13 เม.ย. 2021 เวลา 09:36 • กีฬา
แกรี่ เนวิลล์ สุดยอดนักเตะที่คว้าแชมป์กับทีมปีศาจแดงมากมาย ทำไมถึงล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการคุมบาเลนเซีย วิเคราะห์บอลจริงจังจะเล่าให้ฟัง
1
ในโลกนี้ มีนักเตะดังๆหลายคน ที่ผันตัวไปเป็นโค้ชและประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ เช่น ซีเนอดีน ซีดาน ตอนเป็นนักเตะก็เก่งเทพ ได้บัลลงดอร์มาแล้ว พอเป็นโค้ชก็พาเรอัล มาดริดได้แชมป์ยุโรป 3 สมัยซ้อน หรืออย่างเป๊ป กวาร์ดิโอล่านี่ก็ใช่ ตอนเป็นนักเตะก็ร้ายกาจมาก แล้วพอเป็นโค้ชก็ยิ่งเก่งมากขึ้นกว่าเดิมอีก
1
แต่สัจธรรมก็คือ ไม่ใช่นักเตะดังทุกคนที่จะเป็นเหมือนซีดาน หรือกวาร์ดิโอล่าได้ บางคนตอนเป็นผู้เล่นได้แชมป์นับไม่ถ้วน แต่พอลงคุมทีมเองถึงขั้นพังพินาศก็มี และอดีตกัปตันทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ชื่อ แกรี่ เนวิลล์ เป็นกรณีศึกษาที่ดีเยี่ยมของเรื่องนี้
3
เนวิลล์ เป็นเด็กปั้นจากอะคาเดมี่ของแมนฯยูไนเต็ด เขาคือจิตวิญญาณของสโมสร ลงเล่นกับสโมสรเดียวจนเลิก ตั้งแต่ปี 1992-2011 รวมแล้ว เกือบ 20 ปี สำหรับเนวิลล์นั้น หลังจากแขวนสตั๊ด แฟนบอลจำนวนมากเชื่อว่า เขาจะเอาดีในการเป็นโค้ชได้แน่ๆ
ทำไมคิดแบบนั้น? เพราะในช่วง 2 ทศวรรษของการเป็นผู้เล่น เนวิลล์ ได้เรียนรู้วิชาจากปรมาจารย์อย่างเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเต็มๆ ได้เรียนรู้ทั้งเรื่องแท็กติก และการบริหารจัดการนอกสนาม
นอกจากนั้น หลังจากแขวนสตั๊ดปั๊บ เขาไปเรียนโปรไลเซนส์ และสอบผ่านอย่างรวดเร็ว จนสามารถคุมสโมสรฟุตบอลได้ทั่วยุโรป ก่อนที่รอย ฮอดจ์สัน กุนซือทีมชาติอังกฤษ ก็แต่งตั้งเขาเป็นผู้ช่วยโค้ชทีมชาติอีกด้วย
ไม่ใช่แค่รู้ลึกเรื่องการโค้ชชิ่งเท่านั้น แต่เนวิลล์ยังทำงานสื่อมวลชนไปด้วย ทั้งเขียนคอลัมน์ฟุตบอลลงในหนังสือพิมพ์ ซันเดย์ไทมส์ รวมถึงในปี 2011 พอแขวนสตั๊ดแล้ว ก็เซ็นสัญญากับสกายสปอร์ต ทำหน้าที่ทั้งพากย์บอลและวิจารณ์หลังจบเกม เรียกได้ว่า เห็นอะไรในสนาม เนวิลล์ตีแตกเป็นฉากๆ
2
แกรี่ ลินิเกอร์ พิธีกรคนดัง ออกมายอมรับว่าเนวิลล์ เป็นคนทำการบ้านดี และวิเคราะห์ได้อย่างมีมุมที่น่าสนใจ นั่นทำให้สกายสปอร์ต ต่อสัญญาเนวิลล์มาเรื่อยๆ คือแฟนบอลก็ให้เครดิตเขาเยอะทีเดียว เพราะไม่ใช่นักบอลทุกคน ที่จะมีสกิลในการวิเคราะห์วิจารณ์ได้ดีขนาดนี้
