Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
NextW
•
ติดตาม
9 เม.ย. 2021 เวลา 13:58 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ความเป็นไปได้ในมุม Michael Burry ตามการวิเคราะห์ของ NextW??
จาก โพสก่อนหน้านี้นั้น เราได้พูดถึง การปิดบัญชีTwitter ของ
Michael Burry ไปแล้ว ซึ่งหลายคนอาจจะรู้จักแต่ก็ยังมี อีกหลายคนไม่รู้จัก
ในบทความนี้ผมจึงขอที่จะ อธิบายประวัติย่อๆ ของนักลงทุนคนนี้และ ความคิดเบื้องหลังคำพูดของเขาตามการวิเคราะห์ของผมให้ท่านผู้อ่านฟัง
ประวัติ Michael Burry
Michael Burry นั้นเป็นนักลงทุนผู้มีชื่อเสียง ที่คาดการถึง การเกิด
วิกฤต ''ซับไพรม์'' ในอเมริกา โดยในเวลานั้นนักลงทุนส่วนมากในตลาดทั้งหมดได้เข้าซื้อ สินเชื่อซับไพรม์ กันเป็นจำนวนมาก แต่ Michael Burry เชื่อว่า สินทรัพย์พวกนี้นั้นไร้คุณภาพ และมันเเป็น เพียง ''ฟองสบู่''
ในวั้นนั้นไม่เพียงแต่ Michael Burry จะเตือนเหล่านักลงทุนแต่เขายังมีความคิดที่ล้ำกว่าคนในยุคนั้นคือ เขาเลือกที่จะทำการซื้อขายอนุพันธ์กับสถาบันการเงินอีกด้วย ซึ่งหลายๆคนเรียกมันว่าการ "Short/Long" แน่นอนว่าเขาเลือก Short!!!!
สำหรับคนที่ไม่รู้ว่า การซื้อขายอนุพันธ์ คืออะไร
ผมขอนิยามมันอย่างง่ายๆเพื่อให้คนที่ไม่ใช่นักลงทุนเข้าใจใว้แบบนี้
การซื้อขายอนุพันธ์โดยทั่วไปนั้น มี 2แบบ คือ Short และ Long
Short มันคือ ''การที่เรานั้นไปกู้สินทรัพย์ สินทรัพย์ของ นักลงทุนคนอื่นในตลาดแล้วขายไปก่อน โดยสัญญาว่าจะซื้อคืนให้ในภายหลังนั่นเอง ซึ่งหากราคาในขณะที่เราซื้อคืนนั้นต่ำกว่าราคาที่เราซื้อมาเราก็จะได้ส่วนต่างตรงนั้น ''
แต่ Long คือ ''การที่เราไป ยืมเงิน จากตลาด เพื่อไปซื้อสินทรัพย์ในตลาด ยิ่งเรา ซื้อได้ถูกและขายได้แพงก็ได้กำไรมากขึ้น
และวิกฤตฟองสบู่ซับไพรม์ ก็เกิดขึ้นจริงๆตามที่ Michael Burry คาดการณ์ไว้ซึ่งทำให้สถาบันการเงิน และบริษัทจำนวนมากล้มละลาย
และมันทำให้ เขากลายเป็น ''1ตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่'' จนมีการนำไปสร้างหนัง ''THE BIG SHORT'' ในภายหลังอีกด้วย
แน่นอนว่าการที่Michael Burry คาดการณ์เหตุการณ์นี้นั้น ไม่ไช่ความบังเอิญ แต่เหตุผลที่ว่าทำไมนักลงทุนจำนวนมากไม่เชื่อเขา เพราะความที่เขาไม่ได้อธิบายถึงสาเหตุเชิงลึกว่าทำไม เขาคิดแบบนั้นนั่นเอง ควา่มจริงเขาอธิบายแต่ไม่ได้ลึกซึ้งจนกระทั่งนักลงทุนรายอื่นเห็นด้วย เพราะจริงๆแล้วเขาไม่จำเป็นต้องอธิบายมัน
1
วิกฤตฟองสบู่ซับไพรมซับไพรม์นั้นเกิดในปี 2008 จากวันนั้นจนวันนี้ รวมเวลาทั้งสิ้นราวๆ 13ปี ในวันนั้น Michael Burry ได้พูดถึงการที่โลกจะเผชิญกับ วิกฤตฟองสบู่ ในอนาคตอีก แต่เขาไม่รู้ว่ามันจะมาถึงเมื่อไหร่
จนกระทั่งช่วงปี 2020 Michael Burry ได้ออกมาเตือนอีกครั้ง ถึงสภาพปัญหาตลาดการลงทุนที่จะเกิดในเร็วๆนี้
ซึ้งเขาชี้ให้เห็นถึงปัญหาของตลาดการลงทุนของ ''หุ้นและคริปโต'' โดยเขากล่าวว่า
“ฟองสบู่หุ้นเก็งกำไร (speculative stocks) ในที่สุดแล้วเราจะได้เห็นเมื่อนักพนันกู้หนี้มาเล่นกันมากเกินไป”
โดยเขาได้พูดถึงว่า ราคาหุ้นของ Tesla และหุ้นเทคโนโลยีหลายตัวนั้นมี ราคาที่สูงเกินไปมาก และคริปโต รวมถึงคริปโตชื่อดังอย่าง Bitcoin นั้นไร้ค่าโดยสิ้นเชิง รวมถึงการ ที่เขาบอกว่า App Robinhood ที่เป็นApp การลงทุนหน้าไหม่ในอเมริกา ที่ทำให้ผู้คนเข้าถึงการลงทุนได้อย่างง่ายดาย นั้นเป็น ''บ่อนการพนัน''
หลายคนอาจมองว่าเขาบ้า หลายคนอาจเห็นด้วย แต่กลับไม่ค่อยมีคนลองคิดไปถึง Mindset หรือตรรกะที่เขาอาจจะใช้ในการคิด ก่อนสรุปออกมาเป็นคำตอบ แน่นอน Michael Burry ย่อมไม่ออกมานั่งอธิบายยืดยาว
วันนี้ผม จึงขอพูดถึงความเป็นไปได้ของรูปแบบวิธีคิดที่ Michael Burry อาจจะใช้ก่อนได้คำตอบกัน
โดยผมได้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า
คริปโต และหุ้น(โดยเฉพาะหุ้น Tech) รวมถึง Appการลงทุนจำนวนมาก ที่เริ่มเปิดให้ใช้กันในปัจจุบัน นั้นมันจะสร้างปัญหาได้อย่างไรกับสภาพการเงินและ เศรษฐกิจของโลก ได้อย่างไร??
และในที่สุดผมก็ได้คำตอบ เมื่อเริ่มเห็นนักลงทุนระดับโลก ธนาคารและบริษัทใหญ่เช่น Tesla เข้าซื้อคริปโต
ณ วันนี้นั้น โลกการลงทุนมีปัญหาหมักมาตั่งแต่ใน อดีต ซึ่งแน่นอน แม้แต่บริษัทนอกตลาดก็มีปัญหานี้ นั่นคือ สิ่งที่พวกนักลงทุนเรียกว่า Debtcomplex ต้องบอกว่า Debtcomplex นั้นเกิดจากการที่ โลกกำลังใช้ระบบ ''การกู้หนี้เพื่อลงทุนเพิ่มนั่นเอง'' ซึ่งมันไม่ไช่การกู้ แบบ 1 : 1 ซะด้วย พูดง่ายๆคือ บริษัทขนาดใหญ่บนโลกทั้งหมดและนักลงทุนจำนวนมาก กำลังกู้ ครับ พวกเขาขยายกิจการ และซื้อของด้วยหนี้ ศัพท์นักลงทุนเขาเรียกกันหรูๆว่าการ ''leverage'' แต่ผมให้ความหมายบ้านๆ ว่า ''โคตรกู้'' เพราะ ในบางครั้ง พวกเขาอาจจะกู้ มากถึง 100X จากเงินที่เขามี? เช่น
มี 1000 กู้ 100000
เมื่อคุณเห็นคุณอาจจะมองว่านี่ อันตรายมากใช่ไหมครับ แต่นี่ยังเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็ง ซึ่งเราจะพูดถึงมันในบทความต่อไปครับ
ที่จริงแล้วนั้น ปัญหาหลักๆของ Debtcomplex คือ มันทำให้ การลงทุนของบริษัทและธนาคารต่างๆ โยงกันไปหมด หาก ราคาหุ้นจำนวนมาก ลดลงในระดับที่สูง เกินไปพร้อมๆกัน จะทำให้ โลกขาดเงินครับ เพราะ แน่นอน ทุกคนจะถูกบังคับขายหุ้น หากราคาหุ้นต่ำเกินไป
แน่นอน ปัญหลักคือรูปแบบการโดมิโน่นั่นเอง โลกเราวันนี้นั้นไม่ได้เหมือนเมื่อ 50ปีก่อนอีกแล้ว เรามีสิ่งที่เรียกว่า ''โลกาภิวัตน์ '' เกิดขึ้น พูดง่ายๆแต่ละประเทศ แต่ละอุตสาหกรรมเชื่อมโยงกันไปหมด เมื่อมีอุตสาหกรรมจำนวนมากหรือคนจำนวนมากล้มลง แน่นอนคนอื่นๆจะล้มตาม
อ่านมาถึงตอนนี้คุณคงเริ่มสงสัยแล้วว่า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ คริปโตและแอปการลงทุนหน้าใหม่?? ใช่ไหมครับ
แน่นอนมันเกี่ยว และเกี่ยวกันอย่างมากเสียด้วย
APP การลงทุนหน้าใหม่ ที่ถูกพัฒนาเช่น app robinhood ของ อเมริกา นั้นมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะก่อปัญหาครับ
หากเราจะถามว่า ฟองสบู่ซับไพรม์ Dotcom หรือต้มยำกุ้ง ที่เราคุ้นหูนั้น เกิดจากปัญหาของคนกี่คน ? เมื่อเรานึกย้อนไป ในช่วงนั้น เราไม่มี
สมาร์โฟน อินเตอร์เน็ต ก็ไม่แพร่หลาย พูดง่ายๆ นักลงทุนยังใช้วิธีการไปนั่งดูหุ้นผ่านจอในตลาดหุ้นอยู่เลย
สรุปง่ายๆ มีคนน้อยมากในตลาดเมื่อเทียบกับวันนี้
หากวันนี้เกิดเหตุการณ์แบบเดิมผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ความรุนแรงจะมากกว่าในอดีตแบบเทียบไม่ติด
แต่โลกกลับไม่จำบทเรียนในอดีตแต่เลื่อก ที่จะสร้างเครื่องมือที่ทำให้คนจำนวนมากเข้าไปลงทุนในตลาด นั่นคือ APP ต่างๆ เช่นตัวอย่างที่ผมกล่าวถึงข้างต้น
ทว่าหากมันเป็นเพียงแค่นี้ ผมคงไม่ตกใจนัก ที่ผมตกใจคือการ มาถึง คริปโตตั่งหาก ครับ ในช่วงแรกนั้นมันยังไม่ได้ เป็นกระแสนัก แต่หลังจากปี 2020มา มันกลับกลายเป็นกระแสอย่างรุนแรง เราไม่ได้กำไรพูดถึงในด้านของผลตอบแทน 6-10เท่าของมันใน1ปี แต่เรากำลังพูดถึง
''การแพร่หลายของมันตั่งหาก''
เราต้องเข้าใจก่อนว่า ในโลกนั้น คริปโตพวกนี้ยังเป็นข้อถกเถียงในด้านกฏหมายอยู่เลยแต่ ทว่าในวันนี้แม้แต่ดารานักแสดง ไลฟ์โค้ช ยังโฆษณามัน เพราะ มันมีแนวโน้มที่ว่า จะทำกำไรให้ผู้เข้าซื้อมัน จำนวนมหาศาลนั่นเอง
''พูดง่ายๆ มันคือสินทรัพย์เพื่อเก็งกำไร ไปแล้ว''
ภายใต้วิกฤตCOVID19 ที่ทำให้เรานั้นหาเงินยากลำบาก แต่มันกลับมีการลงทุนง่ายๆที่แค่ ไปซื้อสินทรัพย์ คริปโตและ รอคนถัดไปมาซื้อต่อในราคาที่สูงกว่าคุณก็จะได้เงินง่ายๆแล้ว นี่มันดีซะกว่าการไปขายของตามตลาดนัดแค่ไหนกัน
และมันก็ง่ายแสนง่ายในการเข้าุถึงเพียงแค่โหลดแอฟยืนยันเอกสารง่ายๆ แปปเดียวคุณก็เข้าถึงตลาดแล้ว นิละครับจุดที่เป็นปัญหา
มันง่ายและทำกำไรได้ง่าย ซะจน ''แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวหรืออาม่าที่บ้านก็ต้องถามว่า Bitcoin คืออะไร''
แน่นอนคุณคงเริ่มเห็นความผิดปกติบางอย่างแล้ว เงินหายากแต่ลงทุนกลับง่าย และได้กำไร ผมคงได้แต่บอกว่าเรากำลังหลงทาง ''เงินไม่ได้เกิดขึ้นจากอากาศ'' เงินมีต้นทุนเสมอ และแน่นอน การลงทุนที่ไม่เพิ่ม productivity จะไปลด productivity โดยรวม ลง
จากที่ผมเขียนคุณคงเริ่มเห็นแล้วว่า นี่มันน่ากลัวมาก แต่ผมคงต้องบอกว่านี่ยังไม่น่ากลัวเท่าไหร่และในคราแรกนั้นผมก็ยังคิดว่าคงประวิงไปได้สักพักใหญ่ๆ
แต่ความคิดของผมก็ต้องเปลี่ยนไป เมื่อ เหล่าบริษัทชั้นนำเช่น Tesla Microstrategy หรือ แม้แต่สถาบันการเงิน อย่าง JP morgan เข้าซื้อ คริปโตครับ นี่คือปัญหาที่ใหญ่มาก เพราะจะเกิด Effect พวกนี้
1. เมื่อบริษัทเหล่านี้ซื้อนั้น จะเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นของคนส่วนมากต่อคริปโตอันเป็นผลให้ มันราคาเพิ่มขึ้นและคนจำนวนมากกว่าเดิมจะ เข้าซื้อมันเพิ่ม รวมถึงบริษัทอื่นๆด้วย
2. เป็นการลาก ให้บริษัทและธนาคารที่ ซื้อมันไปผูกกับคริปโต ต้องอย่าลืมนะครับ ว่าบริษัทพวกนี้นั้น มันก็ผูกกับบริษัทอื่นๆอีกที ที่เขาเรียกว่าซัพพลายเชน
2
แน่นอน Effect พวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีครับ เมื่อตลาดคริปโตมีมูลค่าลดลง มันจะลากให้ มูลค่าหุ้น ของบริษัทพวกนี้ในตลาดลดลงตาม ซึ่งมีผลสืบเนื่องต่อไปอีกตามกลไก leverage จนสุดท้าย อาจจะลามไปยังอุตสาหกรรมนอกตลาดอีกด้วย
''ยิ่งมาก ยิ่งแย่ ยิ่งใหญ่ ยิ่งพัง''
แต่นี่ยังไม่ใช่ทั้งหมดครับ ปัญหาอีกด้านที่มันพ่วงอยู่แต่แรก คือการที่ เทคโนโลยี ณ ปัจจุบัน ทำให้ผู้คนเข้าถึงตลาดง่ายเกินไป เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเหมือนทางตัน ที่ไร้ทางออกครับ
ซึ่งหากผมเขียนแค่นี้ผู้อ่านหลายคนอาจจะยังสับสนบางส่วน ผมจึงจะเขียนจำลองรูปแบบความเป็นไปได้อีก 2แบบให้เข้าใจมากขึ้น
รูปแบบที่ 1
หากมีบริษัทและธนาคารเข้าร่วมมากขึ้น คริปโตจะมีราคาสูงขึ้น (แน่นอนเพราะตอนนี้เงินก็เริ่มเฟ้อแล้ว) แต่ผู้คนนอกตลา่ดหาเงินยาก พวกเขาก็ต้องมีความคิดที่จะเข้าตลาดครับ ยิ่งผลตอบแทนมันมากก็ยิ่งกู้ อาจจะมากกว่าเงินที่เขามีซะอีก แน่นอนในช่วงท้ายๆจะมีปัญหาเพราะ ตลาดการลงทุน คือ
''zero sum game ''
มีเพียงคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่จะชนะในตลาด
ในตลาดหุ้น นั้่นมีนักลงทุนเพียง 5-10% ที่อยู่รอดในตลาด ที่เหลือขาดทุนครับ แล้วคุณลองคิดดูว่า คนทั่วไปที่ไม่ได้ศึกษาหรือมีประสบการณ์ในด้านการลงทุน อัตราส่วนนั้น จะเป็นเท่าไหร่? 1% ไม่มีทางที่ทุกคนจะได้กำไร
นี่คือปัญหาครับ และแน่นอนแม้ ต่อให้มูลค่ามันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆไม่ลดลง คนเข้าตลาดมากขึ้น ทุกคนใด้กำไร คุณลองคิดสิ ว่าอะไรเกิดขึ้น
เงินจะเฟ้อครับ และ productivity จะลดลง คุณคิดสิ หาก
คุณตื่นเช้ามา แล้วเพื่อนบ้านคุณ ซื้อคริปโต แล้วก็กำไร คุณไปซื้อแล้วก็กำไรทุกคนซื้อกำไร แล้วราคามันก็เพิ่มไปเรื่อยๆ แล้วแม้แต่ชาวนา ก็จะซื้อมัน - - เพราะ พวกเขาเองก็มีลูกหลานที่โหลดแอฟเป็นครับ
โอเคร คุณคงจะเห็นแล้วว่า นี่คือ 1ในปัญหาที่หาทางออกไม่ได้กรณีมูลค่ามันเพิ่มงั้นเรามาดูทางที่2กัน
รูปแบบที่ 2
สมมุตว่าคุณตื่นเช้ามาแล้ว รัฐบาลทั่วโลกประกาศปัญหานี้ออกไปและแบนมัน จะเกิดอะไร แน่นอนปัญหาอาจจะไม่ใหญ่เท่าแบบแรกแต่ มันลุกลามเรียบร้อยแล้วครับ ตอนนี้คริปโตมันเริ่มไปยึดโยงกับ ตลาดหุ้นเรียบร้อยแล้ว ซึ่ง รัฐก็เล็งเห็นปัญหาแล้วแต่ พวกเขาไม่อาจแบนมันได้แบบทันที หากคุณไปอ่านข่าวจะพบกว่า กลต. ของ อเมริกามีการยื่นฟ้องคริปโต โดยนัยยะแล้วพวกเขาพยายามจะทำลายมัน แต่ใครจะรู้หากพวกเขาทำไม่สำเร็จ มันจะยิ่งบานปลายกว่าเดิม และต่อให้พวกเขาทำสำเร็จ ชนวนก็ถูกจุดไปแล้ว ซึ่งพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า จะเกิด EFFECT ยังไงตามมา
1
จากบทความนี้พวกคุณคงเห็นแล้วถึงปัญหาที่ใหญ่มาก และนี่คงเป็นเหตุผล ที่ว่าทำไม Michael Burry ถึงบอกว่า ฟองสบู่จะแตกและ มันเกี่ยวกับ พวก หุ้น Tech และ คริปโต รวมถึง แพลตฟอร์มซะด้วย แต่แน่นอน เวลามันเกิด
ปัญหาที่ตามมา มันจะมากกว่านั้นมหศาล
หากสนใจในบทความและบทความที่ผมเขียน ก็ให้ติดตามเพจนี้ได้นะครับ
โดยผมมีโครงการที่จะอัพเดตบทความใหม่ๆในทุกๆวัน
เรื่องใหญ่ไกล้เข้ามาแล้วครับแต่อย่าเพิ่งถามนะครับว่าอะไรจะเกิดบ้าง ผมจะค่อยๆเฉลยๆ ถึงข้อมูลเหตการณ์ต่างๆ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน รวมถึงข้อแนะนำจากมุมมองของผม ^^ ขอบคุณที่อ่านกันนะครับ
ชนวนต่างๆมันจุดไปแล้ว และเราเหลือเวลากันไม่มากผมหวังว่าข้อมูลที่ผมจะให้ต่อจากนี้จะช่วยผู้อ่านในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆได้ไม่มากก็น้อยครับ
ผู้เขียน คัมภีร์ วงศ์นิคม
4-9-2021
www.facebook.com/NextWd
บันทึก
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย