14 เม.ย. 2021 เวลา 06:42 • ประวัติศาสตร์
โจนส์​ ทาวน์​(Jones Town)​ ลัทธิลัทธิฆ่าตัวตายหมู่มากที่สุดในประวัติศาสตร์
บนโลกใบนี้ แต่ละคนล้วนมีอุดมคติที่แตกต่างกันออกไป บางคนอยากให้มีการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ไม่มีการแบ่งแยก ไร้ซึ่งความขัดแย้ง สงครามหรือการใช้ความรุนแรงเข้าหากัน แม้แต่เรื่องศาสนา​ ลัทธิ  ซึ่งทำให้นมุษย์เกิดความเชื่อ ความศัทธา แตกต่างกันออกไป​ และความศรัทธานี่เอง ที่ผู้นำลัทธิหนึ่งได้นำพาไปพบกับโศกนาฏกรรม​ “การฆ่าตัวตายหมู่” จนกลายเป็นข่าวสุดสะเทือนใจไปทั่วโลกและในประวัติศาสตร์
จิม โจนส์ ผู้นำลัทธิ
จิม​ โจนส์​ (Jim Jones)​ หรือ​ ชื่อเดิมว่า เจมส์​ วอร์เรน​ โจนส์​ (James Warren Jones)​ เกิดเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม​ ค.ศ.1931 เป็นเด็กที่เกิดมาในครอบครัวหนึ่งของรัฐอินเดียน่า​ สหรัฐอเมริกา
ในสมัย​เด็ก​ เขาชอบอ่านหนังสืองานเขียนปรัชญายุคเก่าเป็นอย่างมาก​ โดยเฉพาะงานของ คาร์ล​ มาร์ก​ และของ​ โทมัส​ มอร์​ โดยเฉพาะเรื่อง “ยูโทเปีย” หรือ​ “ดินแดนอุดมคติ” ที่ทุกคนนั้นมีความเท่าเทียมกัน และความเชื่อนี้เองทำให้เขามีความคิดเห็นขัดแย้งกับพ่ออย่างรุนแรง โดยเฉพาะพ่อที่เป็นสมาชิกของกลุ่ม “คู​ คลักซ์ แคลน​ “ (Ku Klux Klan)​ คือกลุ่มต่อต้านและมีการเหยียดสีผิวอย่างรุนแรง
จิมเป็นเด็กที่เติบโตมในชุมชนท่ามกลางที่มีความเชื่อ และความศัทธาอย่างแรงกล้าต่อคำสอนในไบเบิ้ล เพราะเชื่อว่าในไบเบิ้ลทุกคำถือว่าเป็นความจริง ทำให้จิมเกิดความศรัทธาเป็นอย่างมาก​ เขาเป็นเด็กที่มีวาทศิลป์ มีความคิด สามารถจดจำคำสอนในไบเบิ้ลได้ทุกคำ และสามารถเทศน์คำสอนที่อยู่ในไบเบิ้ลได้ทุกอย่าง
เมื่อเขาโตขึ้น เขาจึงก่อตั้งลัทธิ​ โบสถ์มวลชน ( People's Temple)​ ขึ้นมา ในปี​ค.ศ.​1955 โดยหลักการของลัทธินี้ก็คือ ทุกคนเท่าเทียมโดยไม่มีการแบ่งแยกรวยจน สีผิว หรือเชื้อชาติ​  จิมให้ความช่วยเหลือคนผิวสี แม้จิมจะถูกต่อต้านจากกลุ่มคนเหยียดสีผิว​อย่างหนัก​ แต่เขาก็ไม่เคยยอมแพ้ และออกรณรงค์เพื่อการต่อต้านการแบ่งแยกผิวสี ทั้งเดินขบวน  ให้ความช่วยเหลือคน  ซึ่งด้วยทักษะการจูงใจชั้นเยี่ยมของเขา ทำให้มีผู้ศรัทธาในลัทธินี้มากมาย โดยเฉพาะกลุ่มชนผิวสี​ จึงทำให้มีผู้ที่ศัทธาในตัวเขาเพิ่มมากขึ้น​ เป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็ว
โครงการหนึ่งที่จิม โจนส์ สร้างศรัทธาต่อสาวก คือโครงการต่อต้านการฆ่าตัวตาย  จิม โจนส์ และสาวกผู้ติดตามกว่า 500​ คน เดินทางไปสะพานโกลเดนเกท​ (Golden Gate) ที่เมืองซานฟรานซิสโก เพื่อต่อต้านการฆ่าตัวตาย ซึ่งสะพานแห่งนี้ชาวอเมริกันนิยมมาฆ่าตัวตายมากที่สุด จากนั้นมีการจัดปราศรัยหน้าเรือนจำ  กับคนในคุกว่าทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ  ที่จะแสดงความคิด​ การพูด  พวกเขามีโอกาส หากอยากกลับตัวกลับใจเป็นคนดี​ และเขาพร้อมที่จะเป็นสื่อกลางระหว่างรัฐ และสื่อมวลชน
การกระทำแสนดีที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยไม่แบ่งแยก เหล่านี้เองทำให้ จิม โจนส์ ได้รับถ้วยรางวัลและเหรียญเชิดชูเกียรติต่อการทำงานรับใช้สังคมมากมาย ในจำนวนนั้นเขาได้รับเหรียญ "ลาเฮอราลด์" เป็นเหรียญสำหรับผู้ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน
จิมเริ่มมีท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไป เริ่มปฎิเสธพระเจ้า มีอารมณ์รุนแรง คำสอนของโจนส์เริ่มเปลี่ยนไป เขาเสี้ยมสอนให้ผู้มีศรัทธารวมตัวกันสัปดาห์ละครั้งเพื่อซ้อมฆ่าตัวตายหมู่ที่เรียกว่า "ไวท์ ไนท์" (White Nights) เป็นการซ้อมฆ่าตัวตายจริง ๆ  จิมให้เหตุผลที่สาวกต้องซ้อมตายเพราะทุกคนจะต้องไม่ถูกฆ่า พวกเราต้องไม่ถูกสังหารหมู่ และเมื่อเวลานั้นมาถึงก็จะขอตายพร้อมกันด้วยน้ำมือของตัวเอง  เพื่อเป็นการชิงฆ่าตัวตายก่อน​ แล้วหลังจากนั้นวิญญาณของทุกคนจะรวมเป็นหนึ่ง พากันไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขบนโลกใบอื่น
แนวคิดของเขาเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ไม่เหลือคราบนักเทศน์แสนดีที่เคยตั้งโครงการต่อต้านการฆ่าตัวตาย
ต่อมาเขาได้รวบรวมเงินบริจาค ซื้อที่ดินรกร้างแห่งหนึ่ง ในประเทศกายอานา  ทางชายฝั่งตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ มีการก่อสร้างบ้าน ลานกว้าง พื้นที่เพาะปลูก โรงอาหาร และโซนปศุสัตว์ พร้อมกับตั้งเมืองขึ้นชื่อว่า "โจนส์​ทาวน์" (Jonestown) ในปี 1977 เพื่อสานฝันวัยเด็กที่หวังสร้างเมืองแบบยูโทเปียโดยมีผู้อยู่อาศัยเป็นเหล่าผู้ศรัทธาในลัทธิ ส่วนตัว จิม โจนส์ ก็กลายเป็นผู้ปกครองเมืองนั้น
ผู้มีศรัทธาที่เลื่อมใสในตัวโจนส์ยอมเดินทางมาไกลเพื่อหวังความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น คาดหวังว่าเมืองแห่งใหม่จะทำให้ทุกคนเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง ผู้คนจะเต็มไปด้วยน้ำใจ คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน แต่พอมาถึงสิ่งที่พบคือชีวิตแบบเผด็จการ ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
โจนส์ทาวน์มีกฎสำหรับผู้อาศัยว่าทุกคนต้องเท่างานเท่ากัน เมื่อได้ผลประโยชน์ก็ต้องแบ่งสรรปันส่วนให้เท่า ๆ กันโจนส์ใช้เวลาว่างเดินตรวจตราเมือง เทศนาสาวกผ่านเสียงตามสายเกือบตลอดเวลา จากนั้นมั่วเซ็กซ์กับสาวกที่เข้าตา เสพยาอย่างหนัก และมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าชาวเมืองคนอื่น ๆ ทั้งที่ปากก็พร่ำบอกทุกคนอยู่ตลอดว่าชุมชนของเราเท่าเทียมกัน
ทุกคนต้องก้มหน้าก้มตาทำงาน ต้องเรียกโจนส์ว่า ‘บิดา’ ผู้ปันส่วนอาหารแต่ละมื้อคือศาสดาที่จะเจียดเศษเสี้ยวอาหารที่คนในชุมชนสร้างมากับมือให้กินแค่พออิ่ม ความเป็นอยู่ของสาวกไม่ได้ดีขึ้นจากครั้งที่อยู่อเมริกาเท่าไหร่นัก ซ้ำร้ายยังแย่กว่าเดิมเพราะโจนส์ปกครองเมืองด้วยระบอบเผด็จการ ปิดหูปิดตาผู้คน ทำร้ายร่างกายคนอื่นเมื่อไม่ได้ดั่งใจ แถมยังต้องแบ่งเวลาว่างหลังทำงานหนักมาซ้อมไวท์ ไนท์​ (White nights)​ อยู่บ่อย ๆ​
ยิ่งไปกว่านั้น จิม​ โจนส์​ ได้กลายเป็นกฏของบ้านเมือง  ออกข้อห้ามต่างๆ ห้ามแสดงออกถึงความรัก​ในที่สาธารณะ  คนที่ไม่ปฏิบัติตามและคนที่ทำท่าจะหนีออกไปจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง ซึ่งการลงโทษได้ยกระดับขึ้นเรื่อยๆ จากการใช้กำลังเป็นการทรมานและจากการทรมานเป็นการใช้กำลังทางเพศ หากมีผู้ใดที่คิดหลบหนีจากยูโทเปีย ไม่ว่าเด็ก ผู้หญิง ผู้ใหญ่ หากถูกจับได้จะถูกนำมาทิ้งที่บ่อลึก ซึ่งรู้จักในชื่อ "โพรงแห่งทุกข์ทรมาน" โดยจะโยนทิ้งในเวลาเที่ยงคืน จากนั้นก็ไม่มีใครได้พบเห็นหน้าผู้เคราะห์ร้ายนั้นอีกเลย
ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จับตาดูลัทธิโบสถ์มวลชนมาพักใหญ่เริ่มมองเห็นความผิดปกติหลายอย่าง ประกอบกับคำร้องเรียนของอดีตสาวกที่ทนการกดขี่ของ จิม โจนส์ ไม่ไหวออกมาแฉเรื่องราวต่อสังคม   ทำให้รัฐบาลสงสัยว่าเพราะเหตุใดถึงไม่มีใครออกจากเมืองเลยตั้งแต่ย้ายเข้าไป ทางการจึงส่งสมาชิกวุฒิสภารัฐแคลิฟอร์เนีย ลีโอ ไรอัน (Leo Ryan) แห่งพรรคเดโมเเครต( Democratic Party) ได้ทำหนังสือ เพื่อขอเข้าตรวจสอบพร้อมกับผู้ติดตามและผู้สื่อข่าวไปยังโจนส์ทาวน์ เพื่อเยี่ยมเยียนผู้ย้ายถิ่นฐานว่ามีความเป็นอยู่อย่างไรบ้างเมื่อ นายลีโอ พร้อมกับนักข่าวเข้าไปตรวจสอบ เขาก็พบกับความผิดปกติ หลายอย่างสมาชิกของลัทธิหลายคนมาขอให้ช่วยพาหลบหนี
จนเมื่อทีมตรวจสอบของวุฒิสมาชิก ลีโอ รู้แล้วว่า โจนส์ ทาวน์ ไม่ใช่ดินแดนในฝันอย่างแท้จริง พวกเขาและผู้สื่อข่าวจึงพาสมาชิกบางส่วนหลบหนี แต่ ก็ไม่สามารถรอดพ้นได้ เพราะท้ายที่สุดบรรดาสาวกที่ซื่อสัตย์ ของ จิม โจนส์ได้ตามมาฆ่า คณะของ วุฒิสมาชิก ลีโอ ไรอัน และ ผู้สื่อข่าว NBC เสียชีวิตทั้งหมดที่สนามบิน มีเพียง นักบินคนเดียวที่รอดชีวิตไปได้แจ้งเรื่องดังกล่าวไปทางวิทยุการบินได้ทัน ทำให้โลกได้รับรู้ความบ้าคลั่งของดินแดนแห่งนี้