ในระหว่างที่เนวิลล์กำลังเอ็นจอยกับชื่อเสียงในฐานะนักวิเคราะห์เกมอยู่นั้น ก็มีบททดสอบใหม่ที่ท้าทายศักยภาพของเขา นั่นคือโอกาสคุมสโมสรฟุตบอลครั้งแรก
ข้ามไปที่ประเทศสเปน สโมสรบาเลนเซีย ถือเป็นอีกหนึ่งทีมใหญ่ของประเทศ แต่นับจากปี 2007 เป็นต้นมา เมื่อพวกเขากู้เงินมาสร้างสนามแห่งใหม่ "นู เมสตาย่า" ความจุ 61,500 ที่นั่ง ทำให้สโมสรต้องแบกรับค่าใช้จ่ายมหาศาล
ตามแผนของบาเลนเซีย ถ้าพวกเขาได้เล่นแชมเปี้ยนส์ลีกทุกปีก็คงไม่มีปัญหาอะไร คงพอหาเงินมาหมุนจ่ายหนี้ได้อยู่ แต่ปัญหาคือฟอร์มในสนามก็ขึ้นๆลงๆ ซีซั่น 2007-08 จบอันดับ 10 ตามด้วยซีซั่น 2008-09 จบอันดับ 6 คือเมื่อฟอร์มแบบนี้ เงินทองที่หวังไว้ ก็หาไม่ได้อย่างที่คิด
สโมสรติดหนี้สินมากขึ้นเรื่อยๆ รวมแล้วหลายร้อยล้านยูโร สถานการณ์นี้ ทำให้ในปี 2010 ผู้บริหารโดนมัดมือชก ต้องปล่อย 2 คีย์แมน ทั้งดาบิด บีญ่าให้บาร์เซโลน่า และ ดาบิด ซิลบา ให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพื่อเอาเงินมาชำระหนี้ จากนั้นในปี 2011 ก็ปล่อย ฆวน มาต้า อีกหนึ่งคีย์แมนให้กับเชลซี ตามด้วยโรแบร์โต้ โซลดาโด้ ให้สเปอร์ส ในปี 2013
1
แต่ถึงจะขายไปเยอะแล้ว หนี้สินก็ยังมีเยอะมาก บาเลนเซียติดหนี้ธนาคารถึง 200 ล้านยูโร และไม่มีปัญญาจ่ายได้แล้ว สุดท้ายผู้บริหารทีมจึงต้อง "วางขาย" ทีม ให้คนเข้ามาเทกโอเวอร์เพื่อชำระหนี้
คนที่เข้ามาปลดแอกสโมสร คือปีเตอร์ ลิม นักธุรกิจชาวสิงคโปร์ ที่ชำระหนี้ทั้งหมด พร้อมทั้งหาเงินก้อนใหม่ๆ มาให้บาเลนเซียซื้อตัวผู้เล่นด้วย เรียกได้ว่าทีมค้างคาวรอดจากการโดนธนาคารยึดทรัพย์ไปอย่างฉิวเฉียด
เจ้าของใหม่ปีเตอร์ ลิม ตั้งเป้าจะพาบาเลนเซียประสบความสำเร็จให้ได้อย่างรวดเร็ว ความตั้งใจของเขา คืออยากให้บาเลนเซียกลายเป็นสโมสรโด่งดังที่ใครๆก็รู้จักทั่วโลก ไม่ใช่แค่ดังเฉพาะในสเปนเท่านั้น
ฤดูกาลแรกของปีเตอร์ ลิม (2014-15) โค้ชของบาเลนเซีย คือนูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ สามารถทำทีมจบอันดับ 4 ได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีก ซีซั่นหน้า ซึ่งนี่เป็นผลงานที่ยอมรับได้ ดังนั้น นูโน่ ก็ยังได้คุมทีมต่อ
แต่เมื่อเข้าสู่ซีซั่นที่ 2 (2015-16) นูโน่มีผลงานที่น่าผิดหวัง ผ่านไป 13 เกมแรกทีมอยู่อันดับ 9 ของตาราง เมื่ออันดับในลีกก็แย่ ขณะที่ในแชมเปี้ยนส์ลีก ก็ส่อแววร่วงตกรอบแบ่งกลุ่ม ทำให้บรรยากาศระหว่างปีเตอร์ ลิม กับ นูโน่ เต็มไปด้วยความตึงเครียด สุดท้ายนูโน่ชิงประกาศลาออกกลางซีซั่น นั่นทำให้ปีเตอร์ ลิม ต้องหาโค้ชคนใหม่ เพื่อใช้งานในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง
1
ปีเตอร์ ลิม คิดทบทวนว่าจะเอาใครมาเป็นโค้ชคนใหม่ดี ถ้าเอาเพลย์เซฟ ก็เลือกโค้ชชาวสเปนสักคนที่รู้จักทางฟุตบอลดีอยู่แล้ว ก็น่าจะปลอดภัยดี อย่างไรก็ตาม เขามีไอเดียที่ล้ำไปกว่านั้น คือแทนที่จะเลือกโค้ชชาวสเปน ทำไมไม่ลองเอา ตัวเลือกแปลกๆ ที่จะขยายฐานตลาดในต่างแดนล่ะ
ตัวปีเตอร์ ลิมนั้น เป็นแฟนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นอกจากนั้นยังมีความสนิทสนมกับ กลุ่มนักเตะคลาสออฟ 92 อีกด้วย โดยเขาเป็นผู้สนับสนุนหลัก ของสโมสรซัลฟอร์ด ซิตี้ ที่อดีตนักเตะแมนฯยูไนเต็ด (แกรี่ เนวิลล์, ฟิล เนวิลล์, นิกกี้ บัตต์, พอล สโคลส์ และ ไรอัน กิ๊กส์) ร่วมเป็นเจ้าของ ดังนั้นเขาจึงเสนอไอเดียว่า งั้นลองเอาแกรี่ เนวิลล์ มาเป็นโค้ชใหม่เลยไม่ดีกว่าหรือ
2
เนวิลล์เป็นขวัญใจแฟนๆแมนฯยูไนเต็ดทั่วโลก ดังนั้นถ้าเนวิลล์คุมบาเลนเซีย แฟนๆทีมปีศาจแดงหลายสิบล้านคน ก็จะได้เทใจเชียร์บาเลนเซียอีกทีมตามไปด้วย ถ้าเป็นแบบนั้น บาเลนเซียก็ได้อานิสงส์ทางธุรกิจไปโดยปริยาย
1
ปาโก้ โปลิต นักข่าวท้องถิ่นของบาเลนเซียรายงานว่า "ณ เวลานั้น แกรี่ เนวิลล์ กำลังสร้างชื่อเสียงในฐานะนักวิจารณ์บอล และเป็นที่รู้กันว่าเขาฝันอยากเป็นผู้จัดการทีมในอนาคต ปีเตอร์ ลิม ชอบดูเขาวิเคราะห์ทางสกายสปอร์ต ดังนั้นพอปลดนูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ออก เขาไม่เสียเวลานาน ในการติดต่อเนวิลล์เพื่อดึงตัวมาเป็นโค้ชคนใหม่"
1
แน่นอน เนวิลล์ รีบตอบตกลงอย่างเร่งด่วน ใครจะไปคิดว่าโอกาสของเขาจะมาไวขนาดนี้ ตอนแรกตัวเนวิลล์คาดหวังว่าจะต้องไปเริ่มต้นกับทีมเล็กๆในแชมเปี้ยนชิพ หรือลีกวันก่อน แต่อยู่ๆได้ กระโดดมาคุมทีมระดับลาลีกาอย่างบาเลนเซีย ใครล่ะจะไม่คว้าโอกาสไว้
1
"ผมดีใจมากๆ กับโอกาสที่บาเลนเซีย นี่คือสโมสรใหญ่ และผมรู้จักทีมนี้ดี ตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะแล้ว ผมพร้อมจะทำงานกับนักเตะพรสวรรค์ในทีม และตื่นเต้นมากกับความท้าทายที่รออยู่" เนวิลล์กล่าวอย่างมั่นใจ
ในภาพรวม แฟนบาเลนเซียก็แปลกใจที่ปีเตอร์ ลิม เลือกแกรี่ เนวิลล์ คือโอเค เนวิลล์มีชื่อเสียง แต่ปัญหาคือเขาไม่เคยมีประสบการณ์คุมทีมชุดใหญ่มาก่อนเลย นอกจากนั้นยังพูดภาษาสเปนไม่ได้อีกด้วย คือมันเป็นดีลที่มองในเรื่องธุรกิจล้วนๆ
