มีคนจ้างผม 150,000 ให้นั่งอยู่ในห้องๆหนึ่งเป็นเวลาเจ็ดวัน มันไม่คุ้มกับเงินที่ได้เลย
ผมได้รับการติดต่อจากบริษัทจัดหางาน โดยไม่รู้มาก่อนเลยว่าผมจะต้องทำงานให้ใครหรือลักษณะงานนั้นเป็นแบบไหน ผมรู้อย่างเดียวว่าค่าจ้างมันดีงามมาก สัญญาจ้างหนึ่งอาทิตย์โดยจ่ายให้คืนละ 22,000 กว่าบาท จำนวนเงินนั้นมากพอที่จะจ่ายหนี้บัตรเครดิตของผมสองสามใบแถมยังเหลือจ่ายค่าเช่าบ้านจนถึงเดือนหน้าอีกต่างหาก และด้วยค่าจ้างที่เยอะขนาดนั้นผมพูดเลยว่าผมแทบจะยอมทำทุกอย่าง อยากรู้เหลือเกินว่าตอนนั้นผมจะต้องเจอกับอะไร
ตอนที่ผมเดินทางมาถึงตามที่อยู่ที่ได้มาผมค่อนข้างประหลาดใจอยู่นิดหน่อย มันเป็นโรงงานขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างถนนลูกรังลึกเข้ามาในป่าที่อยู่ตรงกลางระหว่างเมืองสองเมือง ป้ายขนาดใหญ่ข้างนอกสลักคำว่า SynthetiCorp. ข้างในมีอาคารสีขาวที่มีสามชั้น เป็นอาคารธรรมดาๆที่ไม่มีเครื่องหมายหรือป้ายอะไรกำกับไว้ ซึ่งเห็นแบบนั้นแล้วผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามันถูกสร้างเพื่อจุดประสงค์อะไรกัน นี่ยังไม่ได้พูดถึงสถานที่ตั้งที่ดูลึกลับซับซ้อนอีกด้วยนะ แต่ฟังจากชื่อของมันแล้ว ผมเดาว่ามันน่าจะเป็นบริษัทวิจัยอะไรสักอย่าง ผมอาจจะได้ไปเก็บกวาดกากกัมมันตรังสีหรืออะไรทำนองนั้น แต่ถ้าค่าจ้างเยอะขนาดนั้นแล้วละก็ ผมคิดว่ามันก็คุ้มที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยง
หลังจากที่เข้ามาในตึกและพบกับพนักงานต้อนรับเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็พาผมไปที่ห้อง 371 ที่อยู่บนชั้นสองเพื่อนั่งรอเจ้านายใหม่ของผมที่ชื่อคุณอัล สภาพภายในห้องดูเหมือนสำนักงานหรือออฟฟิศทั่วๆ ไปถึงแม้บางอย่างจะดูแปลกตาไปสักหน่อย เช่น พื้นที่ปูด้วยพรมแดง ผนังที่ทาด้วยสีขาวและไม่มีหน้าต่างสักบาน ในห้องมีเพียงโต๊ะทำงานหกตัว แบ่งออกเป็นสามแถว แถวละสองโต๊ะ แต่ละโต๊ะมีคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องตั้งอยู่ ด้านหลังห้องมีกระจกสะท้อนทางเดียวบานใหญ่ ซึ่งทั้งสองข้างของกระจกจะมีบันไดที่พาเข้าไปยังห้องที่อยู่หลังกระจกบานนั้น ภายในห้องหลังกระจกจะมีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่อย่างละตัว บนโต๊ะมีโทรศัพท์บ้านเครื่องหนึ่งวางอยู่ ผมเดาว่ามันน่าจะเป็นห้องของหัวหน้าที่เอาไว้ใช้สังเกตการณ์ลูกน้องของตัวเอง นอกจากที่ผมบอกในห้องนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจอีกแล้ว เว้นเสียจากว่าถังขยะกับกระถางต้นเฟิร์นที่อยู่ตรงมุมห้องมันจะดูน่าประหลาดสำหรับคุณ
แล้วชายสูงอายุคนหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง เขาตรงมาที่ผมแล้วจับมือทักทายพร้อมกับแนะนำตัวเองว่าเขาชื่ออัล เขาท่าทางดูรีบมากและไม่รอช้าที่จะอธิบายงานที่ผมต้องทำให้ฟัง สิ่งที่ผมต้องทำคืออยู่ในห้องนี้ตั้งแต่สองทุ่มยันหกโมงเช้าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปทุกคืนจนครบอาทิตย์ เขาทิ้งเบอร์ติดต่อและกระดาษที่มีกฎข้อบังคับต่างๆ เอาไว้ด้วย พร้อมกับเน้นย้ำว่ากฎทุกข้อนั้นสำคัญและผมต้องปฏิบัติตามที่มันระบุไว้ทุกอย่าง หลังจากที่เขาเห็นว่าผมเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดเป็นอย่างดีแล้ว เขาก็เดินออกจากห้องนี้ ทิ้งให้ผมเริ่มงานในคืนแรกอย่างสงบสุข แล้วปิดประตูทางออกไป
แค่นี้เหรอ ? จริงดิ ? นั่งโง่อยู่ในห้องสิบคืนแค่นั้น ?
ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงถูกจ้างด้วยจำนวนเงินถึง 22,000 ต่อวันเพื่อนั่งอยู่ในห้องเฉยๆ แต่จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาของผมมันได้สอนผมว่าเราไม่ควรจะปล่อยโอกาสดีๆ ที่ผ่านเข้ามาให้หลุดมือไป ผมนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ในห้องสังเกตการณ์พร้อมกับรอยยิ้มแห่งความสุขบนใบหน้าและเริ่มอ่านกฎที่เขียนไว้ในกระดาษ มันมีทั้งหมดสิบข้อด้วยกันและเป็นสิบข้อที่ทำให้ผมปวดหัวเสียจริง
1. ในทุกคืนเมื่อถึงเวลา 20.00 น. ล็อกประตูห้องและห้ามออกจากห้อง “ไม่ว่ากรณีใดๆ” จนกว่าจะถึงเวลา 6.00 น. เพราะฉะนั้นคุณควรกะเวลาเข้าห้องน้ำหรือการรับประทานอาหารให้ดี ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มเข้ามาในห้องเด็ดขาด
2. “ห้าม” ใช้คอมพิวเตอร์ของแฮงค์เด็ดขาด มันเป็นคอมพิวเตอร์ตัวที่อยู่ตรงประตูทางออกของห้อง อย่าให้ใครไปแตะต้องมันไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตามซึ่งรวมถึงแฮงค์ผู้เป็นเจ้าของเครื่องเองด้วย
3. ถ้าโทรศัพท์ดังให้รับสายแต่ห้ามพูดอะไรเด็ดขาด ไม่ว่าปลายสายจะพูดอะไรก็แล้วแต่คุณห้ามตอบอะไรกลับไป และวางหูโทรศัพท์ทันทีหลังจากที่เวลาผ่านไปสองนาทีแล้ว
4. ห้ามให้คนทำความสะอาดเข้ามาในห้อง บริษัทเราไม่มีพนักงานตำแหน่งนี้
5. ถ้าคนที่มาเคาะประตูไม่ใช่คนทำความสะอาดก็ให้เขาเข้ามาข้างในได้แต่อย่าคุยกับเขา ห้ามมีปฏิสัมพันธ์กับเขาไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ถ้าเขาออกจากห้องไปแล้วก็ให้ปิดประตูและล็อกไว้เหมือนเดิม
6. ถ้าจู่ๆ ถังขยะย้ายไปอยู่ที่อื่น ให้รีบหยิบมันมาวางไว้ตรงมุมห้องที่เดิมทันทีที่คุณสังเกตเห็น
7. ถ้าผมแวะมาเยี่ยม เปิดประตูให้ผมถ้าผมรู้รหัสลับ
8. เมื่อถึงเวลา 21.30 น.ให้คุณไล่เปลี่ยน URL ใน Browser ที่อยู่ที่หน้าจอของคอมพิวเตอร์ทุกตัวโดยไม่ให้ซ้ำกัน (ยกเว้นคอมของแฮงค์) หากมีภาพอะไรประหลาดๆ โผล่ขึ้นมาที่หน้าจอก็อย่าไปสนใจ ให้คุณทำตัวตามปกติ
9. ถ้าคุณเห็นฮาร์วี่ก็หยิบขนมที่อยู่ที่โต๊ะของลิซ่า (โต๊ะตรงข้ามแฮงค์) มาให้มันกินด้วย
10. ถ้ามีเรื่องฉุกเฉินให้โทรมาหาผม แต่อย่าโทรหลัง 22.05 น. เป็นอันขาด
ข้างล่างของกระดาษมีอีกหนึ่งประโยคถูกเขียนอย่างลวกๆ ไว้ด้วยปากกาว่า “ไม่มีใครเคยอยู่ถึงคืนที่สาม ขอให้โชคดีนะ”
มันทำให้ผมนั่งงงอยู่พักใหญ่ๆ คนที่ชื่ออัลนี่เป็นคนบ้าหรือยังไงกันแล้วทำไมถึงไม่มีใครอยู่ทำงานนี้จบครบอาทิตย์เลยสักคน บางทีพฤติกรรมประหลาดของคุณอัลอาจจะทำให้พนักงานคนก่อนลาออกไป เขาคงรู้สึกไม่ปลอดภัยที่มีนายจ้างสติสตังแบบนี้ แต่แค่นี้มันก็ไม่ได้ทำให้ผมกลัวหรอก ถึงคุณอัลจะบ้าแต่ผมก็ยินดีที่จะรับค่าจ้างจำนวนมหาศาลจากเขาแลกกับการนั่งเฉยๆ พร้อมกฎหยุมหยิมไม่ก็ข้อ งานนี้โคตรหมูเลย ผมคิดอย่างนั้นนะ
คืนแรกมันน่าเบื่อมาก ทุกอย่างช่างดูปกติ — ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสักครั้ง ทั้งๆ ที่ผมเตรียมรับมือกับกฎที่เขียนเอาไว้เป็นอย่างดี ตอน 21.30 น. ผมก็ไล่เปลี่ยน URL ในคอมพิวเตอร์ อย่างน้อยมันก็เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมได้ขยับร่างกายบ้างไม่ใช่เอาแต่นั่งอยู่เฉยๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะคืนต่อมามันก็ไม่ได้ราบรื่นเหมือนเดิม
คืนที่สองทุกอย่างก็เริ่มต้นเหมือนปกติ ผมพยายามทำตัวเองให้คุ้นชินกับการอยู่กลางคืนยาวๆ แบบนี้ ผมกินข้าวมาจนอิ่มท้องพร้อมกับเคลียร์กระเพาะปัสสาวะเรียบร้อยก่อนจะขังตัวเองไว้ จนเมื่อถึงเวลา 21.25 น. ผมที่กำลังจะเตรียมตัวไปเปลี่ยน URL ในคอมอีกครั้ง ผมก็สังเกตเห็นมัน ถังขยะใบนั้นตั้งอยู่ทางขวามือของหัวบันได ผมจำได้แม่นเลยว่าผมไม่ได้วางมันไว้ที่นั่นสักหน่อย
ผมรู้สึกได้ถึงอะดรีนาลีนที่กำลังถูกสูบฉีดไปทั่วร่างกายก่อนที่ผมจะค่อยๆ สงบสติแล้วยิ้มออกมา ถังขยะ ... กฎข้อนั้น ... คิดว่าผมโง่ขนาดนั้นเลยรึไงคุณอัล คุณอยู่ในห้องถัดไปใช่ไหมล่ะ คงกำลังตื่นเต้นที่จะได้เห็นผมหน้าซีดตอนเดินออกไปแน่ๆ
ผมรีบลงไปที่ชั้นออฟฟิศแต่ก็ไม่เห็นใครอยู่ในห้อง ผมจึงเดินไปที่ประตูทางออกและลองหมุนลูกบิด มันก็ยังล็อกอยู่นี่นา
ผมเริ่มเสียขวัญและขนลุกขึ้นมาพร้อมกัน จากนั้นจึงรีบหันไปหยิบถังขยะแล้วเอาวางไว้ตรงมุมห้องที่เดิม ผมมองดูเวลา ตอนนี้ก็ 21.30 น. แล้ว จึงวิ่งลงมาเปลี่ยน URL ของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง ขณะเดียวกันในใจผมก็ยังคิดในแง่ดีว่าผมอาจจะเผลอหยิบถังขยะวางไว้ตรงนั้นเอง หลังจากที่ข้ามคอมพิวเตอร์ของแฮงค์ ผมก็มาเปลี่ยน URL ของคอมเครื่องที่หกซึ่งเป็นเครื่องสุดท้าย ตอนที่ผมเปลี่ยนเสร็จแล้วและกำลังจะเขยิบตัวออกมา ก็มีภาพอะไรบางอย่างที่ดูน่าประหลาดปรากฏขึ้นที่หน้าจอ
มันเหมือนเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดในห้องห้องหนึ่ง ซึ่งคล้ายกับห้องที่ผมอยู่ในตอนนี้มาก และผมก็เห็นภาพของตัวเองกำลังก้มมองที่จอคอมพิวเตอร์ ผมจึงหันไปมองทางด้านหลังแต่ก็ไม่พบกล้องตรงไหนสักตัว แต่ในตอนนั้นเองที่ผมหันกลับมามองที่จอคอม ผมก็เห็นอะไรบางอย่างที่น่ากลัวมากๆ
ผมเห็นตัวผมอีกคนหนึ่ง เดินออกมาจากห้องสังเกตการณ์ มันเดินเข้ามาหาผมจากทางด้านหลังพร้อมกับหยิบ Hard drive อันหนึ่งมาจากโต๊ะคอมในห้อง แล้วยกมันขึ้นเตรียมที่จะทุบใส่ผม ผมจึงหันกลับไปและยกแขนขึ้นมาป้องกันอย่างรวดเร็ว แต่ ... ไม่มีใครอยู่เลย ... ผมหันกลับไปมองที่จอคอมและตอนนี้มันก็เปลี่ยนเป็นหน้าเว็บอย่างที่มันควรจะเป็น
ผมวิ่งกลับไปที่ห้องสังเกตการณ์อย่างรวดเร็วและนั่งลงที่โต๊ะ ผมว่ามันชักจะทะแม่งๆ แล้วนะ ผมอยากจะหนีกลับบ้านซะเดี๋ยวนี้เลยแต่ก็พยายามข่มใจตัวเองให้อยู่ต่อ ผมยังสบายดีอยู่นี่นา บางทีคุณอัลอาจจะไม่ได้บ้าและถึงแม้ผมจะไม่ได้รู้จักเขาเป็นการส่วนตัว แต่เขาก็ดูไม่น่าจะโรคจิตถึงขนาดที่จะจ้างผมมาเพื่อให้โดนทำร้ายนะ แถมผมยังไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลยด้วยซ้ำ ถ้าถามผมว่ามันทำให้ผมสติแตกไหม ใช่ แต่ร่างกายของผมก็ยังอยู่ครบสามสิบสอง ไม่ว่าสิ่งที่ผมกำลังเผชิญหน้าอยู่จะคืออะไร แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ทำอันตรายอะไรกับผมเลยจนกระทั่งตอนนี้
ก๊อก .... ก๊อก ....
เสียงเคาะประตูดังขึ้นมา ผมเจอเรื่องน่ากลัวในชีวิตมาเยอะเหมือนกันนะ แต่บอกได้เลยว่าเสียงเคาะเมื่อสักครู่นี้มันทำให้ผมสะดุ้งจนหัวใจจะวายที่สุดแล้ว จากนั้นก็มีเสียงตะโกนดังผ่านประตูเข้ามา
“ผมเป็นคนทำความสะอาดครับ ช่วยเปิดประตูให้ผมเข้าไปทำความสะอาดหน่อยได้ไหมครับ ?”
ผมนึกย้อนไปถึงกฎข้อที่สี่และตัดสินใจนั่งอยู่ที่เดิม ไม่เปิดประตูเขาเข้ามาข้างใน
‘นายทำดีแล้วพวกที่ไม่ให้เขาเข้ามา นายทำตามกฎที่เขียนไว้นี่ ตอนนี้นายก็ยังสบายดีและตราบเท่าที่นายยังทำตามกฎทุกข้อนายก็จะต้องปลอดภัยแน่นอน เรื่องมันก็ง่ายแค่นี้แหละ นายก็รู้นี่’ ผมบอกกับตัวเอง
ก๊อก .... ก๊อก ....
ผมสะดุ้งตกใจอีกรอบ
“ผมต้องเข้าไปทำความสะอาดข้างใน เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”
ผมพยายามตั้งสติและหายใจเข้าลึกๆ ผมทำเป็นไม่ได้ยิน, ไม่สนใจเขาและในที่สุดเขาก็เดินจากไป นี่ถือเป็นความสำเร็จของผมเลยและมันทำให้ผมรู้สึกดีมากเหมือนผมเพิ่งผ่านบททดสอบอันยากลำบากมาได้
จากนั้นผมก็นั่งลุ้นจนตัวโก่งว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ปกติสุขตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ถึงขนาดว่าผมยังเผลอหลับไปช่วงหนึ่งเลยด้วย จนกระทั่งถึงเวลา 02.30 น. บททดสอบใหม่ของผมก็ปรากฏขึ้นมา
แมวตัวหนึ่งกระโดดขึ้นมาบนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าผม มันเป็นแมวสีเปรอะที่มีลวดลายบนตัวที่ดูสวยงาม ผมตกใจมากตอนที่มันโผล่ออกมา แต่หลังจากนั้นมันก็เดินมาคลอเคลียที่มือของผมด้วยท่าทางที่ดูเป็นมิตร ผมสังเกตเห็นชื่อของมันสลักไว้ที่ปลอกคอ — ฮาร์วี่
ผมรู้ในทันทีว่าควรทำอะไรต่อ ผมเดินไปคุ้ยที่โต๊ะของลิซ่าจนเจอเข้ากับเหยือกที่ข้างในใส่ขนมเอาไว้ ผมจึงเทมันออกมาชิ้นหนึ่งแล้วเอาให้ฮาร์วี่กิน สีหน้าของมันดูมีความสุขมากหลังจากที่ได้ขนมชิ้นนั้นลงท้อง หลังจากที่กินจนอิ่มท้องมันก็กระโดดไปที่ประตูแล้วพุ่งทะลุหายเข้าไปต่อหน้าต่อตาผม ผมช็อกจนอ้าปากค้าง แต่หลังจากที่อาการตกตะลึงนั้นหายไปผมก็รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก นี่เป็นชัยชนะของผมอีกครั้ง และถึงแม้มันจะฟังดูแปลกไปหน่อยแต่ผมว่าผมชักจะเริ่มชอบงานนี้ขึ้นมาซะแล้ว
กริ๊ง .... กริ๊ง ....
เสียงโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะดังขึ้น ผมยังจำกฎของมันได้ ผมยกยกหูโทรศัพท์ขึ้นแล้วหนีบไว้ที่ข้างหูและคอยเหลือบตามองดูเวลา
“เฮ้! นี่ฉันเอง อัล เดี๋ยวฉันจะแวะเข้าไปสักหน่อยนะ พอดีมีงานที่ฉันต้องทำ ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม ?”
ผมเงียบ ไม่พูดอะไร
“ฮัลโหล ? คุณรู้ไม่ใช่เหรอว่าคุณคุยได้ถ้าปลายสายเป็นฉัน รู้ใช่ไหม ?”
ผมหยิบกระดาษที่เขียนกฎพวกนั้นขึ้นมาแล้วอ่านมันทั้งหมดอีกรอบ ไม่มีข้อไหนบอกไว้ว่าคุณอัลจะโทรมา ... ผมจึงไม่ตอบอะไร
“แกไม่ควรทำกับเจ้านายของแกแบบนี้นะ! ถ้าแกยังไม่พูดอะไรออกมาละก็ฉันไล่แกออกแน่ แกต้องการแบบนั้นใช่ไหม ?”
ผมยังปิดปากเงียบเหมือนเดิม
“ได้เลย ฉันจะไปหาแกแล้วไล่แกออก ฉันคิดไว้แล้วว่าน้ำหน้าอย่างแกไม่มีทางอยู่ได้เกินคืนที่สองหรอก”
เมื่อครบสองนาที ผมจึงรีบวางหูโทรศัพท์ลง
ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งโล่งใจมากเท่านั้น ผมนึกย้อนกลับไปตั้งแต่ที่ผมเข้างานมาจนกระทั่งตอนนี้ ถึงทุกสิ่งทุกอย่างมันจะดูน่ากลัวและสับสนไปหมด แต่ผมก็ยังไม่ยอมแพ้ ผมจะไม่ยอมให้ไอ้ห้องสี่เหลี่ยมโง่ๆ นี่มาปั่นหัวผมได้หรอก ผมจะอยู่จนถึงเช้าให้ดู
ก๊อก .... ก๊อก ....
“นี่ฉันเอง ลิซ่า ฉันขอเข้าไปหน่อยได้ไหมคะ ?”
ผมเดินไปที่ประตูอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะผมก็ต้องทำตามกฎข้อที่ห้า เมื่อเดินไปถึงผมก็เปิดมันออกแล้วผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินเข้ามา
“อ้าว! นี่คุณคงเป็นพนักงานใหม่สินะ คุณคิดว่าห้องนี้มันแปลกดีไหมคะ ?”
ผมเดินกลับไปที่โต๊ะของผมในห้องสังเกตการณ์แล้วนั่งลง พยายามทำตัวให้ดูปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ลิซ่าเดินตรงมาที่กระจกเหมือนรู้ว่าผมสามารถมองเห็นเธอได้จากข้างใน
“คุณนี่เป็นคนไม่ค่อยพูดเลยนะคะ ?”
