8 เม.ย. 2021 เวลา 10:47 • การ์ตูน
สวัสดีครับทุกคน หลังจากที่ได้เห็นตำนานของฝั่งเทพไปแล้ว วันนี้เรามาเปิดตำนานของฝั่งมนุษย์ชาติอย่างพวกเรากันบ้าง บอกเลยแต่ละคนฉายาฟังดูเท่ห์และเก่งกว่าเทพอีก จะมีใครบ้าง และตำนานของแต่ละคนจะขลัง จะเท่ห์ จะเฟี้ยวขนาดไหน เราไปดูกันเลยดีกว่าครับ😆
🔥ปล.สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูเปิดตำนานของเหล่าเทพ สามารถกดที่ลิ้งค์นี้ได้เลยครับ
#มหาศึกคนชนเทพ #Buddha
#โอตาคุใส่แว่น
ฝั่งมนุษย์นี่ฉายายาวกว่าเทพแทบทุกคน
ลิโป้ "เทพเจ้าแห่งสงคราม" ⚔️ (ค.ศ.155 — ค.ศ. 198)
เป็นยอดนักรบผู้ที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในยุคสามก๊ก หรือเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม มีร่างที่สูงใหญ่กำยำ มีสำนวนในสามก๊กกล่าวไว้ว่า “ หยืนจงหลี่ปู้ หม่าจงชื่อทู่ ” ความหมายของประโยคนี้คือ ยอดคนต้องลิโป้ ยอดม้าต้องเซ็กเธาว์ ความแข็งแกร่งที่กลายเป็นตำนาน ในฐานะของนักรบที่เก่งที่สุดในแผ่นดินยุคสามก๊ก ทั้งยังได้รับการกล่าวว่าเป็นผู้ชำนาญศึกอย่างยิ่ง แม้แต่ เล่าปี่, กวนอู และเตียวหุย ที่ร่วมมือกันสู้รบกับลิโป้ก็ยังไม่สามารถเอาชนะลิโป้ได้ โดยที่ตราบใดที่เขายังถือทวนกรีดนภา และนั่งอยู่บนหลังม้าเซ็กเธาว์ ก็ไม่มีใครล้มเขาลงได้
อดัม "บิดาแห่งมวลมนุษยชาติ" 🙏🥰
ในคัมภีร์ไบเบิล ได้กล่าวว่า พระเจ้าทรงใช้เวลาสร้างโลกทั้งสิ้น 6 วัน โดยทรงสร้างมนุษย์ในวันที่ 6 ของการทรงสร้าง ในหนังสือปฐมกาล บทที่ 2 ได้กล่าวถึงไว้ว่า พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน แต่สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์อื่น ๆ บนโลกใบนี้ เนื่องจากพระเจ้าทรงระบายลมปราณให้แก่มนุษย์ด้วย อาจเรียกลมปราณว่าวิญญาณเป็นเหตุให้หลังจากมนุษย์ตายลง ร่างกายจึงสูญสลายกลับกลายเป็นดินเช่นเดิม และมนุษย์คนแรกที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาก็คือ อดัม
อดัม เป็นมนุษย์คนแรกที่พระยาห์เวห์ทรงสร้างขึ้นจากดิน ตามคติของศาสนาอับราฮัม ปรากฏทั้งในคัมภีร์ฮีบรู คัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิม และอัลกุรอาน อดัมมีภรรยาชื่อว่าอีฟและเค้าทั้งคู่ก็ได้ให้กำเนิดบุตรหลานสืบทอดต่อกันมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นมนุษยชาติในปัจจุบันนั่นเอง หรือจะเรียกได้ว่าอดัมก็คือ"บิดาของมวลมนุษยชาติ"ก็ไม่ได้เกินจริงเลยครับ
ซาซากิ โคจิโร่ "ผู้พ่ายแพ้ที่แข็งแกร่งที่สุด" 💪
ซาซากิ โคจิโร่ (พ.ศ. 2128-พ.ศ. 2155) ตอนเด็กได้รับการเลี้ยงดูโดย จิไซ คาเนะมะกิ (Kanemaki Jisai) ต่อมาได้ถูก อิตโตไซ อิโต้ (Itō Ittōsai) เอาไปดูแลแทน กล่าวกันว่ามีบ้านเกิดอยู่แถวเมืองบุเซ็นหรือเอจิเซ็น ได้เข้ามาเป็นลูกศิษย์ของคาเนมากิ จีไซหรือไม่ก็โทดะ ไซเก็น โดยเรียนรู้ศาสตร์ลับวิชาดาบ โจโจริว ที่ใช้ดาบ"โมโนโฮชิซาโอ" ยาว 3 ฟุต จากไซเก็น
ต่อมาได้ท่องเที่ยวไปยังแคว้นต่างๆคิดค้นเพลงดาบ"นางแอ่นหวนกลับ"ขึ้นมาและก่อตั้งสำนักกันริว(หินผา)ขึ้น แล้วเดินทางปราบสำนักวิชาดาบในแคว้นตะวันตกมากมาย จนกระทั่งได้เป็นหัวหน้าครูฝึกวิชาดาบของตระกูลโฮโซกะวะ ตามคำชักชวนของโฮโซกะวะ ทาดาโอกิและกราเซีย โฮโซกะวะ
ในพ.ศ. 2155 ซาซากิ โคจิโร่ ได้ท้าดวลดาบกับยอดนักดาบแห่งยุคสมัยนั้นซึ่งขึ้นชื่อเก่งที่สุดในบรรดานักดาบ "มิยาโมโตะ มุซาชิ" ที่เกาะกันริว และพ่ายแพ้จนจบชีวิตลง
ปล.โคจิโร่มี "ท่าไม้ตาย" ที่คิดค้นขึ้นมาเองตอนเดินทางฝึกวิชาดาบมีชื่อว่า "นางแอ่นหวนกลับ" ซึ่งเปนการฟันเพื่อเปิดช่องว่างของอีกฝ่ายก่อน 1 ครั้ง ก่อนที่จะตวัดดาบกลับเพื่อฟันจู่โจมซ้ำอีกครั้งอย่างรวดเร็วโดยที่อีกฝ่ายตั้งรับไม่ทัน โคจิโร่คิดค้นท่านี้ได้ตอนฝึกดาบอยู่ที่น้ำตกและเห็นนกนางแอ่นบินโฉบลงมาแล้วพลิกตัวบินกลับอย่างรวดเร็ว
แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ "ประวัติศาสตร์ที่เลวร้ายที่สุดของอังกฤษ" 🔪
แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ (อังกฤษ: Jack the Ripper) เป็นสมญาของฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนในย่าน "ไวต์ชาเปล" ถิ่นยากจนในย่านอีสต์เอนด์ ของกรุงลอนดอน ในช่วงครึ่งปีหลังของ ค.ศ. 1888 ชื่อสมญาได้มาจากข่าวที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ที่ลงข่าวจดหมายลึกลับที่เขียนถึงสำนักข่าวกลางโดยผู้เขียนที่อ้างตนว่าเป็นฆาตกร ถึงแม้จะมีการสืบสวนและมีทฤษฎีที่น่าเชื่อถือมากมาย แต่ก็ไม่สามารถบ่งบอกโฉมหน้าที่แท้จริงของฆาตกรได้เลย
ตำนานเล่าขานเกี่ยวกับฆาตกรแจ็กเดอะริปเปอร์ได้กลายเป็นขนมผสมน้ำยา ระหว่างการค้นคว้าวิจัยอย่างจริงจังทางประวัติศาสตร์ ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดและนิทานพื้นบ้าน การขาดหลักฐานยืนยันที่แน่ชัดทำให้เกิดมีคำว่า "นักริปเปอร์วิทยา" มาใช้เรียกนักประวัติศาสตร์และนักสืบสมัครเล่นที่ศึกษาคดีอันโด่งดังนี้เพื่อกล่าวหาหรือพาดพิงถึงบุคคลต่าง ๆ ว่าคือตัวริปเปอร์ หนังสือพิมพ์ซึ่งมียอดขายเพิ่มสูงมากในช่วงนี้โทษว่าเป็นเพราะความล้มเหลวของตำรวจที่ไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ ทำให้ฆาตกรได้ใจและท้าทาย เหตุการณ์จึงเกิดต่อเนื่องเรื่อยมา บางครั้งตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุหลังเกิดการฆ่าเพียง 2-3 นาที แต่กลับไม่ได้ตัวคนร้าย เหยื่อเกือบทั้งหมดเป็นโสเภณี ฆาตกรรมส่วนใหญ่เกิดในที่สาธารณะหรือกึ่งสาธารณะ เหยื่อทุกรายถูกเชือดคอ หลังจากนั้นซากศพจะถูกหั่นตรงช่วงท้องและบางครั้งที่อวัยวะเพศ คาดกันว่าเหยื่อจะถูกรัดคอให้เงียบเสียก่อนลงมือฆ่า มีหลายกรณีที่มีการตัดอวัยวะภายในออก จึงมีผู้อนุมานว่าฆาตกรอาจเป็นศัลยแพทย์หรือไม่ก็คนขายเนื้อ ซึ่งยังหาข้อสรุปไม่ได้ หรือก็คือถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าใครคือ "แจ็ค เดอะริปเปอร์" กันแน่
ในปี ค.ศ. 2006 วารสารประวัติศาสตร์ บีบีซี. ลงคะแนนเสียงโดยผู้อ่านให้กรณี "แจ็กเดอะริปเปอร์" เป็น "ประวัติศาสตร์ที่เลวร้ายที่สุด" ของอังกฤษ
ไรเด็น ทามิมอน "นักซูโม่ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น" 🥋
ไรเดน ทามิมอน หรือชื่อจริง เซกิ ทาโร่คิจิ (Seki Tarōkichi) เกิดเมื่อมกราคม 1767 ในครอบครัวเกษตรกรในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดชินาโนะ ตั้งแต่เด็กเขาถูกบันทึกว่าเขามีร่างกายแข็งแกร่งอย่างมาก
เช่นเดียวกับผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ตำนานไรเดน ตอนเด็กก็เหลือเชื่อพอๆกัน มีคนอ้างว่าเห็นไรเดนยกก้อนหินที่หนักกว่า 200 ปอนด์หรือกว่า 90 กิโลกรัมแถวนอกบ้านได้อย่างสบายในขณะที่ช่วยงานครอบครัว นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าเขาสามารถยกอ่างอาบน้ำเหล็กในขณะที่แม่ของเขากำลังนั่งอยู่ มากไปกว่านั้นคือไรเดนยังสร้างบ้านให้พ่อแม่ของเขาใหม่ด้วยตัวคนเดียว
พ่อของเขาเห็นแววว่าเขาจะต้องเป็นยอดซูโม่ได้แน่นอน เลยส่งเขาเข้าเรียนซูโม่ตั้งแต่อายุ 14 ปีในหมู่บ้านใกล้เคียง หลังจากวัยหนุ่มเขาก็กลายเป็นยอดซูโม่ตามที่พ่อเขาคาด
ในช่วงรุ่งเรืองสุดไรเดนเป็นนักซูโม่ที่มีขนาดตัวใหญ่ที่สุด (ในเวลานั้น) เขาสูงกว่า 197 เซนติเมตร (สมัยก่อนถือว่าสูงที่สุดแล้วครับ) หนักกว่า 169 กิโลกรัม จุดเด่นเขาคือ แขนยาวและมือใหญ่ กล่าวกันว่ามือของไรเดนมีขนาดถึง 24 เซนติเมตร แต่ที่ประหลาดคือแม้จะรูปร่างจะใหญ่โต แต่เขากลับมีเทคนิคหลากหลายในการต่อสู้ และมีความเร็วที่ผิดจากรูปร่าง
5
เซกิหรือไรเด็นมีชื่อเสียงเรื่องการแข่งขันซูโม่ประมาณปี 1789 โดยชื่อซูโม่ว่า ไรเด็น (เสียงฟ้าร้อง) เก่งแบบแทบไม่เคยแพ้ซูโม่คนใดเลย (โดยรวมแล้วเขาชนะการแข่งขัน 254 ครั้ง แพ้ 10 ครั้ง) แม้ว่าไรเดนจะได้รับรางวัลมากมาย แต่ที่ประหลาดคือเขาไม่เคยได้ "โยโกซูนะ" ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของซูโม่เลย แถมเหตุผลที่เขาไม่ได้ก็ยังเป็นปริศนาในประวัติศาสตร์ของซูโม่ญี่ปุ่น (แต่เชื่อว่าเกิดจากการเมืองของวงการซูโม่ แต่ในขณะเดียวกันก็เชื่อว่าไรเดนไม่สนใจในเกียรติและพอใจกับอันดับของโอเซกิ)
แม้ว่าจะไม่ได้ตำแหน่งสูงสุดของซูโม่ แต่คนญี่ปุ่นก็ยกให้เขาเป็นยอดเทพซูโม่ตลอดกาล เพราะเปอร์เซ็นต์ชนะไม่มีใครเทียบเขาได้ในประวัติศาสตร์ของซูโม่
โอคิตะ โซจิ "นักดาบอัจฉริยะแห่งยุค" 🗡
โอคิตะโซจิ นักดาบอัจฉริยะแห่งยุคบาคุมัตสึ หัวหน้าหน่วยที่ 1 ของกลุ่มชินเซ็นกุมิ โอคิตะโซจิได้ชื่อว่าเป็นนักดาบหนุ่มที่มีพรสวรรค์สูงสุดและอาจจะเก่งในเชิงดาบที่สุดในยุคนั้นด้วย โดยได้รับใบรับรองเกียรติคุณจากสำนักดาบสายเท็นเน็นริชินริวตั้งแต่อายุ 18 ปี และไม่กี่ปีต่อมาก็ได้กลายเป็นเจ้าสำนักรุ่นที่ 5 ที่มีอายุน้อยที่สุดด้วย โอคิตะโซจิในประวัติศาสตร์นั้นมีฝีมือดาบเข้าขั้นปรมาจารย์ดาบ เชื่อกันว่าเขาเป็นคนที่เก่งที่สุดในกลุ่มชินเซ็นกุมิหน่วยตำรวจลับที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในฐานะกลุ่มผู้ดูแลความสงบในเมืองหลวงเกียวโต แต่น่าเสียดายยิ่งนักที่ยอดนักดาบผู้นี้ต้องจบชีวิตลงด้วยวัย 24 ปีจากวัณโรคโดยไม่มีโอกาสเข้าร่วมในสงครามโบชินซึ่งเป็นศึกชี้ขาดยุคสมัยเหมือนคนอื่น ๆ
จิ๋นซีฮ่องเต้ "ปฐมจักรพรรดิแห่งจีน"
ชื่อ "จิ๋นซีฮ่องเต้" ความหมายตรงตัวว่า "ปฐมจักรพรรดิฉิน" เป็นจักรพรรดิพระองค์แรกของประเทศจีนที่ทรงผนวกรวมเข้าเป็นหนึ่ง เดิมพระองค์เป็นผู้ครองรัฐฉิน และมีพระนามว่า ฉินหวังเจิ้ง ทรงสถาปนารัฐฉินเมื่อ 220 ปีก่อนคริสตกาล และทรงผนวกดินแดนจีนทั้งมวลได้สำเร็จเมื่อ 221 ปีก่อนคริสตกาล เป็นอันสิ้นสุดยุครณรัฐ พระองค์ไม่ใช้ตำแหน่ง "หฺวัง" (皇; "ราชา") ดังที่เคยใช้กันมาในสมัยราชวงศ์ซางและราชวงศ์โจว แต่ทรงใช้ตำแหน่ง "หฺวังตี้" (皇帝; "ราชาธิราช") จึงถือกันว่า ทรงเป็นราชาธิราช (จักรพรรดิ) พระองค์แรกแห่งประเทศจีน ตำแหน่ง "หฺวังตี้" นี้พระเจ้าแผ่นดินจีนทรงใช้สืบต่อกันมาอีกสองพันปี
ในรัชสมัยของพระองค์ แม่ทัพนายกองของพระองค์มีบทบาทอย่างยิ่งในการขยายแว่นแคว้น การรบกับเผ่าเยฺว่ทางใต้รัฐฉู่ทำให้ดินแดนไป่เยฺว่ของเมืองหูหนานและกวั่งตงตกเป็นของรัฐฉิน ส่วนการรบกับพวกซฺยงหนูในเอเชียตอนกลางส่งผลให้รัฐฉินได้ดินแดนเอ้อเอ่อร์ตัวซือของกลุ่มซฺยงหนู แม้ที่สุดแล้วจะเป็นเหตุให้มั่วตู๋ ฉาน-ยฺหวี ผู้นำซฺยงหนู สามารถผนวกดินแดนได้บ้างก็ตาม พระองค์ยังได้อำมาตย์ราชเสวกหลายคน เช่น อัครมหาเสนาบดีหลี่ ซือ มาช่วยปฏิรูปการเมืองและเศรษฐกิจเพื่อจัดระเบียบประเพณีอันหลากหลาย เป็นเหตุให้ทรงเผาตำรา ฝังบัณฑิต พระองค์ยังทรงรวมกำแพงเมือง ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปนั้นเข้าเป็นกำแพงเมืองจีน สร้างถนนหนทางระบบใหม่เป็นการใหญ่ และสร้างสุสานหลวงโดยมีรูปปั้นองครักษ์ขนาดเท่าคนจริงคอยพิทักษ์อยู่ ระหว่างที่อยู่ในราชสมบัตินั้น พระองค์ทรงเสาะแสวงหาน้ำอมฤตมาตลอด แต่สุดท้ายก็สวรรคตเมื่อ 210 ปีก่อนคริสตกาล
ซิโม ฮายฮา "White Death ความตายสีขาว" ☃️
ซิโม ฮายฮา (Simo Hayha) (17 ธันวาคม พ.ศ. 2448 – 1 เมษายน พ.ศ. 2545) เป็นพลซุ่มยิงที่ได้สร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ในสงครามฤดูหนาวที่สมรภูมิ "Battle of Kollaa" ชายผู้นี้ได้รับฉายาจากกองทัพโซเวียตว่า White Death หรือ ความตายสีขาว
เขาได้รับหน้าที่จากกองทัพฟินแลนด์ให้ทำหน้าที่เป็นพลซุ่มยิง เพื่อทำการซุ่มสังหารทหารของกองทัพแดง (ทหารโซเวียต) ด้วยภูมิประเทศที่มีอุณหภูมิหนาวติดลบ -20 ถึง -40 องศาเซลเซียส ฮายฮา จึงต้องใส่เครื่องแบบเป็นชุดพรางหิมะสีขาว ซึ่งใช้พรางตัวได้เป็นอย่างดีในลักษณะภูมิประเทศเช่นนี้
เขามียอดการสังหารทหารโซเวียต เฉพาะที่ได้รับการยืนยัน 542ศพ สมุดบันทึกที่ Kollaa กล่าวว่า ฮายฮานั้นใช้ปืนยาวแบบ M-28 ซึ่งเป็นปืนที่ฟินแลนด์เลียนแบบปืนยาวโมซินนากังค์ ของโซเวียต
ที่น่าทึ่งที่สุด คือ เขาเล็งปืนโดยไม่ใช้กล้องสโคป แต่เขาจะใช้ศูนย์เล็งมาตรฐาน โดยเขาได้กล่าวว่าหากใช้กล้องสโคป จะทำให้ศัตรูตรวจพบได้ เนื่องจากแสงแดดจะสะท้อนกับกล้อง นอกจากจะใช้ปืนยาวในการซุ่มยิงแล้ว ฮายฮา ยังใช้ปืนกลมือ "ซูโอมิ M-31" สังหารทหารโซเวียตไปอีก 200กว่าคน ทำให้ยอดการสังหารของเขาเพิ่มขึ้นมาอีกเป็น 700กว่าศพ
ทำให้เป็นที่หวาดกลัวของฝ่ายศัตรู รัสเซียพยามยามทุกทางเพื่อที่จะกำจัดชายคนนี้ทิ้ง ทั้งยิงปืนใหญ่แบบปูพรม ฮายฮา ก็ยังรอดมาได้ ถึงขนาดที่กองทัพโซเวียตใช้ทหารตัวเองออกมายืนในที่โล่งเพื่อหาตำแหน่งของ ฮายฮา แต่สุดท้ายทหารโซเวียตก็ถูก ฮายฮา สังหารจนหมด
จากเหตุการณ์ทั้งหมดทำให้กองทัพโซเวียตได้ตั้งฉายาให้เขาว่า "White Death" หรือ "ความตายสีขาว" เพราะ เมื่อทิวทัศน์ถูกย้อมไปด้วยสีขาว คุณก็จะถูกชายคนนี้สังหารโดยไร้วี่แวว ไร้ซึ่งการรับรู้ ศัตรูจะตายและหายเงียบไป ราวกับหิมะที่ตกลงมา
โฆษณา