10 เม.ย. 2021 เวลา 13:46 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
Universal Basic Income
แจกเงินฟรี ทั่วโลก ''ทางออกสุดท้ายของโลกหรือทางตันของมนุษยชาติ''
ก่อนที่จะเขียนบทความนี้นั้น ผู้เขียนได้เคยตั้งคำถามและฉุกคิดเกี่ยวกับประเด็นนี้เมื่อ ประมาณ 1ปีก่อนหน้านี้ โดยในตอนนั้นเป็นช่วงระยะเริ่มต้นของCOVID19 มันมีคำถามที่เกิดในหัวว่า มันจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อโลกหมุนไปในทิศทางแบบนี้ ?
ในตอนนั้นนั้นผู้เขียนเอง ก็คิดถึงความเป็นไปได้หลายรูปแบบแต่ทว่าก็ ไม่ได้คิดถึงประเด็นนี้ต่อ จนกระทั่งวันก่อนได้ ในขณะที่เลื่อนมือไปเรื่อยก็ได้เห็นคลิปๆนึง และสะดุดใจเพราะในคลิปนั้นก็พูดถึง เรื่องนี้เหมือนกัน
ผู้เขียนจึงได้ ไปค้นคว้าเกี่ยวกับสิ่งๆนั้น ซึ่่งมันก็คือ สิ่งที่เรียกว่า ''Universal Basic Income '' หรือจะเรียกว่า การแจกเงินฟรีเพื่อช่วยเหลือในการใช้ชีวิตขั้นพื้นฐาน ก็คงได้
แต่ก่อนที่จะมาเขียนถึงเรื่องนี้ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจมากขึ้น อาจจะต้องเท้าความไปถึง สิ่งที่เรียกว่า ''คอมพิวเตอร์'' กันซะก่อน
ตามประวัติศาสตร์ของโลกที่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ในช่วง4000-6000ปีก่อน คุณรู้ไหมว่าจริงๆแล้วนั้น ก่อนที่เราจะมีคอมพิวเตอร์นั้นโลกของเรามีพัฒนาการด้านเทคโนโลยี ที่เราอาจจะใช้คำพูดว่า ''เต่าคลาน'' ได้เลย เมื่อเทียบกับช่วงหลังจากมีคอมพิวเตอร์
นี่เป็นสิ่งที่คนหลายๆคนมองข้ามมันไปครับ คอมพิวเตอร์เครื่องแรก ถูกสร้างขึ้น ในช่วง ปีค.ศ.1930-1940 นี้เอง น่าตกไหมครับ นั่นมันเพิ่งจะ
แค่81-91ปีก่อนเองครับ นี่มันตลกมาก ไม่ถึง 100ปีด้วยซ้ำ
และหากจะพูดให้ใช้กว่านี้ จริงๆมันเริ่มแพร่หลายในวงกว้าง
หลังจาก ที่Bill Gates 1ในอัจฉริยะ ของโลกได้ทำให้โลกรู้จักกับ ''Windows 1.0'' ในปี ค.ศ.1983 ซึ่งนับเป็นเวลาราวๆ 38ปีก่อน
และนี่คือจุดเริ่มต้นที่โลกเริ่มเปลี่ยนครับ อ่านมาถึงตรงนี้แล้วผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าผมพูดถึง คอมพิวเตอร์ และ Windows ทำไม ผมต้องอธิบายก่อนว่า หลังจากสิ่งพวกนี้ปรากฏขึ้นบนโลกนั้น มันทำให้โลก พัฒนาเทคโนโลยีในอัตราเร่งที่ไม่ใช่การ + แต่ เพิ่มในลักษณะ Exponential หรือการทวีคูณ
คุณพอจะเห็นภาพใช่ไหมครับ ว่าต่างกันขนาดไหน ระหว่าง
5+5 =10 กับ 5ยกกำลัง5 = 15,625
มันแตกต่างกันขนาดนั้นครับ
หมายความว่านับจากปีนี้ ค.ศ. 2021 โลกของเราจะพัฒนาด้วยอัตราเร่งที่มากยิ่งขึ้นไป