เธอกลอกตาไปมาอย่างรวดเร็ว เร็วขนาดที่ว่าไม่น่าจะมีมนุษย์คนใดในโลกทำได้ และอยู่ดีๆ ผิวหนังของเธอก็หย่อนยานจนมันห้อยลงมากับกระดูกเหมือนกล้ามเนื้อของเธอหายไปยังไงอย่างนั้น แต่ผมก็ยังไม่พูดอะไรกับเธอ
เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกแต่กลับยืนจ้องที่กระจกบานนั้นอยู่นานแสนนานจนผมรู้สึกอึดอัดมากจริงๆ หลังจากนั้นเธอก็พุ่งเข้ามาในห้องและหยุดอยู่ข้างผมพร้อมกับชูมือข้างหนึ่งขึ้นไปในอากาศแล้วก็ทุบลงมาที่โต๊ะผมอย่างรุนแรงจนเสียงดังไปทั่วทั้งห้อง ผมเกือบจะสะดุ้งแล้วแต่ยังควบคุมสติเอาไว้ได้ ยังดีที่เธอไม่สังเกตเห็นว่าผมหายใจติดขัดด้วยความกลัวมากขนาดไหน
หลังจากนั้นเธอก็ยืนอยู่ตรงนั้นอีกประมาณห้านาทีก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป ผมจึงรีบวิ่งไปที่ประตูแล้วล็อกมัน ผ่านไปอีกไม่ถึงชั่วโมงก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง รอบนี้เป็นเด็กผู้ชายที่บอกว่าขอมาตามหาพ่อของเขาข้างใน เขาพยายามอ้อนวอนให้ผมช่วยเขาอยู่หลายครั้งแต่ผมก็ระวังตัวไม่ให้ไปโต้ตอบอะไรกับเขา นั่งเฉยๆ ไม่สนใจอะไรเหมือนกับที่ผมทำกับลิซ่าเมื่อสักครู่ ถึงกระนั้นมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมเผลอไปมองตาเขา พริบตาเดียวดวงตาทั้งคู่ของเขาก็กลายเป็นหลุมสีดำลึกลงไป ผมตกใจกลัวมากจะเกือบสะดุ้งจนหงายหลังแต่ก็ยังประคองตัวเองไว้ได้อยู่
เหมือนกันกับลิซ่า เด็กคนนั้นเข้ามาสักพักแล้วก็ออกไปและผมก็รีบวิ่งไปปิดประตูและล็อกมันไว้แบบเดิมตามที่คุณอัลเขียนเอาไว้
***
นอกจากถังขยะที่ย้ายที่ไปมาสองสามรอบ ก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีกในคืนที่สอง ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว ผมคิดอยู่นานว่าผมจะโทรไปลาออกดีไหม แต่อีกใจหนึ่งผมกลับรู้สึกตื่นเต้นมาก ผมอยากรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นอีกในห้องนั้น ผมทิ้งตรรกะทุกอย่างในสมองออกไปและเหลือไว้เพียงเหตุผลโง่ๆ ที่ผมสร้างขึ้นมาเพื่อจะพาตัวเองกลับไปยังห้องนั้นอีกครั้ง ราวกับว่ามันมีอำนาจหรือแรงดึงดูดอะไรบางอย่างที่พยายามพาผมกลับไปและผมไม่สามารถต่อต้านหรือขัดขืนอะไรได้เลย ดังนั้นผมจึงกลับมานั่งอยู่ในห้อง 371 ต่อในคืนที่สาม
ผมเริ่มงานในคืนที่สามอย่างมั่นอกมั่นใจ ผมผ่านเรื่องราวเหนือธรรมชาติมามากมายจนกระทั่งตอนนี้และผมพร้อมแล้วที่จะเผชิญหน้ากับอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงานของผม ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงทุกอย่างก็ยังปกติดี ไม่มีแมว ไม่มีภาพบนจอคอมพิวเตอร์ ไม่มีคนโทรมา ถังขยะก็ไม่ย้ายที่ไปไหน และความเบื่อหน่ายของผมก็หายไปเมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
ก๊อก .... ก๊อก ....
ไม่มีเสียงคนพูด ผมจึงตะโกนถามกลับไปจากห้องสังเกตการณ์
“นั่นใครครับ ?” ผมถาม
คนคนนั้นเงียบอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูด
“ฉันเอง อัล”
ผมหยิบกระดาษขึ้นมาแล้วอ่านกฎข้อที่เจ็ดซ้ำอีกครั้ง
“คุณรู้รหัสลับไหม ?”
ผมได้ยินเขาหัวเราะออกมาเบาๆ
“ฉันว่าฉันไม่ได้เขียนรหัสลับบ้าบออะไรลงไปนะ”
เขาพูดถูก ไม่มีรหัสลับอะไรเขียนไว้ในกระดาษแผ่นนี้ นี่ต้องเป็นเจ้านายของผมอย่างแน่นอน
ผมค่อยๆ เดินไปที่ประตูแล้วเปิดมันออกมา คุณอัลยืนอยู่หลังประตูบานนั้นและยิ้มให้กับผมทันทีที่เห็นหน้า ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ให้ฉันเดานะ คุณคงกลัวว่าจะเปิดประตูออกมาแล้วไม่ใช่ฉันล่ะสิ ?”
เขาหัวเราะให้กับท่าทางของผมที่ดูหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“คุณไม่รู้หรอกว่าผมกลัวขนาดไหน”
คุณอัลปิดประตูและเดินไปเซตอะไรบางอย่างที่คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง
“แล้ว ทำไมคุณถึงไม่เขียนรหัสลับเอาไว้ล่ะ ?” ผมถาม
เขายิ้มออกมาอีกครั้ง
“มันเป็นแผนน่ะ ฉันรู้ว่าจะต้องมีคนปลอมตัวเป็นฉันแล้วมาเคาะประตูและพูดรหัสลับสักคำออกมา ซึ่งมันบอกได้เลยว่านั่นต้องเป็นฉันตัวปลอมอย่างแน่นอน แบบนั้นมันง่ายดีใช่ไหมล่ะ ?”
“นั่นสินะ ... แผนของคุณฟังดูดีเลย”
อัลหันกลับไปทำอะไรบางอย่างที่คอมพิวเตอร์ต่อ ผมไม่อยากจะรบกวนเขาเท่าไหร่นะแต่ผมก็อยากรู้จริงๆ
“ที่นี่มันมีอะไรเหรอ ? ทำไมถึงมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นหลายอย่างขนาดนี้ล่ะ ?”
“อย่าทำตัวอยากรู้อยากเห็นให้มากนักเลย ฉันจำได้ว่าฉันจ้างคุณมานั่งเฝ้าห้องเฉยๆ นะ”
ผมไม่ชอบคำตอบของเขาเอาซะเลยแต่ผมคิดว่าผมอาจจะไปวอแวกับเขามากเกินไปจนเขารำคาญ ผมจึงเดินเข้ามาในห้องสังเกตการณ์และปล่อยให้เขานั่งทำงานเงียบๆ สักพักหนึ่งผมหันกลับไปมองที่เขาผ่านกระจกสะท้อนทางเดียวและนั่นทำให้ผมสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง นั่นมันคอมพิวเตอร์ของแฮงค์นี่นา
ผมอ่านกระดาษใบนั้นซ้ำอีกครั้งเพื่อเช็กกฎทุกข้อ นั่นเป็นคอมของแฮงค์แน่ๆ และกฎก็เขียนไว่ว่าห้ามใครก็ตามไปยุ่งกับมัน แต่นั่นรวมถึงคุณอัลเองด้วยไหมนะ ?
ผมพลิกกระดาษไปอีกด้านเผื่อว่าจะเจอข้อมูลเพิ่มเติม แต่นั่นกลับทำให้ผมขนหัวลุกขึ้นมา มันมีข้อความหนึ่งที่ตัวอักษรทำตัวหนาเอาไว้เขียนว่า:
รหัสลับ : “ร้านอาหาร”
เชี่ยละ
ผมหยิบมือถือพร้อมกับหยิบเศษกระดาษที่เขียนเบอร์ของคุณอัลไว้และโทรไปหาเขาด้วยความรวดเร็ว เสียงรอสายดังขึ้นสองสามครั้งก่อนที่เขาจะรับ
“ฮัลโหล ? มีอะไรรึเปล่า ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม ?”
“คุณอัล! ขอบคุณพระเจ้า ผมทำพลาด ผมคิดว่ามันคือคุณ ผมให้มันเข้ามาข้างในและตอนนี้มันกำลังนั่งอยู่ที่คอมของแฮงค์ด้วย”
คุณอัลถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาด้วยความผิดหวัง ตอนนั้นอัลตัวปลอมหันหน้ามาทางผมและยืนขึ้น
“ฟังฉันนะ อย่าทำตัวให้มันสงสัย คุณจะปลอดภัยถ้ามันไม่สงสัยอะไร ถ้ามันรู้ว่าคุณพยายามจะหนีหรือโทรให้ใครมาช่วยละก็ชะตาคุณขาดแน่ เข้าใจใช่ไหม ?”
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว”
อัลตัวปลอมเริ่มเดินตรงเข้ามาที่ห้องสังเกตการณ์ หัวใจของผมเต้นแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
“ผมจะไปถึงที่นั่นในไม่ช้า ไม่ต้องห่วง”
เขาวางสายของผมไปแต่ผมยังทำเป็นหนีบมือถือไว้กับไหล่อยู่ ตอนที่อัลตัวปลอมเดินมาถึงผมจึงแกล้งทำเป็นคุยกับภรรยาของตัวเอง
“บอกแล้วไงที่รักว่าผมเลิกงานหกโมงเช้า คุณไม่ต้องรอผมก็ได้ พักผ่อนบ้างนะ ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก”
ตอนนี้อัลตัวปลอมยืนอยู่ในห้องและกำลังจ้องมาที่ผม ผมจับมือถือมาวางไว้ตรงอกแล้วมองกลับไป
“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ ?” ผมถาม
เขาจ้องแบบนั้นอยู่อีกสองสามวิก่อนจะพูด
“คุณมาช่วยผมเช็กอะไรในคอมพิวเตอร์หน่อยได้ไหม ?"
หวังว่าเขาจะไม่เห็นหน้าอกของผมที่กำลังสั่นตุบๆ อยู่นะ
“ได้สิ แต่ผมขอคุยโทรศัพท์ให้เสร็จก่อนนะ แล้วเดี๋ยวผมตามไป”
มันจ้องผมอยู่อีกสักพักก่อนที่จะเดินกลับไปนั่งหน้าคอมของแฮงค์เหมือนเดิม ในขณะที่ในหัวของผมมีแต่ความกลัวผมก็ทำทีเป็นคุยโทรศัพท์ต่อ ผมถึงกับแกล้งทำเป็นทะเลาะกับภรรยาของตัวเองเพื่อที่ผมจะได้ทำเป็นคุยได้นานขึ้น และในขณะที่ปากของผมกำลังพูดอะไรไปเรื่อย ผมก็เห็นลูกบิดประตูค่อยๆ หมุนและประตูเปิดกว้างออก
คุณอัลนั่นเอง! ผมไม่เคยรู้สึกโล่งใจเท่านี้มาก่อนในชีวิตเลย
เขาหันมาทางกระจกแล้วยกนิ้วชี้ขึ้นมาที่ปากเป็นสัญญาณบอกผมว่าอย่าส่งเสียง อัลตัวปลอมยังไม่รับรู้ถึงการมาของเขา เขาย่องเข้าไปด้านหลังแล้วใช้มือทั้งสองข้างบีบคอของมัน มันดิ้นทุรนทุรายอยู่สักครู่หนึ่งก่อนที่จะนอนแน่นิ่งไป ร่างไร้วิญญาณของมันล้มลงกับพื้นและสลายหายไปในพรมสีแดง
ผมวิ่งไปหาคุณอัลเพื่อขอบคุณเขาแล้วก็ขอโทษที่สร้างเรื่องปวดหัวขึ้นมา
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษฉันหรอก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันเข้ามาได้และฉันคิดว่ามันก็คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่มันจะพยายามเข้ามาด้วยเช่นกัน คุณปลอดภัยก็ดีแล้วล่ะ”
เขายิ้มออกมา
“เออ ... พูดถึง ... คุณช่วยไปปิดประตูหน่อยได้ไหม ? ฉันไม่อยากให้ตัวปลอมของฉันอีกคนเข้ามาได้อีก”
“ได้เลยครับ”
ผมเดินไปที่ประตูแล้วนึกอะไรบางอย่างได้ ตอนที่อัลตัวปลอมเข้ามาผมก็ลืมล็อกมันและปล่อยมันไว้แบบนั้นนี่นา นี่คงทำให้คุณอัลเข้ามาได้
อยู่ดีๆ ผมก็นึกถึงกฎข้อสุดท้าย ผมค่อยๆ หยิบมือถือขึ้นมาจากกระเป๋าแล้วเปิดไปดูประวัติการโทร สายสุดท้ายที่โทรออกของผมคือตอน 22.18 น. .... 13 นาทีหลังจากเดดไลน์ที่คุณอัลให้ไว้ ผมหันกลับไปมองที่คุณอัลอีกรอบและเห็นเขายืนอยู่ข้างหลังผม
“อัล ... คุณรู้รหัสลับไหม ?”
เขาแสยะยิ้มขึ้นมา
“ฉันว่าฉันไม่ได้เขียนรหัสลับบ้าบออะไรลงไปนะ”
ผมวิ่งออกจากห้องไปอย่างไม่คิดชีวิต ถึงผมจะยังสงสัยอะไรเกี่ยวกับเรื่องราวแปลกๆ ในห้องนั้นก็เถอะ แต่ผมจะไม่มีทางกลับไปอีกเด็ดขาด
***********