมมี่ทั้ง 22 ร่างในพระราชพิธีนี้ เป็นฟาโรห์และราชินีจากยุคอาณาจักรใหม่ (New Kingdom) ราชวงศ์ที่ 17 -20 โดยมีรายพระนามดังนี้

1. ฟาโรห์ เซเคเนนเร ทาว ที่ 2 (Seqennenre Taa II)

ฟาโรห์เซเคเนนเร ทาว (Seqenenre Taa II)

ฟาโรห์องค์ก่อนสุดท้ายของราชวงศ์ที่ 17 ทรงเป็นกษัตริย์นักรบที่ห้าวหาญมากจนได้รับสมญาว่า ผู้กล้า 'The Brave' ทรงนำทัพเข้าต่อสู้กับการรุกรานของชาวฮิกซอสจากอียิปต์บนที่พยายามเข้าครอบครองบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ หรืออียิปต์ล่าง ฟาโรห์เซเคเนนเร ทาว ที่ 2 ทรงมีรัชสมัยสั้นมากเพียงห้าปี และมีพระชนมายุราวสี่สิบพรรษาเท่านั้น ร่องรอยบนพระศพของพระองค์แสดงว่าน่าจะทรงถูกจับเป็นเชลยในสนามรบ และถูกปลงพระชนม์ในขณะที่ถูกมัดในท่านั่งคุกพระชงฆ์และมัดพระหัตถ์ไพล่หลัง พระศพของพระองค์ถูกทำมัมมี่อย่างลวก ๆ ไม่มีการโรยเกลือและชักสมองออกจากพระศพตามประเพณี คาดว่าคงเพราะทำในที่ห่างไกลพระราชวังอย่างเร่งรีบ รวมทั้งพระพาหาที่อยู่ในท่าประหลาด ก็เชื่อว่ามาจากการพยายามดัดพระศพที่แข็งตัวไปแล้วจากท่าถูกมัดไพล่หลังนั่นเอง

มัมมี่ของฟาโรห์เซเคเนนเรทาว ที่ 2 ถูกค้นพบในปี 1881 ในโลงพระศพไม้ซีดาร์ที่ เอล เดียร์ เอล บาฮารี ทางตอนใต้ของลักซอร์ หรือธีบิสในยุคโบราณ ซึ่งเป็นนครหลวงของพระองค์ยามยังมีพระชนม์ชีพอยู่นั่นเอง

2. ราชินี อาโมส เนเฟอตารี (Ahmose Nefertari)

ราชินี อาโมส เนเฟอตารี (Ahmose Nefertari)

เป็นพระราชธิดาของฟาโรห์เซเคเนนเร ทาว ที่ 2 ทรงสมรสกับพระเชษฐาของพระองค์เอง ฟาโรห์อาโมสที่หนึ่ง ซึ่งขับไล่พวกฮิกซอสไปได้และตั้งราชวงศ์ใหม่ขึ้น ดังนั้น อาโมส เนเฟอตารีจึงเป็นราชินีพระองค์แรกของราชวงศ์ที่สิบแปด ในสมัยฟาโรห์อาเมนโฮเทปที่หนึ่งซึ่งเป็นพระโอรส พระนางทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พระนามของพระนางแปลว่า ความงามแห่งดวงจันทร์

มัมมี่ของราชินีอาโมส เนเฟอตารี ถูกพบในปีเดียวกับพระบิดาของพระองค์ ที่เอล เดียร์ เอล บาฮารี เช่นเดียวกัน

3. ฟาโรห์อาเมนโฮเทป ที่ 1 (Amenhotep I)

ฟาโรห์อาเมนโฮเทป ที่ 1 (Amenhotep I)

ฟาโรห์อาเมนโฮเทปที่ 1 ทรงเป็นพระโอรสองค์ที่สามของฟาโรห์อาโมสที่ 1 และราชินีอาโมส เนเฟอตารี แต่ทรงเป็นรัชทายาทได้ครองราชสมบัติเป็นฟาโรห์องค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์ที่ 18 เพราะพระเชษฐาทั้งสองสิ้นพระชนม์ไปก่อน ฟาโรห์อาเมนโฮเทปที่ 1 ทรงขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ พระมารดาจึงทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนในช่วงแรก เมื่อได้รับพระราชอำนาจคืนมาหลังการสิ้นพระชนม์ของพระมารดา อาเมนโฮเทปที่ 1 ทรงบูรณะประเทศและเป็นฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่ในยุคสมัยของพระองค์

พระศพของอาเมนโฮเทปที่ 1 ถูกพบที่เอล เดียร์ เอล บาฮารี ในปีเดียวกับพระมารดาและพระอัยกา บรรจุอยู่ในโลงไม้ซีดาร์และมีพวงมาลาไว้อาลัย

4. ราชินี อาโมส เมริทอามุน (Ahmose Meritamun)

ราชินี อาโมส เมริทอามุน (Ahmose Meritamun)

เมริทอามุน ทรงเป็นพระเชษฐภคินีของอาเมนโฮเทปที่ 1 และเป็นราชินีของพระองค์ด้วย ทรงได้รับการยกย่องอย่างมาก แม้จะไม่เคยให้กำเนิดพระโอรสก็ตาม

อย่างไรก็ตาม เมริทอามุนมีพระชนม์ชีพไม่ยืนยาวนัก จากการตรวจสอบพบว่าพระนางมีหลักฐานว่าป่วยเป็นโรคข้ออักเสบและกระดูกสันหลังคด พระศพของเมริทอามุนถูกค้นพบในปี 1930 ที่ลักซอร์ จากลักษณาการขณะที่พบ นักวิชาการเชื่อว่า พระศพถูกทำมัมมี่ถึงสองครั้ง โดยครั้งที่สองเป็นการซ่อมแซมจากการถูกหัวขโมยทำลายพระศพโดยนักบวชในยุคโบราณนั่นเอง

5. ฟาโรห์ทุตโมสที่ 1 (Thutmose I)

ฟาโรห์ทุตโมสที่ 1 (Thutmose I)

ทุตโมสที่ 1 ไม่ได้เป็นพระราชโอรสสายตรงที่มีสิทธิ์ในการครองบัลลังก์ เพราะทรงเป็นพระโอรสของอาเมนโฮเทปที่ 1 กับนางสนมนามว่าเซนเซเนป แต่ทรงได้เป็นรัชทายาทเนื่องจากทรงอภิเษกสมรสกับราชินีอาโมส ซึ่งเป็นพระธิดาของฟาโรห์อาโมสที่ 1 (ทรงเป็นพระขนิษฐาของอาเมนโฮเทปที่ 1 จึงนับว่าเป็นอาหญิงของทุตโมสที่ 1 นั่นเอง)

ทุตโมสที่ 1 ทรงเป็นกษัตริย์ที่สามารถยิ่งในการรบ ในยุคสมัยของพระองค์ มีการแผ่พระราชอำนาจไปยังปาเลสไตน์ ซีเรีย และนูเบีย แถมยังเอาร่างไร้วิญญาณของกษัตริย์นูเบียห้อยหัวเรือแสดงพระราชอำนาจเมื่อเสด็จกลับมาอียิปต์อีกด้วย

พระศพของทุตโมสที่ 1 ถูกค้นพบในปี 1881 ในโลงพระศพที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างงดงามโดยพระโอรสของพระองค์เอง และมัมมี่ของพระองค์ก็อยู่ในสภาพที่ดียิ่ง

6. ฟาโรห์ทุตโมสที่ 2 (Thutmose II)

ฟาโรห์ทุตโมสที่ 2 (Thutmose II)

