18 เม.ย. 2021 เวลา 02:21 • หุ้น & เศรษฐกิจ
เห็นกระแส Bitcoin คริปโตแรงมาก มีแต่คนถามและให้สอนเทรด บางคนก็ยังไม่รู้อะไรแต่เห็นมันขึ้นหลายคนรวยๆไปฟัง Content ซื้อรถลัมโบแล้วอยากทำบ้าง....อ่านอันนี้ก่อนแล้วท่านอาจจะเปลี่ยนความคิด ผมเขียนบทความในเพจผมมา 2 ปีละครับ
3
ใครตามเพจผมมานานจะเข้าาใจว่าท่านอาจจะหมดตัวได้เลย หรือรวยเท่ๆ ผมเอาตัวอย่างคนหมดตัวบ้านแตกสาแหรกขาด คิดจะฆ่าตัวตายมาให้ดูในเพจหลายครั้งละครับ เชื่อไม่เชื่อแล้วแต่ท่านนะครับ
Bitcoin จะเป็นสินทรัพย์เหมือนทองในโลกอนาคตหรือไม่ บทวิเคราะห์จากคนที่เคยไม่ชอบ Bitcoin
ขอออกตัวไว้ก่อนนะครับ นี่คือข้อคิดเห็นส่วนตัวประกอบกับการศึกษาหาอ่านหนังสือ เพจ website ฟัง youtube ดูข้อมูลตัวเองต่างๆ ในฐานะที่เป็นลูกร้านทองคุ้นเคยกับทองพอสมควรและไม่ชอบ Bitcoin มาก่อน แต่ปีที่ผ่านได้ศึกษาลึกขึ้นและลองเทรด Bitcoin มุมที่ผมมอง bitcoin ที่อคติเริ่มสลายไป ซึ่งผมอาจจะผิดก็ได้นะครับ ถ้าอ่านแล้วอย่าเชื่อครับ ควรศึกษาต่อเอง ทดลองเทรดเอง วิเคราะห์เองนะครับ ยินดีเปิดรับฟังทุกคำแนะนำและข้อคิดเห็น โต้แย้งอย่างสุภาพนะครับ
2
อ่านบทความพร้อมรูปประกอบใน link https://bit.ly/2H38gf7
1
มาเริ่มต้นกันว่าทำไมผมมอง Bitcoin เป็นสินทรัพย์คล้ายทอง โดยเริ่มจากประวัติของทองคำ
ประวัติของทองคำ
ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ทุกๆ อารยธรรมทั่วโลกต่างยอมรับว่า ทองคำถือเป็นโลหะที่มีค่าในตัวมันเอง ถึงขนาดที่ในช่วงคริสตศตวรรษที่ 14–16 ชาวตะวันตกมองว่าทองคำเป็นเพียงวัตถุเดียวที่ใช้ในการสะสมความมั่งคั่ง กลุ่มนักคิดพาณิชยนิยม (Mercantilism) จึงสนับสนุนการจัดตั้งกองกำลังขึ้นมาเพื่อออกล่าอาณานิคม เพียงเพื่อจะแสวงหาแหล่งวัตถุดิบ และแหล่งระบายสินค้าที่ตนเองผลิตได้มาขึ้นหลักจากการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ (ศตวรรษที่ 16–17) และการปฏิวัติอุตสาหกรรม (ศตวรรษที่ 18)เพราะเมื่อได้วัตถุดิบที่ยังคับซื้อมาในราคาถูกจากอาณานิคม และยังบังคับขายสินค้าที่ผลิตได้ให้กับอาณานิคมในราคาแพง การเกินดุลการค้า (กำไรมหาศาล) จึงเกิดขึ้นและเป็นที่มาของทองคำที่ไหลเข้ามาในประเทศเจ้าอาณานิคมเพื่อชำระค่าสินค้า อีกทั้งยังอาจค้นพบเหมืองหรือแหล่งแร่ทองคำในประเทศอาณาณิคมซึ่งก็ยิ่งทำให้สามารถขนทองคำกลับมายังประเทศเจ้าอาณานิคมได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย ทองคำที่เพิ่มมากขึ้นก็สามารถนำมาใช้จ้างทหารรับจ้างเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับอาณาจักรของตนเองได้มากยิ่งขึ้น
1
