5 เม.ย. 2021 เวลา 08:50 • ศิลปะ & ออกแบบ
รวม 7 เทคนิกการเลือกใช้ฟอนต์ในงานออกแบบ เมื่อเราต้องใช้ฟอนต์ในงานออกแบบ เราต้องรู้อะไรบ้าง ใช้ยังไงแค่ไหนถึงจะสวย หมดปัญหาเสียเวลาเลือกฟอนต์นาน
1
การเลือกใช้และการวางฟอนต์ยังเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่นักออกแบบต้องให้ความสำคัญและพิถีพิถันเป็นอย่างมาก และการเลือกใช้ การจับคู่ฟอนต์ที่ลงตัวนั้นเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างใช้เวลา ฟอนต์ที่เลือกต้องเหมาะกับงาน และยังต้องส่งเสริมให้ภาพรวมของงานดูดี โดดเด่นสวยงาม หากไม่เช่นนั้นแล้วงานออกแบบที่คิดร่างโครงไว้อย่างดี อาจถูกลดทอดความสวยงามเพียงเพราะเลือกฟอนต์ไม่เข้าชุดกัน หลักเกณฑ์การเลือกฟอนต์ควรพิจารณาจากอะไรบ้าง ไปดูกันค่าา
1
รู้จัก Class ของฟอนต์กันก่อน ว่ามีอะไรบ้าง และแต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร
1
Serif คือฟอนต์ที่มีเชิง เชิงของฟอนต์คือเส้นขีดที่อยู่บริเวณฐานหรือปลายเส้น บางครั้งจะเรียกฟอนต์โรมัน (Roman) ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากข้อความที่จารึกไว้บนบนหินสมัยอาณาจักรโรมัน ในศตวรรษที่ 18
Sans Serif คือฟอนต์ที่ไม่มีเชิง หรือเรียกว่าฟอนต์กอทิก (Gothic) ซึ่งตรงข้ามกับ Serif ที่มีเชิงเพราะคำว่า sans มาจากภาษาฝรั่งเศสหมายความว่า without (ปราศจาก) เป็น Class ที่ให้ดูเรียบง่าย ดูความสะอาดตาและมีความกว้างเท่ากัน เป็นแบบที่ใช้แพร่หลายในปัจจุบัน
Script แบบตัวเขียนที่เกิดขึ้นในช่วงประมาณศตวรรษที่ 17 ซึ่งในยุคนั้นเขียนโดยใช้หัวปากกาคอแร้ง หรือพู่กัน วิธีการเขียนใช้การจุ่มหมึก (dip pen) ให้ความรู้สึกอ่อนช้อย หรูหรา เป็นทางการ ซึ่งแบ่งออกเป็น
1
Formal scripts ที่เป็นการเขียนอย่างเป็นทางการใช้สำหรับการ์ดเชิญหรือประกาศวุฒิบัตร
Casual scripts มีความอ่อนช้อย ดูไม่เป็นทางการ ให้ความสนุกสนาน แต่ยังคงความหรูหรา
Modern เป็นแบบอักษรยุคใหม่ที่ได้รับการพัฒนาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นแบบอักษรที่คมชัดและมีสไตล์ สอดคล้องกับความก้าวหน้าในเทคโนโลยีการพิมพ์ ลายเส้นอ่านง่าย ฟอร์มดีนำไปใช้งานพาดหัว หรือใช้ในเนื้อหาได้ แบบอักษรที่เป็นยุคใหม่ที่รู้จักกันดีคือ Helvetica, Futura, Avenir
Monospace พัฒนามาจากการใช้พิมพ์ดีดที่ช่องว่างจะเท่ากันทุกช่อง ต่อมาก็มีการพัฒนาสำหรับใช้งานการพิมพ์บนคอมพิวเตอร์ อ่านง่าย สบายตา แบบอักษรที่ได้รับความนิยมได้แก่ Courier, Myraid
Decorative ออกแบบสำหรับใช้ในงานตกแต่งหรือวางในงานดิสเพลย์ และได้รับความนิยมในศตวรรษที่ 19 และถูกใช้อย่างแพร่หลายในโปสเตอร์และโฆษณา โดย William Morris นักออกแบบ แบบอักษรได้พัฒนาแบบอักษร Troy เพื่อใช้ในการพิมพ์มาตั้งแต่ประมาณปี 1891 และมีการพัฒนาสำหรับใช้งานอีกหลากหลายแบบ
แนะนำ App What The Fon‪t‬ แอปพลิเคชันสำหรับเช็คว่าเป็นฟอนต์อะไร
1. การเลือกใช้ฟอนต์โดยแบ่งตาม Class
ใช้ฟอนต์ที่แตกต่างกัน แต่อยู่ใน Class เดียวกัน เมื่อคลิกเลือกฟอนต์ กดที่ Filter จะแสดงการแยกประเภท Font แบบ Class เมื่อกดเลือก Filter โปรแกรมก็จะแสดง Class ตัวอักษรที่เป็นที่ที่อยู่ใน Class เดียวกันทั้งหมดให้เลือกใช้ เช่นใช้ฟอนต์ Lucida กับ Lucida Sans หรือ Meta กับ Meta Sans
ใช้คู่ฟอนต์ข้าม Class กัน วางน้ำหนักให้ความสมดุล จะช่วยส่งเสริมความสวยงาม ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในงานที่ต้องการความโดดเด่นของเนื้อหาได้ เช่นใช้ Text headline ใช้ฟอนต์ Bowlby One และ ฟอนต์ Roboto ใน Text body
2. อย่าใช้ฟอนต์หลากหลายเกินไป
ควรเลือกใช้ฟอนต์เพียงแค่ 2 – 3 แบบ โดยพิจารณาจากความเหมาะสมของส่วนประกอบที่เป็นข้อความของงาน เช่น พาดหัว (Headline) พาดหัวรอง (Sub headline) ข้อความ (Text body)
1
3. เลือกฟอนต์ให้เข้ากับบริบทของเนื้อหา
คุณต้องรู้ว่าตัวหนังสือของคุณจะปรากฏอยู่ที่ไหน เช่นเว็บไซต์ โบรชัวร์ ป้ายโฆษณา และใครจะเป็นผู้อ่าน เด็ก วัยรุ่น หรือผู้สูงอายุ เป็นสิ่งที่ต้องนำมาพินิจพิเคราะห์ให้ดีเวลาที่คุณตัดสินใจเลือกฟอนต์โดยพิจารณาจากบริบทของเนื้อหาให้รอบคอบ วิธีนี้จะช่วยกำหนดทิศทาง (Direction) น้ำหนักของฟอนต์ จังหวะการวางฟอนต์ได้ถูกต้องมากขึ้น
1
4. เผื่อที่ว่างให้ฟอนต์อ่านง่าย ดูโดดเด่น
อย่าวางฟอนต์ให้ติดกันเป็นพรืด การเว้นที่ว่างช่วยให้อ่านสบายตาขึ้น
5. พิจารณาลำดับความสำคัญ และโครงสร้างของเนื้อหา
เน้นความสำคัญและองค์ประกอบการออกแบบเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ให้มากที่สุด โดยพิจารณาให้ดีว่าจะให้จุดไหนเด่นก็เน้นที่จุดนั้น โดยเฉพาะหัวข้อต้องใช้ฟอนต์ที่ให้ความโดดเด่น แตกต่าง สะดุดตา เพื่อดึงดูดความสนใจคนอ่านในทันที และค่อยไล่ลำดับความสำคัญลงมา โดยใช้ขนาดตัวอักษรเรียง ใหญ่ กลาง เล็ก ใช้วิธีการไฮ-ไลท์ หรือใช้สีเน้นความสำคัญ
6. เลือกใช้ฟอนต์ให้เหมาะกับเนื้อหา
การเลือกใช้ฟอนต์กับเนื้องานต้องมีประศาสน์ใกล้เคียงหรือมีความเชื่อมโยงกันด้วย ยกตัวอย่างง่าย ๆ หากคุณกำลังออกแบบงานย้อนยุคไปช่วงปี 1920s แน่นอนว่าลักษณะฟอนต์ที่ใช้ในยุคนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเมื่ออ่านเจอก็รับรู้ได้ ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์การออกแบบก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่นักออกแบบควรศึกษาไว้เพื่อเป็นประโยชน์ในการทำงาน เพราะความรู้ที่กว้างขึ้นก็ช่วยเพิ่มขอบเขตการทำงานของเราให้มากขึ้นด้วย
7. ลองออกนอกกรอบด้วยเทคนิคใหม่ๆ บ้าง
หลังจากที่ทำงานไปสักระยะหนึ่งความชำนาญและความแม่นยำเริ่มมีมากขึ้น การออกนอกกรอบ หลุดจากแบบแผนเดิม ๆ ทดลองเทคนิคใหม่ ปรับนี่นิด เปลี่ยนนั่นหน่อยดูบ้าง คุณอาจจะเจอวิธีใหม่ที่ว้าวกว่า หรือได้ไอเดียแปลก ๆ ไปสร้างสรรค์ในงานคุณได้อีกเพียบ
เป็นเรื่องดีถ้ามีหลักเกณฑ์หรือคู่มือในการทำงานให้เป็นมาตรฐาน แต่อย่าไปยึดติดหลักการที่ตายตัวมากเกินไป 1+1 เท่ากับ 2 ก็จริง แต่ยังมีตัวเลขอื่นมา บวก ลบ แล้วได้ผลลัพธ์เท่ากัน รูปแบบเดิม ๆ จะทำให้งานคุณน่าเบื่อ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ การออกนอกกรอบไปมองหาแหล่งข้อมูลอื่น หรือศึกษางานของคนอื่นแล้วพิจารณาดูข้อดี ข้อด้อย แล้วนำข้อดีจากงานของคนอื่นมาปรับใช้ หรือจะเริ่มต้นดูข้อเสียจากงานของตัวเองก่อนว่าควรปรับแก้ไขตรงไหนบ้าง แล้วนำข้อเสียนั้นมาปรับปรุง การทำแบบนี้จะช่วยพัฒนาวิธีคิด สร้างศักยภาพและทักษะในงานของคุณได้เป็นอย่างดี
อ่านบทความเต็มได้ที่
โฆษณา