จริงๆจะบอกว่า Minari เป็นหนังเกาหลีก็ไม่ถูกนัก เพราะตัวผู้กำกับ Lee Isaac Chung ต้องถือว่าเป็นคนอเมริกาเชื้อสายเกาหลี เกิดที่อเมริกา หนังออกทุนโดยบริษัทอเมริกา และถ่ายทำทั้งหมดในอเมริกา แต่ถ้าได้ไปดูก็จะรู้สึกว่าเรียกว่าเป็นหนังเกาหลีก็ไม่น่าเกลียดนัก เพราะในหนังน่าจะใช้ภาษาเกาหลีมากถึงประมาณ 70-80%
Minari เป็นหนังกึ่งอัตชีวประวัติของผู้กำกับ-ผู้เขียนบท Lee Isaac Chung เล่าถึงครอบครัวผู้อพยพจากเกาหลีมาอเมริกาในยุค 80 ที่ประกอบด้วยคู่สามีภรรยา Jacob กับ Monica, Anne ลูกสาวคนโตและ David ลูกชาย Jacob ตัดสินใจพาครอบครัวย้ายจากแคลิฟอร์เนีย ทุ่มสุดตัวไปซื้อรถบ้านและที่ดินผืนหนึ่งในชนบทของอาร์คันซอตั้งใจจะเริ่มต้นชีวิตใหม่หาเลี้ยงชีพด้วยการปลูกผักผลไม้เกาหลี และชวน Soon-ja คุณแม่ของ Monica ให้ช่วยย้ายมาอยู่ด้วยกันเพื่อดูแลลูกๆทั้งสอง ระหว่างที่พ่อและแม่ต้องทำงานแยกเพศลูกเจี๊ยบในโรงงานเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพไปคู่กับการพยายามทำฟาร์มทำไร่ให้สำเร็จ
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้พิเศษและสร้างความประทับใจต่อผมและคนดูหลายๆคนน่าจะเป็นความสมจริงของหนัง และการสร้างอารมณ์ร่วมให้กับคนดูได้ด้วยวิธีเหนือชั้นในการดึงความรู้สึกของคนดูขึ้นมาได้จากประสบการณ์ในอดีตของตัวเอง ทั้งๆที่เรื่องราวเกี่ยวกับการใช้ชีวิตแบบ American Dream ของผู้อพยพจากเกาหลีในอเมริกาในยุคนั้นจะดูเป็นเรื่องที่ไกลตัวใครหลายๆคน แต่อย่างที่ผู้กำกับเคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาได้เห็นหลายคนรู้สึกร่วมไปกับหนังเรื่องนี้ได้ทั้งๆที่ไม่ใช่ผู้อพยพเกาหลีที่มีประสบการณ์อย่างในหนัง
Steven Yeun ในบท Jacob น่าจะช่วยให้หนังอยู่ในสายตาของคนดูวงกว้างมากขึ้นพอสมควรเพราะหลายๆคนคุ้นหน้าคุ้นตากันมานานจากบทบาท Glenn ในซีรีส์เรื่องดังอย่าง The Walking Dead หลังจากบทเด่นในหนังเกาหลีคุณภาพเมื่อสองปีก่อนที่ผมชอบมากอย่าง Burning มาเรื่องนี้เขาสานต่อด้วยการแสดงเป็นคุณพ่อผู้ลงทุนทุ่มสุดตัวแบบไม่ยอมถอยกลับ นำครอบครัวมาเสี่ยงแสวงหาหนทางใหม่ๆด้วยความเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน และก็เล่นดีจนไปมีชื่อติดโผชิงรางวัลนำชายบนเวทีต่างๆรวมไปถึงออสการ์ แต่ที่ขโมยซีนในเรื่องจริงๆคือ Yuh-Jung Youn ในบทสร้างสีสันอย่างคุณยายที่ไม่ได้มีคุณสมบัติที่เด็กคิดว่าคุณยายจากเกาหลีควรจะเป็น เธอทั้งชอบสบถคำหยาบ อยากจะสอนหลานๆเล่นไพ่ ชอบดูมวยปล้ำ ในหนังช่วงแรกๆผมรู้สึกว่าก็เป็นบทที่มีสีสันและก็เล่นดีแต่ไม่ได้ประทับใจมากนัก จนเมื่อหนังดำเนินเรื่องไปจึงค่อยๆเข้าใจได้ว่าทำไมเธอถึงกลายเป็นตัวเต็งนักแสดงสมทบหญิงที่จะคว้าออสการ์ปีนี้ไปแล้ว บทของเธอไม่ได้มีแค่ออกโผงผางเหมือนในช่วงแรก แต่มีอะไรมากกว่านั้นให้ได้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับความสัมพันธ์ยาย-หลานที่ค่อยๆพัฒนาจากความอึดอัด ผิดหวัง และไม่เข้าใจ เป็นความผูกพันที่สื่อถึงกันได้ถึงจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ และเธอก็แสดงได้อย่างละเอียดอ่อน แม่นยำทุกฉาก
นอกจากนักแสดงทั้งสองคนที่ได้ชิงออสการ์แล้ว อีกสองตัวละครหลักที่ทำหน้าที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือ Alan S. Kim ในบทลูกชาย David จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่มองผ่านสายตาของ David ด้วยซ้ำ เพราะนี่คือบทที่เป็นตัวแทนเล่าประสบการณ์ความทรงจำของผู้กำกับ-เขียนบท Lee Isaac Chung และเป็นหัวใจของเรื่องที่แท้จริง ซึ่ง Alan Kim ในวัยเจ็ดขวบกับหน้าใสๆกลมๆก็ใช้ทั้งฝีมือทั้งความน่ารักน่าเอ็นดูทำหน้าที่ของตัวเองได้ยอดเยี่ยม และเหมือนองค์ประกอบอื่นๆทุกอย่างในหนัง เขาทำไม่มากไม่น้อยเกินไป และดูไม่ต้องพยายามจะขายความน่ารักจนโดดออกมาจากตัวหนัง ถึงจะไม่ได้ชิงออสการ์แต่ก็ได้รางวัลจากเวทีอื่นไปพอสมควรอยู่ และอีกหนึ่งบทคือ Yeri Han ในบท Monica ที่รู้สึกว่าเธอเล่นแบบน้อยได้มากจริงๆ หน้าเหมือนจะนิ่งๆแต่สื่อถึงความซับซ้อนในใจหลายๆอย่าง พอถึงฉากที่ได้แสดงอารมณ์ออกมาเลยกลายเป็นภาพที่ติดตาจากหนัง
- สรุปว่า Minari ก็ดูจะไม่ใช่หนังเรื่องสุดท้ายของผู้กำกับ Chung เพราะความสำเร็จของหนังเรื่องนี้น่าจะมีส่วนเป็นสาเหตุให้ตอนนี้เขาได้รับหน้าที่ดัดแปลงบทและกำกับหนังเวอร์ชันคนแสดงฉบับอเมริกาของอนิเมะญี่ปุ่นเรื่องดังในดวงใจหลายๆคนอย่าง Your Name
- หมวกสีแดงที่ Steven Yeun ใส่บ่อยๆในหนังเป็นของขวัญที่แม่เขาให้ตอนอายุ 17