ดังนั้นตั้งแต่ยุคกลางของประวัติศาสตร์ยุโรป ทองคำจึงเป็นสิ่งมีค่าที่ใช้ในการสะสมความมั่งคั่ง (Wealth) และความมั่นคงของชาติ โดยระบบความเชื่อนี้ก็ยังคงฝังรากลึกในตัวมนุษย์มาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าที่มาของตำราเศรษฐศาสตร์เล่มแรกของโลกที่ชื่อ The Wealth of Nations ที่แต่งโดยบิดาของวิชาเศรษฐศาสตร์ Adam Smith จะพยายามอย่างยิ่งที่จะพิสูจน์ว่า ความมั่งคั่งของชาติไม่ได้อยู่ที่ปริมาณทองคำที่ประเทศนั้นๆ สะสมไว้ หากแต่อยู่ที่ปริมาณสินค้าและบริการที่ประชาชนในประเทศนั้นๆ สามารถนำมาบริโภคเพื่อสร้างความพึงพอใจและสวัสดิการสังคมต่างหาก แต่อย่างไรก็ตาม แม้ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่ก็ยังยกให้ทองคำเป็นสุดยอดแห่งเครื่องสะสมความมั่งคั่งอยู่นั่นเอง
ทองคำเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Goods) ที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันในแทบจะทุกตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Market) ทองคำเป็นสินค้าโภคภัณฑ์เนื่องจากมีลักษณะ มีคุณสมบัติที่เหมือนกันเกือบทุกประการไม่ว่าจะผลิตจากแหล่งใดในโลก โดยมีการกำหนดมาตรฐานทั้งในแง่ของน้ำหนักที่ทำการซื้อขาย รวมทั้งมีการกำหนดระดับความบริสุทธิ์ที่ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันอีกด้วย ทองคำเป็นโลหะที่มีค่าในตัวมันเอง สามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม และบริการหลายๆ ประเภท รวมทั้งยังถูกใช้เป็นสินทรัพย์ที่เป็นทางเลือกที่ดีประเภทหนึ่งในการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงที่ดีอีกด้วย โดยเฉพาะในประเทศที่ยังไม่ได้มีการพัฒนาระบบตลาดเงินและตลาดทุน รวมทั้งยังไม่มีความหลากหลายในตราสารทางการเงินให้เลือกลงทุนมากประเภทนัก ทองคำก็จะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการลงทุนที่ดีประเภทหนึ่ง ในช่วงที่ค่าเงินสกุลหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐเกิดการอ่อนค่า หลายๆ ประเทศเช่น ประเทศผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางก็ลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange Rate Risk) โดยการขอรับชำระค่าน้ำมันที่ขายออกไปโดยทองคำ
1
ประเทศจีนและประเทศญี่ปุ่นเมื่อต้องการลดความเสี่ยงในการสำรองเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของตนในช่วงที่ผ่านมา ที่เคยถือเงินดอลลาร์สหรัฐในสัดส่วนที่สูงก็เลือกที่จะแปรสภาพเงินดอลลาร์ที่ตนถือเป็นเงินสกุลหลักอื่นๆ เช่น ยูโร และถือทองคำเป็นทุนสำรองก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วโดยเฉพาะในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 2001–2005 นอกจากนี้ประเทศไทยและเกือบทุกประเทศในโลกก็ยังมีการสำรองสะสมทองไว้ในลักษณะของสินทรัพย์สำรองที่แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งและแสดงถึงฐานะของชาติอีกด้วย
จากประวัติของทองคำที่ผ่านมา ทองคำเป็นแค่แร่โลหะตัวหนึ่งที่มนุษย์เรายึดถือขึ้นมาเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสิ่งของมาเป็นพันๆปี โดยใช้ความเชื่อถือที่มีมานานเป็นเครดิตของทองคำว่ายังไงก็ตามสามารถใช้แลกเปลี่ยนหรือชำระหนี้ได้
ถ้าวันใดวันหนึ่งโลกของเราเลิกยึดถือและใช้ความเชื่อในทองคำ ทองคำก็กลายเป็นโลหะไม่มีค่า แต่ตรงนี้เป็นไปได้ยากเนื่องจากเราทุกคนเป็นมนุษย์มีความเชื่อไม่เหมือนกันและความเชื่อของทองคำส่งผ่านรุ่นต่อรุ่นมาเป็นพันๆปี และการค้าทำธุรกิจสมัยใหม่ต้องมีตัวกลางในการแลกเปลี่ยนที่อ้างอิงได้ เป็นตัวเก็บมูลค่า (Stor of value) นอกเหนือจากเงินกระดาษ (Fiat Money)
ทองคำมีอยู่จำกัดในโลกใบนี้ แต่สามารถขุดหาได้เรื่อยๆ โดยใช้แรงงานและเทคโนโลยี ทรัพยากรของมนุษย์แลกมา ตามหลักของเศรษฐศาสตร์ คือถ้า Demand มากกว่า Supply ราคาของตัวนั้นก็จะขึ้น แต่เงินกระดาษสามารถพิมขึ้นมาเท่าไรก็ได้แล้วแต่เครดิตความเชื่อมั่นของรัฐบาลของแต่ละประเทศ ยกตัวอย่างอเมริกาตอนนี้ พิมเงินกระดาษออกมาเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของตัวเอง ทำให้ Supply มากกว่า Demand เกิดเงินเฟ้อหรือด้อยค่าเมื่อเทียบกับทองในอดีต
แล้วทำไมต้องเป็นทองคำทำไมไม่เป็นโลหะชนิดอื่นๆที่หายากกว่าทองคำเช่นแพลตตินั่ม
คำตอบก็หนีไม่พ้นความเชื่อของมนุษย์และความคิดของแต่ละคนไม่เหมืนกันที่สะสมมานานหลายพันปีนั่นเอง ถ้าอดีตที่ผ่านมามนุษย์เราเชื่อถือในแพลตนินั่มหรือโลหะอื่นแทนทองคำ ตอนนี้ทองคำก็ไม่สำคัญ
ความเชื่อของมนุษย์เปลี่ยนแปลงยากที่สุด ลองสังเกตตัวเราเองเมื่อเราเลือกที่จะเชื่ออะไรแล้ว เราจะเชื่อสิ่งนั้นไปนานแสนนานอาจตราบเท่าที่เราจะไม่มีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้
หันมามองที่ Bitcoin เป็นตัวกลางชนิดใหม่ที่เกิดขึ้นมา เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เกิดมาในช่วงเทรนของเทคโนโลยี blockchain กำลังมา ช่วงแรกๆ Bitcoin ยังไม่เป็นที่รู้จักมาก และระบบซับซ้อนทำให้หลายๆคนรวมทั้งผมเกิดข้อกังขา่ามันจะหลอกลวงหรือเปล่า
แต่พอศึกษาไปเรื่อยๆ ทำให้ผมเกิดการมองภาพทับซ้อนระหว่าง Bitcoin และทองคำ ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายๆกันแต่ไม่เหมือนกันทั้งหมด คือ
1.ทองคำเป็นโลหะที่หายากและการขุดทองขึ้นมาต้องใช้ทรัพยากรมากมาย ตรงนี้ Bitcoin ก็เช่นกัน Bitcoin มีจำนวนจำกัด 21 ล้าน bitcoin ไม่ใช่โลหะที่จับต้องได้ เป็นแค่ชุดตัวเลขสมการและ Algorithm โดยต้องมีทรัพยากรในการขุด bitcoin ซึ่งการขุดในแต่ละปีความยากในการขุดก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ สิ้นเปลืองทรัพยการในการขุดมากขึ้น
2.ทองคำเป็นที่ยอมรับและถูกกฎหมายของเกือบทุกประเทศ แต่ Bitcoin เพิ่งกำเนิดมาและในปี 2016–2019 bitcoin เริ่มถูกกฎหมายของหลายประเทศเช่น อเมริกา แคนาดา และประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป แต่ก็มีหลายประเทศก็ยังไม่ถูกกฎหมา เช่นรัสเซีย จีน ตามรูปข้างล่างเป็นต้น
3. ทองคำสามารถซื้อและขายในเกือบทุกประเทศ แต่ Bitcoin จะไม่สามารถซื้อหรือขายเปลี่ยนเป็นเงินได้ในทุกประเทศ แต่ในตอนนี้มีหลายๆประเทศก็เริ่มี Bitcoin ATM ที่สามารถถอน Bitcoin ออกมาใช้และซื้อสินค้าต่างๆได้ บริษัทดังๆเช่น Microsoft Starbucks และ Paypal ก็ให้ลูกค้่ชำระค่าบริการเป็น Bitcoin ดังรูปด้านล่าง
1
4.ความน่าเชื่อถือของทองคำ คิอความเชื่อและศรัทธาที่สะสมมาหลายพันปี แต่ความเชื่อของ Bitcoin คือระบบ Blockchain มีมาไม่กี่ปีซึ่งเท่าที่ศึกษามาระบบ Blockchain คือระบบแห่งความหวังในอนาคตของหลายๆคน หลายๆคนเชื่อมั่นในระบบนี้ที่จะรับรองความน่าเชื่อถือและตรวจสอบโปร่งใสทั้งระบบการเงินของโลกได้มากกว่าระบบเดิมที่เป็นอยู่ที่มีแต่ระบบธนาคารเป็นตัวกลางในการทำธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งธนาคารจะได้เปรียบฝ่ายเดียว และเป็นสาเหตุของวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมาทุกครั้ง (ลองหาอ่านระบบ Blockchain เสริมได้นะครับ ผมไม่ขอลงรายละเอียด)
1
Bitcoin จะเป็นสินทรัพย์เหมือนทองได้ต้องใช้เวลาครับ อาจจะหลายสิบหรือร้อยปีจนกว่าคนรุ่นใหม่ที่เชื่อถือ Bitcoin จะมาแทนที่คนรุ่นเก่าทั้งหมด ช่วงนี้อาจจะเป็นช่วงเริ่มต้นเทรนของ Bitcoin
Bitcoin มีข้อดีที่เหนือกว่าทองคือไม่ต้องมีสถานที่เก็บรักษามาก ค่าใช้จ่ายในการเก้บรักษาก็น้อยกว่า ทองคำเป็นโลหะที่มีตัวตนจึงต้องหาสถานที่เก็บ ถ้ายิ่งมีทองเยอะก็ต้องมีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา
มีอีกส่วนที่น่าสนใจคือ ทองคำถ้าเราเสียชีวิตคนอื่นเราเก็บไว้ที่ไหนคนอื่นก็สามารถเอาออกมาขายได้ ทำให้ปริมาณในโลกไม่ลดลงมากเท่าไร (แถมยังมีเหมืองขุดในโลกทุกวัน) แต่ Bitcoin จำกัดคงที่แน่นอน ถ้าเราเสียชีวิตและไม่ได้ให้รหัสเรากับใคร bitcoin นั้นก็จะไม่สามารถใช้ได้ ทำให้ปริมาณของ bitcoin ลดลง จะทำให้มูลค่าเพิ่มได้ไวกว่าทองคำ
คำถามสุดท้ายที่ทุกคนรวมทั้งผมกำลังหาคำตอบ ว่า Bitcoin เชื่อถือได้ขนาดไหน มันจะเหมือนฟองสบู่ทิวลิปหรือไม่………คำตอบนี้ไม่มีใครตอบได้ครับ
1
ความเห็นส่วนตัวของผมคือ ถ้าทุนใหญ่หรือคนที่กุมเงินโลกหลายๆคนหันมาใช้ระบบ blockchain และ Bitcoin เป็นระบบการเงินหลักของโลก Bitcoin ก็จะกลายเป็นสินทรัพย์เหมือนทอง
1
แต่ถ้าไม่………..มันก็อาจจะเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยแบบฟองสบู่ทิวลิป
โลกการเงินของเราขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ครับ ถ้า Deal กันลงตัวตามทฤษฏีเกมส์อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ
แต่ผม Bias ไปทางที่ทุนใหญ่ๆจะเข้าร่วมกับ Bitcoin นะครับ ทุนใหญ่จะค่อยๆใช้เวลาเข้าร่วมแบบเงียบๆเพราะไม่น่าจะต้านกระแสสังคมเทคโนโลยี blockchain สมัยใหม่ได้ ขนาด bitcoin โดนโจมตีออกข่าว ราคายังสามารถพุ่งขึ้นหลังจากร่วงไปที่ 3000 US เมื่อต้นปี ผมคิดว่าต้องมีอะไรซักอย่างที่คนทั่วไปอย่างเราไม่รู้
เวลาเท่านั้นจะเป็นคำตอบได้ว่า Bitcoin คือของจริงหรือฟองสบู่ทิวลิป
สุดท้ายนี้ถ้าเราเป็นนักลงทุนหรือเทรดเดอร์ เป็นโอกาสที่ดีที่จะเข้าร่วมการเทรด Bitcoin ในตอนนี้ แต่เราต้องคิดถึงเงินต้นและความเสี่ยงของเราให้ดีดีนะครับ อย่า overtrade หรือ All in เผื่อทางถอยไว้บ้าง อย่างที่ Ray dalio บอกว่าเพราะผมรู้ว่าตลาดทำงานยังไงผมจึงหมดตัว
30 มกราคม ·
เมื่อวาน Ray Dalio ออกมาให้ความเห็นเรื่อง Bitcoin อย่างน่าสนใจมากครับ เลยมาเหลาให้ฟังแบบสรุปง่ายๆ โดยสรุปใจความได้ว่า
1. Ray เชื่อว่า Bitcoin เป็นนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่สามารรถเปลี่ยนระบบการเงินของโลกได้อย่างสิ้นเชิง หลังจากระบบการเงิน นโยบายการเงินตั้งแต่ปี 1350 จนถึงวันนี้ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำสูง คนรวยคุมกฎยิ่งใช้กฎให้ตัวเองให้ร่ำรวยขึ้น แต่ Bitcoin จะทำให้การระบบการเงินเปลี่ยนไป และ Bitcoin อาจจะกลายเป็นทรัพย์สินทางเลือกที่น่าสนใจเหมือนทองคำ
2. ในโลกนี้มีสินทรัพย์ทางเลือกที่ดีคล้ายทองคำไม่มาก ที่สามารถเก็บความมั่งคั่งของเราได้และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นสูงตามเวลา แถมมีระบบรักษาความรักษาปลอดภัยที่ดีเยี่ยม Ray Dalio ให้ข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า Bitcoin สามารถยืนระยะได้มานาน 10 ปีโดยที่ไม่โดนแฮกได้เลย ตรงนี้จุดสำคัญมันคือ ระบบเทคโนโลยีไซเบอร์ในโลกนี้โดนโจมตีจากแฮกเกอร์หมด ไม่ว่าจะมีระบบเจ๋งแค่ไหน แต่ Bitcoin ไม่โดน
3
3. Bitcoin อาจจะไม่ได้ปกป้องความเป็นส่วนตัวมากเท่าที่หลายคนคิด ถ้ารัฐบาลแต่ละประเทศหรือแฮกเกอร์มาทำระบบให้ติดตามธุรกรม Bitcoin ก็สามารถทำได้
4. Ray ได้ให้ทีมงานคำนวนความเสี่ยงของ Bitcoin ไว้เรียบร้อย โดยจำลองหลายๆสถานการณ์เช่นถ้าเงิน 10-30% ในกองทุนอื่นๆขายทองทิ้งไปเก็บ bitcoin มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
5. Ray ได้แบ่งเงินบางส่วนไปลงทุนใน Bitcoin แต่ Ray ก็เผื่อ bitcoin อาจจะหมดมูลค่าก็ได้ โดยคิดคำนวน Worst case ไว้แล้วว่าถ้าโอกาส bitcoin หมดมูลค่าเป็น 80% (หรือเรียกว่า Downside) Ray ก็ยอมเสียเงินก้อนนั้น
6. จะเห็นได้ว่าทีม Ray วิเคราะห์วางแผนเผื่อความเสี่ยงที่เสียเงินไว้ก่อนลงทุนเสมอ
7. น่าแปลกในที่ Ray แสดงบทความงานวิจัยในบทความทั้งหมด ถ้าคิดถึงเรื่องผลประโยชน์ไม่มีใครให้ใครฟรีๆ Ray อาจจะใจดีอยากให้คนรวยหรือ Ray อาจจะทำบางอย่างเผื่อกำไร อันนี้ผมไม่แน่ใจ ยังไงอ่านแล้วก็เผื่อความเสี่ยงไว้ด้วยนะครับ
สามารถอ่านฉบับเต็มได้ที่ https://www.bridgewater.com/.../ray-dalio-what-i-think-of...
สนับสนุนโดย #หมอนยางพาราแท้TOMMY ราคา 599 บาท นอนหลับสบายไม่ปวดคอ โดยทำการวิจัยจากวิศวกร 2 ท่าน สามารถดูรีวิวได้ที่ https://www.facebook.com/JaroenponFur/videos/269398087941030
โฆษณา