อย่างไรก็ตาม ทุกคนยังมองในแง่ดี เฮคเตอร์ บลาต แฟนพันธุ์แท้ของบาเลนเซีย ให้สัมภาษณ์ว่า "ความคิดแรกของผมคือ เขาไม่มีประสบการณ์มากพอในการคุมทีมใหญ่แบบนี้นะ อย่างไรก็ตามแฟนๆส่วนใหญ่ ก็ให้กำลังใจเขานั่นแหละ เพราะนี่คือนักเตะโด่งดัง ดังนั้นเขาต้องรู้วิธีการเล่นฟุตบอลเป็นอย่างดีอยู่แล้ว"
1
ส่วนปาโก้ โปลิต เสริมว่า "การได้ตัวเขามาเป็นโค้ช บาเลนเซียอาจสร้างความนิยมในโซเชียลมีเดียได้มากกว่าเดิม เนวิลล์มีคนติดตาม 2.1 ล้าน ในทวิตเตอร์ ดังนั้นทีมมีเดีย ก็คาดหวังว่าผู้ติดตามจำนวนมหาศาลขนาดนั้น จะช่วยเข้ามาสร้างความคึกคักในโลกออนไลน์ให้สโมสรได้"
บรรยากาศโดยรวมดูมีความหวัง ณ เวลานั้น บาเลนเซียอยู่อันดับ 9 ของตาราง ซึ่งแฟนบอลก็คิดว่า ต่อให้เนวิลล์จะไร้ประสบการณ์ขนาดไหน ก็คงไม่พาทีมร่วงไปมากกว่านี้หรอก
จะดีจะร้าย นักเตะในทีมก็ไม่ได้แย่ มีทั้งปาโก้ อัลกาแซร์, ชโครดาน มุสตาฟี่, ชูเอา กานเซโล่, โรดริโก้ โมเรโน่, อัลบาโร่ เนเกรโด้, อันเดร โกเมส ฯลฯ คือว่าตรงๆ แต่ละตัวก็มีคุณภาพเอาเรื่อง แค่เนวิลล์เอาแผนดีๆมาให้ และกระตุ้นให้ทุกคนสู้เต็มที่สักหน่อย ก็น่าจะเก็บชัยชนะได้เรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทุกคนพบเจอก็คือ ชีวิตของบาเลนเซียที่ดูว่าแย่แล้ว ยังสามารถแย่ไปต่อได้มากกว่านั้นอีก
1
เกมแรกของเนวิลล์ คือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้าย บาเลนเซีย เปิดบ้านเจอโอลิมปิก ลียง ถ้าหากชนะบาเลนเซียอาจจะลุ้นเข้ารอบน็อกเอาต์ได้อยู่ ซึ่งตามหลักก็ไม่ควรพลาด เพราะลียงก่อนหน้านี้เล่น 5 เกม มี 1 แต้ม ฟอร์มแย่มากๆ
ปรากฏว่า เนวิลล์พาทีมแพ้คาบ้าน 2-0 ประเดิมสนามได้แบบสุดเซ็ง ทำให้บาเลนเซียตกรอบแชมเปี้ยนส์ลีก ไปเล่นในถ้วยยูโรป้าลีกแทน
4
จากนั้นในเกมลาลีกา เนวิลล์ ก็ควานหาชัยชนะไม่เจอเป็นเวลา 2 เดือนเต็ม ตั้งแต่ธันวาคม 2015 ถึงมกราคม 2016 รวมแล้ว เป็นจำนวน 8 นัด (ชนะ 0 เสมอ 5 แพ้ 3) ทุกอย่างดูแย่ไปหมด อันดับในลีกก็ร่วงลงมาเรื่อยๆ จนอยู่ครึ่งล่างของตาราง
ณ จุดนี้แฟนบอลก็ยังอดทนต่อไป แต่สุดท้ายก็มาถึงจุดแตกหัก ในโกปา เดล เรย์ รอบรองชนะเลิศ เลกแรก บาเลนเซียไปเยือนบาร์เซโลน่าที่คัมป์นู ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2016 ปรากฏว่า บาร์เซโลน่าขยี้แหลก 7-0 ซัวเรซยิง 4 เมสซี่ยิง 3 บาเลนเซียแพ้แบบหมดสภาพ กระจุยขนาดนี้ไม่ต้องมีเลกสองด้วยซ้ำ
1
ตามด้วยยูโรป้าลีก ก็ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ด้วยการแพ้แอธเลติก บิลเบา ขณะที่ผลงานในลีกก็แพ้ได้ทุกทีมไม่ว่าจะอ่อนกว่ากันแค่ไหน สปอร์ติ้ง กิฆ่อน, เลบานเต้, เซลต้า บีโก้ ไม่ว่าจะเจอใคร บาเลนเซียแพ้เขาหมด โดยเฉพาะเกมกับเลบานเต้ นั่นคือการแพ้บ๊วยของลีกด้วย
1
สุดท้ายแฟนบอลทนไม่ไหว รวมตัวกันประท้วง ตะโกนขับไล่เนวิลล์ออกไปจากทีม มีการส่งเสียง Chant พร้อมเพรียงกันในสนามว่า "Gary Vete Ya!" (แกรี่ ไปซะเดี๋ยวนี้!) ซึ่งปีเตอร์ ลิม จะชอบเนวิลล์ยังไง ก็ต้านทานกระแสสังคมไม่อยู่อีกแล้ว นั่นทำให้เนวิลล์โดนไล่ออก หลังจากคุมทีมมาแค่ 4 เดือนเท่านั้น
1
สรุปผลงานของเนวิลล์ทุกรายการ ลงแข่ง 28 นัด ชนะ 10 เสมอ 7 แพ้ 11 เปอร์เซ็นต์ชนะ 35.71% เกมที่ชนะส่วนใหญ่คือบอลถ้วย พวกโกปา เดล เรย์ และยูโรป้าลีกรอบแรกๆ แต่เนวิลล์ก็ไม่ได้เครดิตอะไรนัก เพราะสุดท้ายบอลถ้วยเหล่านี้ก็ไปตกรอบในตอนจบอยู่ดี
3
หลังจากเนวิลล์โดนไล่ออก ปาโก้ เอเยสเตราน ในฐานะสตาฟฟ์ของทีม อยู่คุมทีมชั่วคราวจนจบซีซั่น แล้วที่ตลกคือ พอเปลี่ยนโค้ชปั๊บ อยู่ๆ บาเลนเซียก็เล่นดีเฉยเลย ในลีกเอาชนะเซบีญ่า 2-1 ตามด้วยบุกไปเอาชนะบาร์เซโลน่า ทีมแชมป์ในฤดูกาลนั้น ถึงคัมป์นู ด้วยสกอร์ 2-1 เช่นกัน ล้างแค้นที่แพ้ 7-0 ได้แบบสวยๆเลย
7
พอไล่เนวิลล์แล้วทีมชนะทันที ทำให้แฟนบอลก็เลยพูดกันว่า โอเค เรารู้ละ ปัญหาอยู่ตรงไหน แค่เปลี่ยนโค้ชก็จบแล้วสินะ
2
สำหรับเนวิลล์ประสบการณ์ครั้งนั้น สร้างความเจ็บปวดให้เขาจนถึงปัจจุบัน เจ้าตัวบอกเสมอว่านี่คือความเสียใจที่เขาจะไม่มีวันลืม และคงจะไม่กลับไปคุมทีมฟุตบอลอีกแล้วเป็นครั้งที่ 2
คำถามที่น่าสนใจที่สุดคือ ทำไมเนวิลล์ถึงทำทีมพินาศได้ขนาดนั้น? สื่อทั้งอังกฤษ และสเปน มีการวิเคราะห์กันอย่างละเอียดยิบ มันน่าสนใจดี ว่าคนที่เป็นนักเตะที่ดี แล้วทำไมไม่สามารถเป็นโค้ชที่ดีได้ด้วย
[ ปัญหาที่ 1 กำแพงภาษา ]
ปัญหาแรกสุดคือเรื่องการสื่อสาร กล่าวคือนักเตะบาเลนเซียแทบไม่มีใครเลยที่พูดภาษาอังกฤษได้ จริงๆเนวิลล์ เรียนภาษาสเปนทุกเช้าก่อนมาทำงาน แต่เขาก็ได้แต่ใช้คำทักทายทั่วไปเท่านั้น ศัพท์เชิงลึกในแง่แท็กติก เนวิลล์พูดไม่ได้เลย ต้องใช้ล่าม แล้วล่ามก็พูดผิด พูดถูกบ้าง ไม่ตรงกับที่ใจเขาคิด 100%
เจอร์เก้น คล็อปป์ ตอนจะย้ายจากดอร์ทมุนด์ เขาเคยประกาศว่า ถ้าจะย้ายลีก เขาจะไปคุมที่อังกฤษ ประเทศเดียวเท่านั้น เพราะประเทศอื่น เขาไม่สามารถสื่อสารให้นักเตะเข้าใจได้ และจะมีผลต่อการคุมทีมโดยตรง ซึ่งเรื่องนี้แหละ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเนวิลล์
1
โชเซ่ มูรินโญ่ ก่อนจะมารับงานคุมอินเตอร์ มิลาน ก็ซุ่มเรียนภาษาอิตาลีมา 8 เดือน จนคุมปั๊บก็พูดได้เลย แต่เคสของเนวิลล์ มันเป็นโอกาสที่เข้ามาอย่างปุบปับ เขาไม่มีเวลาพอจะได้เรียนรู้
หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภาษา เกิดขึ้นในวันที่ 23 มกราคม 2016 บาเลนเซียไปเยือนลา คอรุนญ่า ปรากฏว่าโดนลา คอรุนญ่ายำทั้งเกม แต่มาได้จังหวะโชคดีในนาที 90+3 ของอัลบาโร่ เนเกรโด้ ตีเสมอเป็น 1-1 แต่ต่อให้เสมอก็เถอะ ฟอร์มทีมก็ไม่ดี และ บาเลนเซียของเนวิลล์ก็ไม่ชนะใครในลีกมา 7 เกมแล้ว
นักข่าวไปถามเนวิลล์ว่ารู้สึกอย่างไร เจ้าตัวตั้งใจจะบอกว่า "ผมภูมิใจในตัวลูกทีมบาเลนเซีย" แต่ดันพูดไปว่า "ผมคิดว่าแฟนบอลต้องภูมิใจในตัวลูกทีมบาเลนเซีย" ซึ่งเมื่อพูดไปแบบนั้น แฟนบอลก็โมโหว่า ทำไมต้องภูมิใจวะ กับทีมที่ไม่ชนะใครมา 7 นัดเนี่ยนะ ไม่ด่าให้ก็บุญแล้ว แม้แต่ซานติอาโก้ คานยิซาเรส อดีตนายทวารบาเลนเซียที่รับบทเป็นนักวิจารณ์เกม ก็ยังทำหน้าแปลกใจ ว่าเนวิลล์พูดแบบนั้นออกมาได้ไง
2
ด้วยทักษะการสื่อสารที่ ไม่ตรงกับที่ใจคิด คุยกับสื่อก็ลำบาก คุยกับนักบอลก็ยาก มันทำให้ มีกำแพงใหญ่ขวางเนวิลล์ในการทำงานอยู่ตลอด
[ ปัญหาที่ 2 แท็กติกมั่ว ]
เนวิลล์เรียนศาสตร์ฟุตบอล มาจากการซึมซับคนอื่น และจากการเรียนโปรไลเซนส์ เขาเข้าใจไปเองว่า ถ้าหากทีมไม่ชนะ แสดงว่าแผนการเล่นผิดพลาด ก็ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอแผนที่ใช่
ในช่วง 2 วีกแรก เนวิลล์ เริ่มที่ระบบ 3 เซ็นเตอร์แบ็ก จากนั้นก็เปลี่ยนเป็น 4-4-2 ในสไตล์ยุครุ่งเรืองของเฟอร์กูสัน แต่พอไม่เวิร์กอีกก็เปลี่ยนเป็น 4-5-1 ปรับไปเรื่อยๆ จนนักเตะเองก็มึนไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าวีกนี้จะเล่นอะไร
ไม่ใช่แค่แผน แต่ไลน์อัพก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ หาทีมดีที่สุดไม่เจอ 16 เกมแรกของเนวิลล์ เขาใช้ไลน์อัพไม่ซ้ำเลยแม้แต่เกมเดียว คือถ้าเป็นโค้ชที่มีประสบการณ์หน่อย จะยึดแผนหลักของตัวเองเอาไว้ และตามหาไลน์อัพดีที่สุด ให้เร็วที่สุด โดยไม่ต้องยืดเยื้อถึง 16 เกมขนาดนี้ แต่เนวิลล์เดี๋ยวลอง เดี๋ยวเปลี่ยน จนทีมขาดความต่อเนื่อง
จริงอยู่ว่าการเปลี่ยนแผนบ่อย ทำให้คู่แข่งเดายาก ว่าบาเลนเซียจะมาไม้ไหน แต่ในมุมกลับ ฝั่งบาเลนเซียเองก็เล่นลำบากเพราะไม่รู้สึกคุ้นเคยกับแผนไหนเลย
[ 3- ซอฟต์เกินไป ไม่เหมาะกับบาเลนเซีย ]
แกรี่ เนวิลล์ ใช้สไตล์คุมทีมแบบ "ทำความเข้าใจ" นักเตะ เขาในวัย 40 ปี ว่ากันจริงๆ ก็อยู่ในช่วงอายุไล่เลี่ยกับผู้เล่น เหมือนจะเป็นเพื่อนกัน มากกว่าเป็นนักเตะกับเฮดโค้ช
กุยเยอร์เม่ ซิเกร่า นักเตะของบาเลนเซียชุดนั้นกล่าวว่า "แกรี่ ยินดีเสมอที่จะช่วยพวกเราทุกคน เขาดูแลใส่ใจพวกเราดีมาก"
ขณะที่ปาโก้ เอเยสเตราน โค้ชที่มารับงานต่อจากเนวิลล์กล่าวว่า "ถ้าคุณไปถามนักเตะส่วนใหญ่ในทีม จะไม่มีใครเลยที่พูดถึงเนวิลล์ในทางที่แย่ๆ นิสัยส่วนตัวเขาดีมาก แต่ปัญหาคือเรื่องสไตล์การคุมทีม ที่ไม่เด็ดขาดพอ และซอฟต์เกินไป ในการคุมทีมใหญ่ระดับนี้"
3
ในการคุมทีมใหญ่ ผู้จัดการทีมจะต้องโชว์พาวเวอร์ เป็นเหมือนเผด็จการนิดนึง คือโอเค ฟังความเห็นจากทุกคนนะ แต่จะไม่มาโลเล จะตัดสินใจเองแบบฉับ เด็ดขาดให้เห็นกันไปเลย แต่เนวิลล์ไม่ใช่อย่างนั้น เขาพยายามจะประนีประนอมกับทุกๆฝ่าย จนขาดความเด็ดขาดไป
1
ตัวอย่างเช่นในเกมที่บาเลนเซีย เจอแอตเลติโก้ มาดริด ที่เมสตาย่า เกมแข่งมาถึงนาที 80 แอตเลติโก้ มาดริดนำอยู่ 2-1 ตอนแรกเนวิลล์กะจะส่งอัลบาโร่ เนเกรโด้ ลงไปเล่นเป็นสำรองคนสุดท้าย แต่จู่ๆ เซ็นเตอร์แบ็กของทีม อเดอร์ลัน ซานโตส มาโดน 2 ใบเหลือง ไล่ออกจากสนาม นั่นทำให้เนวิลล์เปลี่ยนใจ อยากรักษา shape กองหลังไว้ก่อน จึงไปเรียกเซ็นเตอร์แบ็กสำรอง ไอเมน อับเดนนูร์ เพื่อลงสนาม แทนที่จะเป็นเนเกรโด้
ในมุมของเนวิลล์ ฝั่งแอตเลติโก้ มาดริด มีกองหน้าตัวฉกาจอย่างอองตวน กรีซมันน์ และเฟร์นันโด ตอร์เรสอยู่ ถ้าปล่อยให้ชโครดาน มุสตาฟี่ ยืนเป็นเซ็นเตอร์แบ็กคนเดียว มีหวังโดนยิง เม็ด 3 แล้วจะหมดสิทธิ์คัมแบ็กแน่ จึงตั้งใจส่งเซ็นเตอร์แบ็กสำรองไปรักษาทรงเอาไว้
1
แต่ปรากฏว่า แฟนบาเลนเซียโห่ฮาอย่างหนักด้วยความโกรธ ว่าทำไมทีมตามหลังแบบนี้ ไม่ส่งเนเกรโด้ ซึ่งเป็นกองหน้าลงเล่น เนวิลล์นั้น เกิดความลังเลใจตามเสียงโห่ จึงตัดสินใจเชื่อแฟนบอล เปลี่ยนใจอีกรอบ เอาเนเกรโด้ลงเล่นในช่วงท้ายเกม ในฐานะสำรองคนสุดท้าย
ทันทีที่เปลี่ยนเนเกรโด้ลงปั๊บ กองหลังก็ไม่เหลือใครอีกแล้ว แอตเลติโก้ บุกตูมเดียว กรีซมันน์ ซัดเข้าไป จบเกมแอตเลติโก้ชนะ 3-1 ซึ่งจากจุดนี้ มันแสดงให้เห็นถึง "ความซอฟท์" ของเนวิลล์ ที่ไม่ยึดมั่นในความคิดของตัวเองมากพอ ถ้าเป็นโค้ชระดับโลก ต่อให้แฟนบอลจะต้องการแค่ไหน เขาก็ยังยึดมั่นในแนวทางของตัวเองอยู่ดี
หรืออีกกรณีหนึ่ง ปาโก้ เอเยสเตราน เล่าว่า หลังจากเกมแพ้บาร์เซโลน่า 7-0 สิ่งที่เขาคาดหวังคือ เนวิลล์จะลุกขึ้นมาด่ากราดทั้งทีม ว่าเล่นแบบนี้ได้ไง แต่เนวิลล์กลับพูดว่า "พวกเราจะลืมเกมนี้ไปนะ ไม่ใช่ความผิดของใครเลย" ซึ่งมันเป็นความใจดี ที่ไม่เหมาะกับคาแรคเตอร์ทีมเท่าไหร่เลย
เหตุผลทั้งสามข้อ ภาษาไม่ได้ แท็กติกไม่ดี คาแรคเตอร์ไม่โดน คือปัจจัยที่ทำให้เนวิลล์ ล้มเหลวกับช่วงเวลาที่บาเลนเซียโดยสิ้นเชิง และต้องโดนไล่ออกหลังคุมทีมได้แค่ 4 เดือนเท่านั้น หอบความช้ำกลับอังกฤษไปแบบเศร้าๆ
ปีเตอร์ ลิม ในฐานะเจ้าของทีมก็โดนด่ายับว่า เห็นสโมสรฟุตบอลเป็นอะไร คุณจะเอาคนที่ไม่เคยคุมทีมมาก่อนเลย มาทดลองแบบนี้ได้อย่างไร กว่ากระแสความโกรธจะเบาบางลง ก็ผ่านไปหลายเดือนเหมือนกัน
2
เรื่องของแกรี่ เนวิลล์นั้น หลายคนก็แสดงความสงสาร เพราะภารกิจที่บาเลนเซียมันเป็นงานหนักเกินไปของมือใหม่ ลองคิดดู เกมแรกสุดที่ได้คุมทีมอาชีพ คือคุมเกมชี้ชะตาว่าจะเข้ารอบน็อกเอาต์แชมเปี้ยนส์ลีกหรือไม่ มันเป็นความกดดันมหาศาลจริงๆ
คือถ้าเนวิลล์ไปเริ่มนับหนึ่ง จากการคุมทีมเล็กๆ หรือทีมเยาวชนก่อน หรือไม่ก็ลีกรองๆหน่อย เช่น แชมเปี้ยนชิพ หรือลีกสกอตต์ สร้างสมประสบการณ์เยอะๆ เส้นทางอาชีพของเขาอาจจะสวยกว่านี้ อาจรับมือกับปัญหาได้ดีกว่านี้ แต่เมื่อมาคุมทีมใหญ่ตูมเดียว ผลลัพธ์ก็เลยเป็นอย่างที่เห็น
1
สุดท้ายด้วยความเจ็บที่มีมากเกินไป เนวิลล์ก็ออกมายอมรับว่า จากนี้ไปคงไม่กลับมาคุมทีมฟุตบอลอีกแล้ว ประสบการณ์ครั้งเดียวก็เกินพอ ต่อไปนี้ขอเอาดีเรื่องวิจารณ์บอลและทำธุรกิจส่วนตัวดีกว่า
1
กรณีศึกษาที่น่าสนใจจากเรื่องแกรี่ เนวิลล์ก็คือ คนเราอาจไม่ได้ทำทุกอย่างได้ดีไปเสียหมด
เนวิลล์เล่นบอลเก่ง วิจารณ์บอลดี แต่พอมาทำงานโค้ชแล้ว คือไม่ผ่านอย่างรุนแรง
หรือโค้ชคนอื่นๆ อย่างโชเซ่ มูรินโญ่ หรืออาร์แซน เวนเกอร์ ก็เป็นพวกเล่นบอลไม่เก่งเลย แต่พอมาเป็นโค้ชแล้วดันเก่งมาก แถมยังวิจารณ์บอลดีอีกต่างหาก
โลกนี้ต่างคนก็ต่างมีสกิลความถนัดที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นถ้าเรารู้ว่าตัวเองไม่ถนัดสิ่งไหนจริงๆ ก็ไม่ต้องยื้อทำสิ่งนั้นไปเรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ให้ใครเห็น วิธีที่ง่ายกว่าคือ ถอนตัวออกมาซะ แล้วเอาเวลาอันมีค่าของเรา ทำในสิ่งที่เราถนัดที่สุดดีกว่า
4
เพราะสัจธรรมของโลกนี้ คือการทำงานไม่ตรงความสามารถ ทำอีกสิบชาติก็ยากจะเจริญนะ
1
#Neville
โฆษณา