ทุตโมสที่ 2 ทรงเป็นโอรสของทุตโมสที่ 1 กับนางสนมนามว่ามุตโนเฟรท ดังนั้น เพื่อสิทธิ์ในการครองราชย์ที่ถูกต้อง จึงทรงอภิเษกสมรสกับราชินีฮัตเชปซุท พระธิดาของทุตโมสที่ 1 และพระราชินีอาโมส ทุตโมสที่ 2 ครองราชย์อยู่ราว 14 ปี แต่ไม่ใคร่หรืออาจไม่เคยออกรบด้วยพระองค์เอง แม้ว่าในรัชสมัยของพระองค์จะมีการรบกับนูเบียและซีเรียอยู่บ้างก็ตาม เพราะพระพลานามัยไม่ค่อยสมบูรณ์นัก

ทุตโมสที่ 2 ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุราว 30 ปี พระศพถูกค้นพบที่ลักซอร์ในปี 1881

7. ฟาโรห์ฮัตเชปซุท (Hatshepsut)

ฟาโรห์ฮัตเชปซุท (Hatshepsut)

เมื่อแรกกำเนิด ฮัตเชปซุททรงเป็นพระธิดาของฟาโรห์ทุตโมสที่ 1 และพระราชินีอาเมส พระนางเป็นสตรี จึงไม่มีสิทธิ์ครองบัลลังก์ด้วยพระองค์เอง พระนางจึงต้องอภิเษกกับทุตโมสที่ 2 ซึ่งเป็นพี่น้องต่างมารดา เมื่อทุตโมสที่ 2 สิ้นพระชนม์ลง บัลลังก์ถูกเวนไปสู่พระโอรสที่เกิดกับนางสนมของทุตโมสที่ 2 ซึ่งใช้พระนามว่าทุตโมสที่ 3 แต่เนื่องจากทุตโมสที่ 3 ยังทรงพระเยาว์มาก ฮัตเชปซัทในฐานะพระมารดาเลี้ยงจึงรับหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทน

ทว่าไม่นานหลังจากนั้น ฮัตเชปซัทก็ทรงปฏิบัติพระองค์ประหนึ่งเป็นฟาโรห์ มิใช่ราชินี ทรงแต่งองค์อย่างบุรุษ มีพระทาฐิกะที่คาง และทรงปล่อยตำนานออกไปว่า พระองค์มิใช่พระธิดาของฟาโรห์ทุตโมสที่ 1 แต่เป็นพระธิดาของเทพเจ้ารา เทพเจ้าสูงสุดของอียิปต์โบราณ ซึ่งทรงทอดพระเนตรเห็นพระราชินีอาโมสแล้วทรงพอพระทัย จึงแปลงพระองค์เป็นฟาโรห์ทุตโมสที่ 1 มาร่วมพระแท่น และทรงประทานพรให้พระธิดาของพระองค์และราชินีอาโมสมีสิทธิ์ในการครอบครองบัลลังก์ได้อย่างถูกต้องทุกประการ

ในรัชสมัยของฟาโรห์ฮัตเชปซัท เป็นรัชสมัยที่เจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง ทั้งการก่อสร้าง การคมนาคม การเจริญสัมพันธไมตรีทางการฑูต และการค้าขาย ทรงเปิดเส้นทางการค้าขายกับอาณาจักรพันต์ ค้าขายงาช้าง เรซิน ไม้มะเกลือ เครื่องเทศ และอื่น ๆ อีกมากมาย

พระศพของพระนางถูกค้นพบในหุบผากษัตริย์ KV 60 ในปี 1903

8. ฟาโรห์ทุตโมสที่ 3 (Thutmose III)

ฟาโรห์ทุตโมสที่ 3 (Thutmose III)

ทุตโมสที่ 3 เป็นโอรสของทุตโมสที่ 2 และนางสนมนามว่าไอเซท เนื่องจากขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์มาก ฮัตเชปซัทซึ่งเป็นพระมารดาเลี้ยงจึงสำเร็จราชการแทน ก่อนที่จะตั้งองค์เองเป็นฟาโรห์ในเวลาต่อมา ในช่วงแรกนั้น ทุตโมสที่ 3 เป็นเพียงหุ่นเชิดที่ไม่สู้มีความสำคัญเท่าใดนัก นอกจากเป็นตัวแทนในพระราชพิธี แต่เมื่อสองทศวรรษผ่านไป พระองค์ก็ทรงเติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มที่กล้าแข็ง และเป็นผู้นำกองทัพที่มีฝีมือเยี่ยมยิ่ง หลังจากฮัตเชปซุทสิ้นพระชนม์ลงแล้ว ทุตโมสที่ 3 จึงแสดงพระราชอำนาจของพระองค์ได้โดยสมบูรณ์

