ต่างประเทศเขาสื่อสารอย่างไรให้ประชาชนกล้าที่จะฉีดวัคซีน
.
.
บทความจาก Time Magazine ฉบับที่ 12-19 ได้เขียนถึงเหตุผลของการฉีดวัคซีน Covid-19 ไว้ 3 เรื่องด้วยกัน คือ 1. ความอับอายในการเปิดเผยข้อมูล 2. การตีตราคนที่ไม่ยอมฉีดวัคซีน และ 3. เหตุผลของคนที่ฉีดวัคซีนกับไม่ฉีดวัคซีนเกิดมาจากอะไร
.
ซึ่งข้อมูลที่ได้มาจากการศึกษาและการทำวิจัยในประเทศที่มีการแจกจ่ายวัคซีนให้กับประชาชนเกือบจะครอบคลุมแล้ว เพื่อสำรวจว่าคนส่วนใหญ่มีทัศนคติต่อการฉีดวัคซีนอย่างไร และควรสื่อสารเรื่องวัคซีนอย่างไรให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
.
เมื่อเราทำให้กิจกรรมใดเป็นเรื่องน่าอาย กิจกรรมนั้นจะยิ่งถูกปกปิดมากขึ้น
.
มีงานวิจัยที่ทำการทดสอบคนจำนวน 1,009 คน ใน 3 ประเทศด้วยกัน คือ ประเทศสหรัฐ เป็นตัวแทนของคนที่มีนิสัยแบบปัจเจก ประเทศที่ 2 คือ เกาหลีใต้ เป็นตัวแทนของคนที่มีนิสัยชอบเข้าสังคมอยู่กับเพื่อนฝูง และประเทศที่ 3 คือ ประเทศอิตาลี เป็นประเทศที่อยู่ตรงกลางระหว่างคนที่มีความเป็นปัจเจกและคนที่ชอบเข้าสังคม
.
โดยผ่านข้อสันนิษฐาน 2 ข้อ คือ ถ้าสมมติว่าคุณติดโควิด-19 คุณจะบอกเพื่อนหรือคนใกล้ชิดไหม?
และจะให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่รัฐไหม? ซึ่งได้ผลการทดสอบเหมือนกันทั้ง 3 ประเทศเลยคือ ถ้าทำให้การเปิดเผยข้อมูล เป็นเรื่องที่น่าอับอายหรือเหมือนถูกประณาม จะยิ่งทำให้คนปกปิดข้อมูลมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ามันจะส่งผลเสียต่อคนส่วนใหญ่จำนวนมาก
.
ดังนั้น ควรทำให้เรื่องนี้อยู่ในความพอดีและเหมาะสมไม่ควรทำให้สถานการณ์นั้นเป็นเรื่องที่สร้างผลลบทางความรู้สึกให้กับประชาชนจนเกินไป
.
คนที่ไม่ฉีดวัคซีน = เห็นแก่ตัว?
.
เนื่องจากโควิด-19 ถือเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาในประวัติศาสตร์ เราจึงจำเป็นต้องคิดค้นและพัฒนาวัคซีนขึ้นมาใหม่ ทำให้หลายคนอาจจะยังไม่มั่นใจในประสิทธิภาพของวัคซีนเท่าที่ควรนัก
.
ในประเทศอังกฤษมีโฆษณาตัวหนึ่งที่ต้องการสื่อสารว่า “คนที่ไม่ยอมฉีดวัคซีนเป็นพวกคนเห็นแก่ตัว” ซึ่งโฆษณาตัวนั้นกลับไม่ได้ส่งผลให้คนเปลี่ยนใจไปฉีดวัคซีนมากขึ้นเลย แสดงว่าการตีตราคนที่ไม่ฉีดวัคซีนนั้นไม่ได้ผลแต่อย่างใด
.
#แรงจูงใจที่ทำให้คนฉีดวัคซีนมีอะไรบ้าง
.
มีการทำวิจัยถึงเหตุผลที่ทำให้คนอยากฉีดวัคซีน โดยสรุปออกมาเป็น 7 ข้อด้วยกัน
.
1. ได้ยินข่าวถึงประสิทธิภาพของวัคซีนว่าเป็นอย่างไร ได้ผลในทางที่ดีไหม ซึ่งสิ่งนี้ถือว่าได้ผลมากที่สุดถึง 63% ที่ทำให้คนหันมาสนใจการฉีดวัคซีนมากขึ้น
2. 60% บอกเหตุผลของการฉีดวัคซีนว่า ต้องการที่จะเจอคนรักหรือคนใกล้ชิด
3. เพื่อนหรือครอบครัวชักชวนให้ฉีดวัคซีน 59%
4. อยากเดินทาง 52%
5. เห็นบุคคลดังหรือผู้นำบริหารประเทศฉีดจึงสนใจที่จะฉีด 44%
6. อยากกลับไปใช้ชีวิตปกติอย่างเช่น เรียน หรือออกไปทำงาน 43%
7. ได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่รัฐ 32%
.
.
#สื่อสารอย่างไรถึงจะได้ผลมากที่สุด
.
มีการทดลองทำการศึกษาเพื่อดูว่าการสื่อสารรูปแบบไหนที่จะทำให้คนสนใจมาฉีดวัคซีนโควิด-19 มากขึ้น โดยเริ่มจากการถามผู้ทดลองทุกคนก่อนว่ามีความสนใจที่จะฉีดวัคซีนโควิด-19 กี่เปอร์เซ็นต์ และหลังจากนั้นก็แบ่งผู้ทดลองออกเป็น 3 กลุ่ม และให้แต่ละกลุ่มอ่านบทความที่เนื้อหาแตกต่างกัน 3 ด้านคือ
.
กลุ่มที่ 1 อ่านงานวิจัยที่เกี่ยวกับคนเป็นออทิสติกกับเรื่องวัคซีนว่ามันไม่มีความเกี่ยวข้องกัน
กลุ่มที่ 2 อ่านประสบการณ์ชีวิตของแม่คนหนึ่งที่มีลูกเป็นหัด
กลุ่มที่ 3 การควบคุมที่ไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีนเลย