11 เม.ย. 2021 เวลา 16:14
เวลาที่ความว่างอยู่เหนือทุกปัญหาคือเวลาที่ความสงบเกิดขึ้น
เคยไหม ปัจจัยรอบตัวรุมเร้า การดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด
ทำให้เราวุ่นวายขวนขวายจนลืมความจริงแท้
ที่ว่าเราเกิดมาทำไมหากความจริงที่ว่าสัตย์
เวียนเกิดตายส่วนใหญ่มักลงอบายภูมิแล้วเรา
มีอะไรการันตีว่าตายแล้วจะหาความสุขเจอ
ไม่ทำไม่ดิ้นไม่มีจะวางได้อย่างไร
ตอนเกิดมามีอะไรติดตัวมาบ้าง....
แต่เล็กจนโตความต้องการก็มากขึ้นตามอายุ
แต่ความต้องการของคนส่วนใหญ่มีแต่จะเพิ่มขึ้นอีก
ไม่เหมือนอายุที่ลดลง ความแก่เจ็บไข้และความตาย
ตามติดเช่นดังเงา ไม่ว่าเรารึตัวเขา ไม่อาจหลีกไกล
จะทะเยอทะยานเพื่ออะไรกันเล่า
ดันทุรังขึ้นไปถึงสุดท้ายก็ว่างปล่าวแต่
จิตใจกลับฟุ้งซ่านไม่รู้จักพอ สบายตลอดชีวิต
คงดีหนอ เสพความสุยให้พอ
แต่ลมหายใจดับลงแล้วหนอ เจ้าจะไปที่ใด
การปล่อยวางในมุมผู้ไม่มีปัญญากับผู้มีปัญญา
ผู้ไม่มีปัญญา
ปล่อยวางคือทิ้ง แม้กระทั่งหน้าที่
ภาระ ทิ้งแบบเข้าใจผิด ๆ ยิ่งทิ้งยิ่งแย่พอแย่
ก็ว่าลองทำแล้วไม่เห็นเข้าท่าเปรียบดังความรู้
ที่ตนเรียนร่ำมา ว่าไม้สองอันสีกันหนาเกิด
ประกายไฟ ครั้นตนลองทำจริงเหตุอันใด
ประกายไฟถึงไม่เกิดพลัน เพราะความเขลา
ของตนนั้นเลือกใช้ไม้เปียกชื้นนั่นไง
ผู้มีปัญญา
ปล่อยวาง ตอบตามสัจ ไม่ใช่ทิ้งหน้าที่หรือภาระ
แต่ปล่อยความฟุ้งในจิตวางลงซะ
ใจเบาได้กายสู้ไหว หนักปัญหา ถาโถม
มาทางใด กายแก้ไข ตามปัจจัย เหตุสมควร
ไม่เอาใจ ไปแบก ให้เหนื่อยจิต เพียงความคิด
มองมุมต่าง ทางสว่างผล ไม่หลงเชื่อ ความอยาก
ตามใจตน รู้เท่าทันอกุศลเกิดในใจ
จิตใจเปรียบเหมือนดังกระจกได้แน่หรือ
มีคำกล่าวผู้รู้บางท่านกล่าวไว้ ว่าจิตใจเปรียบดัง
เช่นกระจกต้องคอยหมั่นทำความสะอาด
เพื่อไม่ให้ฝุ่นมาเกาะเพื่อให้กระจกใสอยู่ตลอดเวลา
ฟังดูดีล้ำค่าแต่เหตุผลเที่ยงแท้ที่ลึกซึ้งกว่า
คือสัจธรรมว่า "เมื่อทุกอย่างว่างปล่าว
ฝุ่นจะจับที่ใด"
(ชีวิตที่ผ่านมากับชีวิตที่เหลืออยู่จะมีสักกี่คนเล่าที่รู้
ชัดว่าอย่างไหนมากกว่ากัน)
โฆษณา