นับจาก Computer มาเป็น Window มาเป็น Internet จนตอนนี้มา เป็น
Smartphone และ กำลังไปสู่ เทคโนโลยี Blockchain ,IOT และ AI
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ''โลกพัฒนาก็ดีแล้วนิ''
ในเรื่องนี้นั้น ผมคงต้องใช้คำพูดว่าเหรียญย่อมมีสองด้านเสมอครับ
ในขณะที่โลก พัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพราะ ''เทคโนโลยีนั้นพัฒนาทับซ้อนบนเทคโนโลยีเดิมเสมอ'' ความเหลื่อมล้ำในสังคมกลับเพิ่มสูงขึ้นในลักษณะเส้นขนาน
ที่เป็นแบบนั้นเพราะ ในวันนี้เราคงจะเริ่มเห็นแล้ว ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้เกิด ''ข้อได้เปรียบที่ไม่เป็นธรรม'' บางคนอาจจะเรียกมันว่า Unfair Advantage พูดง่ายๆคือ ยิ่งคุณนำหน้าคนข้างหลังยิ่งถูกทิ้ง
ด้วย เทคโนโลยีและโลกาภิวัตน์ (เทคโนโลยีทำให้เกิดโลกาภิวัตน์) มันจะทำให้เกิด ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ''Winner Take all'' หมายความว่า ผู้ชนะจะยิ่งสร้างช่องว่างให้กว้างมากขึ้นเมื่อเทียบ กับผู้แพ้
เช่น วันนี้ คุณเปิดร้านโชห่วย ขายของวันดีคืนดี เซเว่น ก็มาเปิดแข่งกับคุณด้วยปัจจัยหลายๆอย่างที่ดีกว่า คุณก็จะขายของไม่ได้ และสุดท้ายก็ต้องหาทางทำอย่างอื่นแทน
ในประเทศที่พัฒนาแล้วเช่น อเมริกาเอง ก็กำลังประสบปัญหานี้อยู่เหมือนกัน จากการที่ Amazon บริษัทด้าน E-Commerce (อย่าเข้าใจผิดเป็นร้านกาแฟนะครับ) อันดับ1ของโลก เติบโตมากขึ้น อีกด้านหนึ่งชาวอเมริกาจำนวนมากก็ สูญเสีย ''american dream'' ความฝันที่จะเปิดกิจการเล็กๆของพวกเขาไป จนทำให้มีการประท้วงเกิดขึ้น
หากอ่านมาจนตอนนี้คุณคงเริ่มเห็นแล้วว่าเหรียญไม่ดีมีด้านเดียวแต่ ผมจะบอกว่าที่ผมเขียนมาทั้งหมดยังเป็นแค่ ปัญหาเล็กๆครับ ปัญหาใหญ่จริงๆคือที่ผมกำลังจะเขียนต่อจากนี้ตั่งหาก
ต้องบอกว่า จริงๆในวันนี้ที่เราเห็น บริษัทเทคโนโลยีที่ พัฒนา แอฟ แพลตทฟอร์ม ที่มา Distupt ทำลายธุรกิจเดิมแล้วนั้น นี่เป็นเป็นเพียงแค่สัญญาณอันตรายเท่านั้น ใช่ไม่ใช่ตัวอันตรายๆจริงๆเลยด้วยซ้ำ
''จริงๆอันตรายคือ สิ่งที่เกิด จาก AI และ ระบบ Automation ที่ลดการใช้มนุษย์ในการทำงานลงตั่งหากครับ''
หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมมันอันตรายผมคงต้องบอกว่า
ตัวเทคโนโลยีเองนั้นดีครับ แต่คนที่ใช้มันตั่งหากที่เป็นปัญหา คือหากเราคิดแบบง่ายๆเลย สมมุตคุณสามารถทำสวน ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ได้โดยแทบจะไม่ต้องใช้คน Productivity ก็จะมากขึ้น ใช้แรงน้อยลงอีก ดูเผินๆก็จะดีใช้ไหมครับ เพราะหุ่นยนต์ทำให้แทบทุกอย่าง แต่ความจริงมันมีปัญหาซ่อนอยู่ครับ
