16 เม.ย. 2021 เวลา 23:00 • ข่าว
อังกฤษตั้งเป้าปลอดบุหรี่อีกไม่ถึง 10 ปี
เห็นข่าวจากมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ของไทยกล่าวว่า อังกฤษได้ตั้งเป้าเป็นประเทศปลอดบุหรี่ในพ.ศ.2573 ถ้านับจากวันนี้ก็ไม่ถึง 10 ปีแล้ว โดยอังกฤษมีมาตรการที่หลากหลายในการเดินหน้าไปสู่เป้าหมายนี้
มาตรการทางภาษี
อังกฤษเก็บภาษีบุหรี่ทุกประเภทในอัตราที่ใกล้เคียงกันเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้สูบเปลี่ยนไปสูบบุหรี่ที่ถูกกว่า แต่ไทยตั้งภาษีไว้ 2 ระดับ โดยกลุ่มราคาถูกกว่า 60 บาทจะเก็บภาษี 20% และกลุ่มที่แพงกว่า 60 บาทจะเก็บภาษี 40% ผู้ผลิตหลายรายจึงกดราคาให้ต่ำกว่า 60 บาทเพื่อให้เสียภาษีบุหรี่น้อยลง สุดท้ายก็ยังคงมีบุหรี่ที่ราคาจับต้องได้หาซื้อง่ายตามร้านค้าชั้นนำทั่วไป
ยังไม่รวมช่องว่างทางภาษีระหว่างยาเส้นกับบุหรี่ในไทยที่มากถึง 17 เท่า หมายความว่าถ้าถึงจุดหนึ่งที่ภาษีบุหรี่ปรับขึ้นไปเรื่อย ๆ ผู้บริโภคก็จะหันมาสูบยาเส้นในที่สุดเพราะราคาถูกกว่าหลายช่วงตัว
รายงานเปรียบเทียบระดับความสำเร็จของนโยบายภาษียาสูบทุกประเทศทั่วโลก เมื่อเดือนธันวาคม 2563 ของกลุ่มนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ชิคาโก พบว่าอังกฤษเป็น 1 ใน 4 ประเทศที่มีนโยบายภาษียาสูบที่ดีที่สุดในโลกได้คะแนนประเมินสูงถึง 4.38 จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน ส่วนไทยถือว่าสอบตก ได้เพียง 1.75 คะแนน โดยได้คะแนนต่ำกว่าอังกฤษในทุกตัวชี้วัดด้านภาษี
มาตรการจัดการบุหรี่ผิดกฎหมาย
ทันทีที่มีข่าวว่าจะปรับภาษีบุหรี่ หลายฝ่ายในไทยก็ออกมาสะท้อนทันทีว่าเรื่องนี้ผู้บริโภคแก้ไขไม่ยากครับ ถ้าบุหรี่ถูกกฎหมายมันแพงก็ไปสูบบุหรี่หนีภาษีซิ รสชาติดีแถมราคาถูกกว่าด้วย หาซื้อก็ไม่ยากเท่าไหร่ ผมเองก็เจอวางแผงขายในหลายสถานที่ ขายมันบนทางเท้าข้างถนนนั่นแหละตำรวจผ่านไปผ่านมามองไม่เห็นได้อย่างไรมิทราบ! ขายกันโจ๋งครึ่มแต่ไม่โดนจับ จะให้ประชาชนเข้าใจว่าอย่างไร?