เมื่อจิมทราบว่าวุฒิสมาชิก​ ลีโอ ไรอัน​ เสียชีวิตแล้ว และอีกไม่นาน ทางสหรัฐฯ ต้องส่งคนมาจัดการเขาแน่นอน  เขาจึงประกาศให้ทั้งเมือง เริ่มพิธีการที่ซักซ้อมกันมาอย่างยาวนานซักที นั่นก็คือ "การฆ่าตัวตายหมู่"
โดยเขาประกาศเสียงตามสายในหมู่บ้านว่า อีกไม่นานจะมี ผู้ไม่​ประสงค์ดี​ กราดยิงทุกคนอย่างไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเด็กหรือว่าผู้ใหญ่ และจะทรมานทุกคนอย่างหนักก่อนจะฆ่าให้ตายด้วย ฉะนั้นทุกคนต้องชิงฆ่าตัวตายก่อนจะได้ไม่ทรมาน และการฆ่าตัวตายครั้งนี้ จะทำให้พวกเขาได้ไปอยู่ในดินแดนอีกแห่งที่สงบสุขกว่าเดิม
จิมได้แจกจ่ายเหล้าองุ่นผสมยาพิษ “ไซยาไนด์ (Cyanide)” ให้กับทุกคนได้กิน ซึ่งเป็นสารพิษฤทธิ์แรงที่ไร้สีไร้กลิ่น​ ก็ทำให้ผู้ดื่มรู้สึกทุกข์ทรมาณอย่างถึงที่สุด ก่อนจะเสียชีวิต
จิม โจนส์ได้เทศน์ครั้งสุดท้าย แล้วสั่งให้พ่อแม่เอาเหล้าองุ่นให้เด็กดื่มก่อนแล้วตัวเองค่อยดื่มตาม พ่อแม่หลายคนต้องลงมือสังหารลูกหลานตัวเอง มองดูเด็ก ๆ ดิ้นทุรนทุรายก่อนตาย ลานชุมชนเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องจากความทรมานของเหล่าเด็กเล็ก
เมื่อหน่วยงานจากภายนอกเข้ามา ทุกอย่างก็สายไปแล้ว​ ภาพที่เห็นคือ "การฆ่าตัวตายหมู่" คือซากศพหลายร้อยซากนอนเรียงกันอย่างระเกะระเกะ บ้างก็เป็นร่างที่ได้​วิญญาณ​ของพ่อแม่ลูกนอนกุมมือกัน บ้างก็เป็นคู่รักนอนกอดกัน​ บางร่างถูกยิงจนพรุนจสกด้านหลัง
ส่วนจิม นอนเสียชีวิตอยู่บนแท่นพิธีของตนเอง ข้างกันนั้นยังมีสาวกคนอื่นๆโดยมีรอยกระสุนอยู่บนศรีษะ เป็นการจบชีวิตตัวเอง
"การฆ่าตัวตายนี้ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ นี่คือการต่อต้านอำนาจรัฐ เป็นการฆ่าตัวตายเพื่อการปฏิวัติ" จิม​ โจนส์​ ได้กล่าวไว้ในวันสุดท้าย
เหตุการณ์สุดสะเทือนใจในโจนส์ทาวน์มีผู้เสียชีวิตรวมแล้ว 914 ราย​ ถือว่าเป็นการฆ่าตัวตายหมู่ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
เหตุการณ์ที่โจนส์ ทาวน์​ ที่เป็น"การฆ่าตัวตายหมู่" ที่สุดสะเทือนใจเป็นอย่างมาก​ ส่วนโจนส์ทาวน์ก็ถูกทิ้งร้างมาจนถึงตอนนี้ เหลือไว้เพียงเรื่องเล่าน่าเศร้าที่เกิดจากความเชื่อต่อตัวบุคคล จนนำมาสู่โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์
Reference :
The Washington Post
โฆษณา