นั่นคือการที่ '' คนจำนวนมากจะสูญเสียงานของพวกเขาไป '' คุณคิดจริงๆหรือว่า คนส่วนใหญ่จะปรับตัวกับมันได้ ข้อเท็จจริงหลายตัวบ่งชี้ว่าไม่ใช่ครับ
อาจจะมีคนเพียงไม่ถึง 10% ที่ปรับตัวได้ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยมาก
และวันนี้คนหลายคนที่ตระหนักถึงปัญหานี้ก็ได้เริ่ม คิดและทดลองวิธีการแก้ปัญหา ซึ่งก็คือสิ่งที่นักวิชาการเรียกมันว่า ''Universal Basic Income ''
แม้แต่ CEO และนักประดิษฐ์ชั้นนำของโลก อย่าง Elon Musk ก็เคยกล่าวไว้ว่า
''หุ่นยนต์จะมาแย่งงานส่วนมากของผู้คนไป และแนวทางเดียวในการแก้ปัญหาก็คือ การแจกเงินให้ผู้คนใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน''
โอเครนี่ก็ดี และดูเหมือนจะเป็นทางออกเดียวและดูไกลตัวใช่ไหมครับ
แต่คุณรู้หรือไม่ว่าเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า Universal Basic Income นักคิดหรือนักธุรกิจชั้นนำหลายคน คาดว่ามันจะเกิดภายในเวลาเพียง 10ปีต่อจากนี้??
แต่สำหรับบางคนรวมถึงผมเอง ประเมินว่ามันจะเกิด ใน 5-10ปีต่อจากนี้
สรุปแล้วไกลหรือไกล้ตัวกันแน่ครับ?
เอาหล่ะไม่ว่าจะไกลหรือไกล้ปัญหาไม่ใช่อยู่ในจุดนั้นครับ ทั้งที่การแจกเงินฟรีดูเหมือนจะเป็นทางออกเดียว แต่มันกลับพ่วงปัญหามากมาย เช่น
-Productivty ของโลกที่ลดลง
-คนจะมีความกระตือรือล้นในการทำงานน้อยลง
-เงินเฟ้อ
-มันอาจจะไม่ได้ช่วยในการแก้ปัญหาด้านคุณภาพชีวิตในระยะยาว
-โลกพัฒนาช้าลงเพราะมีการแข่งขันน้อยลง
-การต่อต้านจากผู้คนที่ทำงานได้
มีปัญหาจำนวนมากรออยู่ข้างหน้าแต่คุณรู้ไหม จริงๆผมกลับคิดว่าปัญหาพวกนี้น่ะเรื่องเล็ก ปลายทางไม่ใช่ปัญหา
ที่สำคัญคือ ''เส้นทางระหว่างนั้นตั่งหาก''
คือการแจกเงินฟรีไปถึงระดับที่ สามารถใช้จ่าย สำหรับมาตรฐานชีวิตขั้นพื้นที่ฐานนั้น เป็นไปได้ครับแต่คำถามคึอระหว่างนั้นล่ะ
''การต่อต้านจากผู้คนที่ปรับตัวได้และสามารถทำงานได้ หลังจาก Universal Basic Income เกิดขึ้นชัดเจนยังไม่น่ากลัวเท่ากับ ช่วงที่มันยังไม่ชัดเจน''
แน่นอนนี่คือเรื่องที่น่ากลัว และหลายคนยังไม่ได้มองไปยังมันครับ
โลกทุกวันนี้ตั้งอยู่ บนโครงสร้างที่เรียกว่า ''ทุนนิยมเสรี" แม้กระทั่งประเทศจีนก็เป็นแบบนี้ ซึ่งแน่นอน เหล่าบริษัทหรือผู้คนชั้นนำ ย่อมไม่อยากจะยอมรับ Universal Basic Income แน่นอนเพราะ หลักการของธุรกิจคือ ''กำไร''
ในวันนี้เพียงแค่ อเมริการิเริ่มปรับขึ้นอัตราภาษี เพียงไม่กี่ % ก็ทำให้เกิดข้อกังขาแล้ว และหากผมจะบอกว่า Universal Basic Income จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อทั้งโลก เห็นพ้องต้องกันหล่ะ แน่นอนคนบางคน ประเทศบางประเทศย่อมไม่เห็นด้วย
''พวกเรานั้นกำลังมองไม่เห็นภูเขาน้ำแข็งตรงหน้าเหมือนช่วงก่อนเรือ ไททานิคจะชนมัน''
หมอกที่มีชื่อว่า Covid19 กำลังหันเหความสนใจของพวกเราจากปัญหาแท้จริง ปัญหาจาก ''เทคโนโลยี''
มีคนเพียงไม่ถึง 10% ที่สามารถทำงานที่ซับซ้อน ภายใต้ เทคโนโลยีใน เวลาเพียง 5-10ปีข้างหน้า นี้ แล้ว อีก 90% หล่ะ เราต้องเลิกหลอกตัวเองว่ามนุษย์ส่วนใหญ่จะปรับตัวได้ จริงๆส่วนน้อยตั้งหากที่ปรับตัวได้ ต่อให้ตัวเลขของคนที่ปรับตัวได้จะเปลี่ยนเป็น 20% หรือ 30% นั่นก็เป็นปัญหาอยู่ดี
และนี่คือ 1 ในเหตุผล ว่าทำไมประเทศจำนวนมากเริ่มแจกเงิน หลัง Covid19 (รวมถึงประเทศไทย)
ส่วนนึงพวกเขาใช้โอกาศนี้ในการทดลองครับ
คือผมจะบอกว่า สมมติฐานต่างๆที่นักคิดคิดนั้นมันยังไม่แน่ชัดถึงผลลัพธ์ จนกระทั่งพวกเขาจะทดลองมันแล้วครับ
และผู้อ่านรู้ไหมครับความจริง ประเทศต่างๆบนโลกพยายาม ทดลอง Universal Basic Income มาสักพักใหญ่ ตั่งแต่ช่วง ค.ศ.1982 โดยบางประเทศก็จะเริ่มเร็ว บางประเทศก็จะเริ่มช้า
ไม่ว่าจะเป็น
-อเมริกา
-เคนย่า
-แคนาดา
-ฟินแลนด์
-ไต้หวัน
-สกอตแลนด์
-ไทย
จริงๆมีมากกว่านี้อีกครับ แต่ผมเพียงยกตัวอย่างให้เห็น แน่นอนประเทศเหล่านี้จะไม่ทดลองมันเลย ถ้าไม่มีความเป็นไปได้ว่าปัญหาจะเกิด พวกเขารู้มานานแล้ว ตั่งแต่50ปีก่อน เพียงแค่พวกเขาไม่ได้พูดออกมาแค่นั้นเอง
แน่นอนยังมีข้อมูลอีกจำนวนมากที่ผมไม่ได้พูดถึงแต่ผมจะค่อยๆตีแผ่ ข้อเท็จจริงจำนวนมากให้เพื่อนๆได้รับรู้กันครับ เพื่อที่จะรับมือกับอนาคตอันไกล้ที่เกิดขึ้นได้อย่างดีที่สุด
''ผมคิดว่าเรื่องนี้น่ะน่ากลัวและใหญ่กว่าที่คิด
แล้วเพื่อนๆละครับ มีความเห็นยังไงกันบ้างคอมเม้นกันมาได้นะครับเพื่อแบ่งปันแนวคิดระหว่างกัน''
ผู้เขียน คัมภีร์ วงศ์นิคม
4-10-2021
#NextW
ติดตามบทความและความรู้ใหม่ๆเพื่อรับมือกับ ''โลกใหม่'' ได้ดียิ่งขึ้นผ่านเราได้ที่
แหล่งอ้างอิงบางส่วน
-basicincome.stanford.edu/about/what-is-ubi/
-Martin Luther King, Jr. "Where Do We Go from Here: Chaos or Community?" Beacon Press, 1967
-U.S. Congress. "H.R. 1319, Pages 141-148
-Charles Murray. "In Our Hands: A Plan to Replace the Welfare State." Aei Press, 2016.
โฆษณา