ขณะที่อังกฤษลงนามในพิธีสารตามอนุสัญญาควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก เรื่องการกำจัดผลิตภัณฑ์ยาสูบผิดกฎหมาย ตั้งแต่พ.ศ.2556 ส่วนไทยยังไม่ได้ลงนามครับ
บริการเลิกบุหรี่
องค์การอนามัยโลกได้ยกให้อังกฤษเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในการจัดบริการเลิกบุหรี่ ใครอยากเลิกสามารถหาซื้อยาช่วยเลิกได้ตามร้านสะดวกซื้อและสามารถเบิกค่ายาได้ภายหลังโดยทำมาตั้งแต่พ.ศ.2544 และใช่แต่เพียงเท่านี้บรรดาสถานบริการสุขภาพทุกระดับในอังกฤษยังมีการจัดบริการเลิกบุหรี่เต็มรูปแบบแถมยังเบิกค่าบริการได้เต็มจำนวนเรียกว่าเลิกบุหรี่ได้โดยไม่ต้องใช้เงินสักแดงแต่ต้องใช้แรงใจที่มุ่งมั่นฝ่าฟันความอยากให้ได้แค่นั้น
ส่วนไทยยังไม่มีอะไรที่ว่านี้ พอจะมีบริการเลิกบุหรี่อยู่บ้านในบางสถานพยาบาลแต่ก็ไม่เต็มรูปแบบแถมยังต้องเสียเงินเองอีกต่างหาก
การจัดสรรงบประมาณ
อังกฤษจัดสรรงบประมาณควบคุมยาสูบไว้ปีละ 12,000 ล้านบาท ส่วนไทยเรามีงบจากสำนักงานสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพียงปีละไม่ถึง 400 ล้านบาท ห่างกัน 300 เท่า! เมื่องบน้อยการจะเดินหน้าตามแผนต่าง ๆ ก็คงไม่ค่อยคล่องตัวนัก
การบังคับใช้กฎหมาย
รายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO Report on the Global Tobacco Epidemic, 2019) ระบุว่า การปฏิบัติตามกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะนั้นประเทศอังกฤษได้ 10 คะแนนเต็ม แต่ประเทศไทยทำได้เพียง 5 คะแนน ทั้งที่ประเทศไทยมีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกมากว่า 10 ปีแล้ว
สุขภาพก็ต้องดีภาษีก็อยากได้
รายได้จากภาษียาสูบที่ส่งเข้ารัฐในแต่ละปีก็มีไม่น้อย
ปี 58 รัฐได้ภาษียาสูบมากถึง 59,354.17 ล้านบาท
ปี 59 ได้ 60,719.86 ล้านบาท
ปี 60 ได้ 62,576.72 ล้านบาท
ปี 61 ได้ 49,792.00 ล้านบาท
ปี 62 ได้ 48,478.78 ล้านบาท
แต่มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการผู้ป่วยจากยาสูบทั้งมือ 1 2 3 แต่ละปีนั้นมากกว่าหลายเท่า ข้อมูลในปี 62 ระบุว่า
ความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากค่ารักษาพยาบาล ปีละ 77,626 ล้านบาท
ความสูญเสียจากการที่ต้องขาดรายได้เนื่องจากเจ็บป่วยปีละ 11,762 ล้านบาท
ความสูญเสีย อันเกิดจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรปีละ 131,073 ล้านบาท
คิดเป็นความสูญเสียรวมทั้งหมดปีละ 220,461 ล้านบาท
ฝ่ายสาธารณสุขก็รณรงค์ลด-ละ-เลิกกันไป ฝ่ายสรรพสามิตรก็หาทางจัดเก็บภาษีกันไป ไม่รู้จะคุยกันรู้เรื่องไหม
นอกจากนี้ยังมีประเด็นฟากฝั่งผู้ผลิตตลอดจนเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบอีกด้วย ถ้าวันนึงประเทศไทยปลอดบุหรี่ ก็คงมีคำถามว่าคนที่ต้องว่างงานจากสายการผลิตจะได้รับการเยียวยาอย่างไรและเกษตรเหล่านี้จะเปลี่ยนไปทำอาชีพใด? แล้วรัฐจะมีมาตรการรองรับทยอยปรับเปลี่ยนอาชีพให้พวกเขาหรือไม่?
ท้ายที่สุดแล้วอังกฤษจะทำตามแผนได้ไหม? แล้วประเทศไทยจะมีวันปลอดบุหรี่หรือเปล่า? คงเป็นเรื่องที่เราต้องเฝ้าดูกันต่อไปครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา