13 เม.ย. 2021 เวลา 03:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Minari
ผู้กำกับ Lee Isaac Chung
(PG-13 / 1.55 ชั่วโมง)
จากความสำเร็จยิ่งใหญ่ในปีก่อนของหนังเกาหลีอย่าง Parasite ที่รับทั้งเงินทั้งกล่องจากเวทีต่างๆมากมาย รวมถึงรางวัลสูงสุดอย่างออสการ์ ปีนี้เหมือนมีหนังเกาหลีอีกเรื่องอย่าง Minari ที่อาจจะไม่ถึงกับเปรี้ยงปร้างขนาดนั้น แต่ก็เดินตามรอย เริ่มกวาดรางวัลตั้งแต่เทศกาลซันแดนซ์ จนถึงมีชื่อเข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมออสการ์ไปเหมือนกัน ถึงการหวังรางวัลใหญ่จากเวทีนี้อาจจะยากหน่อยเพราะมีตัวเต็งอย่าง Nomadland ขวางอยู่
จริงๆจะบอกว่า Minari เป็นหนังเกาหลีก็ไม่ถูกนัก เพราะตัวผู้กำกับ Lee Isaac Chung ต้องถือว่าเป็นคนอเมริกาเชื้อสายเกาหลี เกิดที่อเมริกา หนังออกทุนโดยบริษัทอเมริกา และถ่ายทำทั้งหมดในอเมริกา แต่ถ้าได้ไปดูก็จะรู้สึกว่าเรียกว่าเป็นหนังเกาหลีก็ไม่น่าเกลียดนัก เพราะในหนังน่าจะใช้ภาษาเกาหลีมากถึงประมาณ 70-80%
Minari เป็นหนังกึ่งอัตชีวประวัติของผู้กำกับ-ผู้เขียนบท Lee Isaac Chung เล่าถึงครอบครัวผู้อพยพจากเกาหลีมาอเมริกาในยุค 80 ที่ประกอบด้วยคู่สามีภรรยา Jacob กับ Monica, Anne ลูกสาวคนโตและ David ลูกชาย Jacob ตัดสินใจพาครอบครัวย้ายจากแคลิฟอร์เนีย ทุ่มสุดตัวไปซื้อรถบ้านและที่ดินผืนหนึ่งในชนบทของอาร์คันซอตั้งใจจะเริ่มต้นชีวิตใหม่หาเลี้ยงชีพด้วยการปลูกผักผลไม้เกาหลี และชวน Soon-ja คุณแม่ของ Monica ให้ช่วยย้ายมาอยู่ด้วยกันเพื่อดูแลลูกๆทั้งสอง ระหว่างที่พ่อและแม่ต้องทำงานแยกเพศลูกเจี๊ยบในโรงงานเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพไปคู่กับการพยายามทำฟาร์มทำไร่ให้สำเร็จ
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้พิเศษและสร้างความประทับใจต่อผมและคนดูหลายๆคนน่าจะเป็นความสมจริงของหนัง และการสร้างอารมณ์ร่วมให้กับคนดูได้ด้วยวิธีเหนือชั้นในการดึงความรู้สึกของคนดูขึ้นมาได้จากประสบการณ์ในอดีตของตัวเอง ทั้งๆที่เรื่องราวเกี่ยวกับการใช้ชีวิตแบบ American Dream ของผู้อพยพจากเกาหลีในอเมริกาในยุคนั้นจะดูเป็นเรื่องที่ไกลตัวใครหลายๆคน แต่อย่างที่ผู้กำกับเคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาได้เห็นหลายคนรู้สึกร่วมไปกับหนังเรื่องนี้ได้ทั้งๆที่ไม่ใช่ผู้อพยพเกาหลีที่มีประสบการณ์อย่างในหนัง
เพราะมันทำให้พวกเขานึกถึงครอบครัวของตัวเอง เรื่องราวของผู้อพยพมันคือเรื่องราวของครอบครัว หลายๆครั้งในเรื่องราวของผู้อพยพ สิ่งที่ถูกมองข้ามคือข้อเท็จจริงว่าเหตุการณ์ในเรื่องราวเหล่านั้นมากมายเกิดจากความรัก ความรู้สึกแห่งความปรารถนาที่จะเสียสละเพื่อกันและกัน
ความสมจริงของหนังยังมาจากการปฏิเสธการเล่าเรื่องแบบเมโลดราม่า สร้างความขัดแย้งจนดูเกินจริงใดๆ ทั้งที่เหตุการณ์ในเรื่องเอื้อให้เล่าแบบนั้นมากมาย ประเด็นในหนังเรื่องนี้หนักๆทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิตตามแบบฉบับ American Dream ที่ขับให้ตัวละครตัดสินใจเสี่ยงๆและอาจจะพังเมื่อไหร่ก็ได้ ความยากจนข้นแค้น อุปสรรคในชีวิตแต่งงาน เรื่องพระเจ้าและศาสนา หรือการเป็นชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ในชนบทอเมริกายุคก่อน จินตนาการว่าถ้าหนังเล่าเรื่องด้วยวิธีเมโลดราม่า ก็จะได้หนังสูตรเร้าอารมณ์ธรรมดาๆเรื่องหนึ่ง แต่ในขณะที่หนังหลายๆเรื่องที่ปฏิเสธแนวทางนี้ก็อาจให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นหนังที่เข้าถึงค่อนข้างยากสำหรับคนดูทั่วๆไป Minari ดำเนินเรื่องไปข้างหน้าทุกฉากทุกตอนอยู่บนจุดสมดุลย์ของอารมณ์และความสมจริง ด้วยวิธีการที่เรียบง่ายและจริงใจ ไม่ชี้ชวนชักนำหรือหาทางออกง่ายๆให้กับเรื่องราวหรือตัวละครในหนัง ต้องยกความดีความชอบให้ทั้งฝีมือและความแม่นยำของผู้กำกับและทีมนักแสดงทั้งเรื่องที่ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
Steven Yeun ในบท Jacob น่าจะช่วยให้หนังอยู่ในสายตาของคนดูวงกว้างมากขึ้นพอสมควรเพราะหลายๆคนคุ้นหน้าคุ้นตากันมานานจากบทบาท Glenn ในซีรีส์เรื่องดังอย่าง The Walking Dead หลังจากบทเด่นในหนังเกาหลีคุณภาพเมื่อสองปีก่อนที่ผมชอบมากอย่าง Burning มาเรื่องนี้เขาสานต่อด้วยการแสดงเป็นคุณพ่อผู้ลงทุนทุ่มสุดตัวแบบไม่ยอมถอยกลับ นำครอบครัวมาเสี่ยงแสวงหาหนทางใหม่ๆด้วยความเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน และก็เล่นดีจนไปมีชื่อติดโผชิงรางวัลนำชายบนเวทีต่างๆรวมไปถึงออสการ์ แต่ที่ขโมยซีนในเรื่องจริงๆคือ Yuh-Jung Youn ในบทสร้างสีสันอย่างคุณยายที่ไม่ได้มีคุณสมบัติที่เด็กคิดว่าคุณยายจากเกาหลีควรจะเป็น เธอทั้งชอบสบถคำหยาบ อยากจะสอนหลานๆเล่นไพ่ ชอบดูมวยปล้ำ ในหนังช่วงแรกๆผมรู้สึกว่าก็เป็นบทที่มีสีสันและก็เล่นดีแต่ไม่ได้ประทับใจมากนัก จนเมื่อหนังดำเนินเรื่องไปจึงค่อยๆเข้าใจได้ว่าทำไมเธอถึงกลายเป็นตัวเต็งนักแสดงสมทบหญิงที่จะคว้าออสการ์ปีนี้ไปแล้ว บทของเธอไม่ได้มีแค่ออกโผงผางเหมือนในช่วงแรก แต่มีอะไรมากกว่านั้นให้ได้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับความสัมพันธ์ยาย-หลานที่ค่อยๆพัฒนาจากความอึดอัด ผิดหวัง และไม่เข้าใจ เป็นความผูกพันที่สื่อถึงกันได้ถึงจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ และเธอก็แสดงได้อย่างละเอียดอ่อน แม่นยำทุกฉาก
นอกจากนักแสดงทั้งสองคนที่ได้ชิงออสการ์แล้ว อีกสองตัวละครหลักที่ทำหน้าที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือ Alan S. Kim ในบทลูกชาย David จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่มองผ่านสายตาของ David ด้วยซ้ำ เพราะนี่คือบทที่เป็นตัวแทนเล่าประสบการณ์ความทรงจำของผู้กำกับ-เขียนบท Lee Isaac Chung และเป็นหัวใจของเรื่องที่แท้จริง ซึ่ง Alan Kim ในวัยเจ็ดขวบกับหน้าใสๆกลมๆก็ใช้ทั้งฝีมือทั้งความน่ารักน่าเอ็นดูทำหน้าที่ของตัวเองได้ยอดเยี่ยม และเหมือนองค์ประกอบอื่นๆทุกอย่างในหนัง เขาทำไม่มากไม่น้อยเกินไป และดูไม่ต้องพยายามจะขายความน่ารักจนโดดออกมาจากตัวหนัง ถึงจะไม่ได้ชิงออสการ์แต่ก็ได้รางวัลจากเวทีอื่นไปพอสมควรอยู่ และอีกหนึ่งบทคือ Yeri Han ในบท Monica ที่รู้สึกว่าเธอเล่นแบบน้อยได้มากจริงๆ หน้าเหมือนจะนิ่งๆแต่สื่อถึงความซับซ้อนในใจหลายๆอย่าง พอถึงฉากที่ได้แสดงอารมณ์ออกมาเลยกลายเป็นภาพที่ติดตาจากหนัง
หากเปรียบกับหนังเกาหลีรางวัลออสการ์ปีก่อนอย่าง Parasite ต้องบอกว่าสองเรื่องนี้คือขั้วตรงข้ามกันเลย ในขณะที่ Parasite เป็นหนังที่สนุกสนาน เฉียบคม มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย เต็มไปด้วยชั้นเชิง ตัวหนังก็ดูได้หลายชั้น จะดูแค่สนุกหรือมากกว่านั้นก็ได้ Minari กลับเป็นหนังที่เรียบง่าย งดงาม เรื่องราวที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องในชีวิตประจำวันปกติไม่มีจุดพลิกผันอะไรมากนอกจากไม่กี่ฉากช่วงท้ายๆ สิ่งที่เหมือนกันคือทั้งสองเรื่องทำออกมาเรียกได้ว่าดีที่สุดบนแนวทางของตัวเอง ก็น่าอิจฉาคนเกาหลีเหมือนกันที่ไปปักหมุดบทเวทีหนังโลกได้อย่างน่าชื่นชมสมควรสองปีติดๆกัน
คะแนน 9/10
เรื่องน่าสนใจที่อ่านเจอ
- จุดเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้น่าสนใจดี คือ Lee Isaac Chung นี่เป็นผู้กำกับที่มีชื่อในแวดวงรางวัลอยู่พอสมควรตั้งแต่ทำหนังยาวเรื่องแรกชื่อ Munyurangabo เป็นเรื่องเกี่ยวกับความขัดแย้งทางเผ่าพันธุ์ในรวันดา แล้วได้ฉายประกวดในสาย Un Certain Regard ที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ จากนั้นก็ทำหนังอีกสามเรื่องที่ได้เข้าร่วมเทศกาลต่างๆอยู่บ้างแต่ไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้าง จนมาทำ Minari ที่ดังขึ้นมาจากการคว้าสองรางวัลใหญ่จากเทศกาลซันแดนซ์ แล้วจากนั้นก็มีชื่อทั้งเข้าชิงทั้งได้รับรางวัลจากเทศกาลต่างๆมากมาย ที่มาของหนังเริ่มจากในปี 2018 เขากำลังจะรับงานประจำเป็นอาจารย์สอนหนังสือในมหาวิทยาลัย เขาเล่าว่าก่อนจะเริ่มงานสอนตอนนั้นเขาคิดว่าอาจจะมีโอกาสได้ทำหนังอีกแค่เรื่องเดียว และคิดจะทำหนังดัดแปลงจากหนังสือที่เขียนเมื่อร้อยปีก่อนเรื่อง My Antonia ของ Willa Cather นักเขียนชาวอเมริกา ซึ่งเกี่ยวกับชีวิตผู้อพยพในท้องทุ่งกว้างใหญ่ของอเมริกา แต่เขาพบว่าเธอไม่อยากให้งานของตัวเองถูกทำเป็นหนัง ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกได้รับแรงบันดาลใจและอยากเขียนเรื่องราวของตัวเอง เลยลองทำแบบฝึกหัดเล่นๆนั่งเขียนรายการความทรงจำในวัยเด็กของตัวเองตลอดทั้งบ่าย จนได้ร่วม 80 รายการ เช่นเรื่องกล่องอาหารกลางวันที่พ่อแม่ของเขาจะพกไปด้วยตอนไปทำงานที่โรงงานไก่ และบางทีก็จะใช้ใส่ลูกไก่กลับมาเพื่อช่วยชีวิตมันจากการถูกฆ่าทิ้ง เรื่องยาสมุนไพรที่เขาไม่รู้จักที่ยายนำมาจากเกาหลี เรื่องครอบครัวเดินทางมาถึงรถบ้านในทุ่งห่างไกลแล้วแม่ของเขาก็ช็อคที่ได้รู้ว่านั่นคือบ้านหลังใหม่ของพวกเขา เรื่องที่เขาจำกลิ่นดินที่เพิ่งถูกไถใหม่ๆได้และที่พ่อแสดงออกอย่างพอใจกับสีของมัน และเรื่องลำธารที่เขาจะโยนก้อนหินใส่งูในขณะที่ยายของเขาปลูกผักเกาหลีที่โตขึ้นได้เองแบบไม่ต้องดูแล พอได้รายการเหล่านั้นแล้วเขาจึงรู้สึกว่ามันมีทางที่จะทำเป็นหนังได้และเริ่มเขียนเล่าเรื่องราวเหล่านั้นในธีมเกี่ยวกับ ครอบครัว ความล้มเหลว และการเริ่มต้นชีวิตใหม่
- ตั้งแต่เริ่มร่างบทหนัง Chung เก็บเรื่องหนังนี้เป็นความลับไม่ได้บอกครอบครัวของตัวเอง เขากังวลอยู่ตลอดเวลาเพราะความรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของครอบครัว และมันดูไม่ยุติธรรมที่เขาพยายามจะเล่าเรื่องแทนจากมุมมองของแต่ละคนโดยไม่ได้ให้โอกาสพวกเขาได้ร่วมเขียนบทด้วย แต่เขาก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เขาจะต้องเล่าออกมาเองให้ได้ เขาจะคอยถามคำถามเล็กๆน้อยๆในอดีตกับแม่เรื่อยๆเช่น ตอนนั้นคุณยายเอาเงินมาจากเกาหลีทำไมแล้วเอามาอย่างไร จนกระทั่งได้ทุนสำหรับทำหนังเขาจึงบอกกับครอบครัว และทุกคนก็ดีใจที่เขาได้ทำหนังอีกเรื่อง และยิ่งดีใจเมื่อได้รู้ว่าดาราโปรดของครอบครัวอย่าง Yuh-Jung Youn จะอยู่ในหนังด้วย จนแม่เขาถามว่าแล้วเธอเล่นบทอะไรในหนัง เขาจึงตอบว่าก็เป็นบทคุณยายคนหนึ่ง แล้วก็บอกต่อไปว่ามันเป็นเรื่องของพ่อกับแม่และเด็กสองคนที่อาศัยอยู่ในรถบ้าน เขาไม่ได้บอกว่ามันเป็นเรื่องของครอบครัว แต่แน่นอนว่าแค่นั้นก็เพียงพอที่พ่อแม่ของเขาจะเริ่มปะติดปะต่อเรื่องนั้นได้ เขารู้สึกว่าพ่อแม่ดูกังวลมากขึ้นไปอีกที่เขาไม่ได้บอกเรื่องนั้นตามตรง ส่วนต้นมินาริในหนังก็เอามาจากที่พ่อปลูกเองที่แคนซัสซิตี้ไปใช้ในกองถ่ายที่โอคลาโฮมา พ่อก็พยายามจะไปเยี่ยมกองถ่าย ไปดูว่าทำอะไรกันอยู่บ้างแต่ตัวเขาก็ปฏิเสธไม่ยอมให้ไป สถานการณ์ของครอบครัวเลยอึดอัดอยู่ตลอดจนเมื่อหนังสร้างเสร็จปลายปี 2019 Chung ถึงคิดว่าถึงเวลาต้องเลิกปิดบังและให้ทุกคนได้ดูหนังของเขา โดยตัวเขาเองบอกว่าตอนนั้นประหม่าและกังวลใจมากว่าทุกคนจะคิดอย่างไรกับมัน
- Chung และครอบครัวดูหนังพร้อมๆกัน แล้วเขาก็เห็นว่าแม่ของเขาเริ่มจะร้องไห้ ตามมาด้วยพ่อและพี่สาว และความเครียดความกังวลของทุกคนก็หายไปในตอนนั้น กลายเป็นช่วงเวลาที่พิเศษของครอบครัว หลังจากได้ดูหนังแม่เขาเล่าให้เขาฟังว่าเธอไม่เคยสามารถจะเห็นแม่ของเธอในฝันได้เลย และบางทีเธอก็อิจฉาเขาที่ฝันเห็นยายบ่อยๆ แต่หลังจากได้ดูหนังเรื่องนี้ในที่สุดเธอก็เห็นแม่ของเธอในฝันได้ ส่วนพี่สาวก็บอกเขาว่าที่ผ่านมาเธอปิดกั้นและพยายามลืมเรื่องราวมากมายจากช่วงเวลานั้นเพราะเธอรู้สึกว่ามันเป็นช่วงที่ยากลำบาก แต่เธอมีความสุขที่ได้เห็นความสวยงามของสิ่งที่พวกเขามีร่วมกันในตอนนั้นในหนังเรื่องนี้
- ชื่อหนัง Minari ได้มาจากเมื่อ Chung เขียนรายการความทรงจำรายการสุดท้ายที่คุณยายกับเขาจะไปคลองที่ปลูกพืชนั้นไว้ด้วยกันแล้วเขาก็จะขว้างก้อนหินใส่งูระหว่างที่ยายรดน้ำดูแลมัน พอนึกถึงเรื่องนั้นได้เขาก็รู้ทันทีว่าหนังเรื่องนี้จะต้องชื่อ Minari และเขาก็ชอบที่มันมีความงดงามแบบบทกวี เพราะมันเป็นพืชสมุนไพรที่ดูจะเติบโตได้ในที่ที่พืชชนิดอื่นไม่สามารถ ในดินที่คุณภาพต่ำมาก และเมื่อมันโตขึ้นมามันจะปรับคุณภาพดินและทำให้น้ำสะอาดยิ่งขึ้น และเขายังรู้สึกว่ามันเหมือนเป็นอุปมาอุปไมยที่ต้นมินาริจะเติบโตได้ดีในปีที่สองของมัน เขาให้สัมภาษณ์ว่า “สิ่งที่น่าสนใจคือมันเป็นพืชที่จะเติบโตขึ้นมาแข็งแรงในฤดูที่สอง หลังจากที่มันตายไปแล้วและกลับขึ้นมาใหม่ และมันก็จะเติบโตขยายพื้นที่ออกไปโดยที่ไม่ได้ต้องทำอะไรกับมันมากนัก”
- หนังเรื่องนี้ทำให้ Steven Yeun กลายเป็นนักแสดงอเมริกา-เอเซีย และเป็นนักแสดงเชื้อสายเอเซียตะวันออกคนแรกที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ส่วนผู้กำกับ Chung ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมพร้อมกับ Chloé Zhao ผู้กำกับหญิงชาวจีนจาก Nomadland ก็ทำให้ปีนี้เป็นครั้งแรกที่ผู้กำกับเชื้อสายเอเซียตะวันออกได้เข้าชิงพร้อมกันสองคน
- สรุปว่า Minari ก็ดูจะไม่ใช่หนังเรื่องสุดท้ายของผู้กำกับ Chung เพราะความสำเร็จของหนังเรื่องนี้น่าจะมีส่วนเป็นสาเหตุให้ตอนนี้เขาได้รับหน้าที่ดัดแปลงบทและกำกับหนังเวอร์ชันคนแสดงฉบับอเมริกาของอนิเมะญี่ปุ่นเรื่องดังในดวงใจหลายๆคนอย่าง Your Name
- หมวกสีแดงที่ Steven Yeun ใส่บ่อยๆในหนังเป็นของขวัญที่แม่เขาให้ตอนอายุ 17
โฆษณา