ทุตโมซิสที่ 3 ทรงมีสมญานามว่านโปเลียนแห่งอียิปต์โบราณ เนื่องจากทรงเป็นฟาโรห์ผู้พิชิตที่ขยายดินแดนไปได้ถึงซีเรียและลุ่มน้ำยูเฟรติส (อิรัก) เมื่อผนวกกับความสามารถในการค้าและการฑูตของฮัตเชปซัท ทำให้อียิปต์ในยุคนั้นเป็นปึกแผ่นและรุ่งเรืองมาก

พระศพของพระองค์ถูกค้นพบในปี 1881 ที่เอล เดียร์เอล บาฮารี

9. ฟาโรห์อาเมนโฮเทปที่ 2 (Amenhotep II)

ฟาโรห์อาเมนโฮเทปที่ 2 (Amenhotep II)

อาเมนโฮเทปที่ 2 ทรงเป็นพระโอรสสายตรงและครองราชย์สืบต่อจากทุตโมสที่ 3 ซึ่งเป็นพระบิดา ทรงมีชื่อเสียงมากในความแข็งแรง การกีฬา ยิงธนู และขี่ม้า เมื่อผนวกกับความรุ่งเรืองที่สืบทอดมาจากยุคสมัยของทุตโมสที่ 3 แล้ว นับว่ายุคสมัยของอาเมนโฮเทปที่ 2 แข็งแกร่งไม่แพ้ใคร และทรงใช้ความเจริญรุ่งเรืองนั้นสร้างและขยายวิหารคาร์นัคอุทิศแด่เทพอามุน

พระศพของพระองค์ถูกพบในปี 1898 ในหุบผากษัตริย์ KV 35 ทรงบรรจุในโลงที่ทำจากควอตซ์ และทรงมีพระชนมายุราว 45 พรรษา

10. ฟาโรห์ทุตโมสที่ 4 (Thutmose IV)

ฟาโรห์ทุตโมสที่ 4 (Thutmose IV)

ทุตโมสที่ 4 ทรงเป็นโอรสของอาเมนโฮเทปที่ 2 และนางสนมนามว่าไทอา กล่าวกันว่า เมื่อยังทรงเป็นเจ้าชาย ทุตโมสที่ 4 เคยไปสู่ทะเลทรายที่กิซาตามลำพัง และนอนหลับพักผ่อนใต้ร่มเงาของสฟิงค์ ซึ่งในขณะนั้นถูกทรายกลบทับจนเหลือเพียงส่วนหัวโผล่พ้นขึ้นมา สฟิงค์ปรากฏตัวในนิมิตของพระองค์ และร้องขอข้อแลกเปลี่ยนว่า หากเจ้าชายกำจัดทรายที่ปกคลุมร่างออกไปให้โผล่พ้นผืนดินอีกครั้ง เจ้าชายจะได้ครองราชบัลลังก์เป็นการตอบแทน

ในยุคสมัยของทุตโมสที่ 4 ทรงเสริมระบบป้องกันพรมแดน และรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง และทรงสร้างอนุเสาวรีย์ที่จารึกพระนามของพระองค์ไว้เป็นจำนวนมาก

มัมมี่ของทุตโมสที่ 4 ถูกพบในหุบผากษัตริย์ KV 35 ในปี 1898 เช่นเดียวกับพระบิดาของพระองค์นั่นเอง

หมดแรงแล้ว เดี๋ยวมาต่อตอนสองกับอีกสิบสององค์ที่เหลือวันหลังนะคะ แง,~

โฆษณา

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน