6 เม.ย. 2021 เวลา 05:40 • บันเทิง
วันนี้อยากเล่าเรื่องประสบการณ์ที่เจอเปรตแบบจังๆครั้งแรกในชีวิต (เรื่องจริงไม่มีการอิงนิยายใดๆ)
ตอนปิดเทอม ม.4 (พ.ศ.2534) ที่โคราช มีเหตุการณ์ที่ทำให้จำไม่ลืมและเชื่อสนิทใจว่าเปรตมีจริง
ตอนเย็นป้าและเพื่อนๆ 3-4 คนไปวิ่งเล่นในวัดใกล้บ้าน วันนั้นเป็นเวลา 5 โมงเย็น เราเล่นซ่อนแอบกัน ด้วยความซนก็วิ่งไปไกลจนข้ามสะพานแม่น้ำมูล(ที่อยู่ในบริเวณวัด) เมื่อข้ามสะพานไปจะเป็นป่าค่ะ (แต่เรามารู้ภายหลังว่าคือป่าช้า!) ป้าคิดว่าเหมาะซ่อนตัวมาก เลยวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ หลบอยู่พักใหญ่ๆทำไมไม่มีใครมาตามหาเราหรือเพื่อนๆจะเลิกเล่นและกลับบ้านแล้ว ป่าเริ่มเงียบและมืด เลยตัดสินใจเดินออกจากที่ซ่อนเพื่อกลับบ้าน ระหว่างเดินกลับน่าจะหกโมงเย็นเกือบทุ่ม แต่มืดมาก ไฟซักดวงก็ไม่มี ถนนก็ไม่มี มีแต่ทางเดินแคบๆที่เราแทบมองไม่เห็น จะกลับทางไหนยังไงดี หลงทางแล้ว งงกับทิศทาง กลัวว่ายิ่งเดินจะยิ่งห่างจากทางออก ตัดสินใจเดินมั่วๆไปตามทางเดินแคบๆ ทำไมมืดเร็วจังนะ? พอเดินไปถึงต้นไม้ข้างทางต้นหนึ่ง รู้สึกว่าหนาวเย็นยังไงไม่รู้ เลยหยุดมองต้นไม้ เอามือพิงที่ลำต้นเพื่อพักเหนื่อย (สงสัยจนถึงทุกวันนี้ว่าทำไมต้องหยุดมอง) แล้วเงยหน้าขึ้นมองยอดไม้ (และก็สงสัยตัวเองว่าเงยทำไม) สิ่งที่เห็นทำป้าหยุดหายใจ ทุกรูขุมขนในร่างกายลุกชัน เหมือนมีอะไรวิ่งขึ้นถึงขึ้นถึงสมอง (อย่างนี้รึเปล่าที่เรียกว่ากลัวจนขี้ขึ้นสมอง) ตาพร่า หนาวสั่น ขาก้าวไม่ออก ป้าเห็นเปรตค่ะ ตัวสูงมากๆๆๆ เหมือนในหนังทุกอย่าง ตาโต ไม่เห็นปาก แขน ยาว มือใหญ่ และที่สำคัญ...มือของป้ากำลังพิงขามันอยู่ (ก็นึกว่าต้นไม้) ถึงจะมืดแต่ป้าก็มองเห็นทุกอย่างตามที่เล่าเพราะมีแสงจากพระจันทร์ช่วยส่องมา ไม่ใช่แค่ภาพที่เห็น แต่ยังยืนยันด้วยเสียงกรีดร้องตามมา โหยหวน หวีด เล็กแหลม เย็นยะเยือก ดังยาว (อยากรู้ว่าคนอื่นในวัดจะได้ยินอย่างเรามั้ยนะ)
เหมือนถูกไฟฟ้าช็อตตั้งแต่หัวจรดเท้า มันบรรยายไม่ถูกจริงๆค่ะ เหมือนสติหรือวิญญาณจะถูกกระชากออกจากร่าง หรือแบบนี้ที่คนโบราณเรียกว่าขวัญกระเจิง?
สติสัมปชัญญะที่พอจะมีบอกว่าต้องวิ่ง ต้องออกจากป่านี้ตอนนี้เดี๋ยวนี้ แต่ขามันไม่ไปตามสั่ง ชั้นสั่งให้วิ่งแต่ทำได้แค่ก้าวเดินช้าๆ เอ๊ะหรือกำลังวิ่งแต่คิดว่าวิ่งช้า? ตอนนั้นไม่รู้จริงๆว่าวิ่งด้วยร่างหรือวิญญาณ ทุกอย่างเหมือนฝันและเลือนลาง สุดท้ายก็วิ่งมาถึงบ้านจนได้
พอถึงบ้าน วิ่งเข้าห้องนอนคลุมโปง ไข้จับถึงเช้า (จำอะไรจากนั้นไม่ได้เลยว่าคนในบ้านถามมั้ย ดุมั้ย ได้กินข้าวมั้ย)
วันถัดมาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับผู้ใหญ่ในบ้านเพราะกลัวโดนดุว่าหนีไปเล่นไกล แต่เนื่องจากป่วยขนหัวลุกจนเข้าวันที่ 3 จึงตัดสินเล่าให้ป้าฟัง พอป้ารู้ก็ตกใจและบ่นยกใหญ่เลย บอกว่าทำไมเพิ่งมาเล่า คนเจอเปรตแสดงว่าดวงตกมาก นี่เข้าวันที่ 3 ยังไม่หายระวังอาถรรพ์ถึงชีวิตนะ ว่าแล้วก็ให้เรายกสังฆทานขึ้นหัว (ป้านำสังฆทานไปถวายพระให้) พอป้ากลับจากวัดก็เอาสายสิญจน์ น้ำมนต์ และองค์พระมาสวมคอเรียกขวัญให้ อาการป่วยจับไข้ก็ค่อยทุเลา
พอหายป่วยป้าให้เราไปทำบุญตักบาตร อุทิศส่วนกุศลให้เปรตตนนั้น ซึ่งคนโบราณเชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษเรามาขอส่วนบุญ และด้วยความบังเอิญเรารู้ภายหลังว่าบริเวณที่เจอเปรตนั้น อยู่ใกล้กับสุสานของยายลุงเขย
เด็กอายุ 16 ปีในยุคไร้โซเชี่ยลมีเดีย (มีแค่หนังสือพิมพ์และ ทีวี จดหมายและหนังสือ) อยู่ต่างจังหวัดในอำเภอเล็กๆและครอบครัวที่เคร่งครัด จำกัดการเปิดโลกเปิดความรู้ ยุคดังกล่าวป้าเจออะไรสงสัยอะไรก็ไร้คำตอบจากผู้ใหญ่ ไร้แหล่งค้นคว้า จึงทำได้แค่เก็บไว้เล่าลูกหลานในวันนี้ และบอกลูกหลานว่าช่วงโพล้เพล้อย่าเล่นซ่อนแอบ อย่าเล่นในวัด☺
เครดิตรูปจาก Ic-kukko (ธรรมะไทย)
โฆษณา