18 เม.ย. 2021 เวลา 13:56 • การศึกษา
บทความนี้เราจะมาอธิบายขั้นตอนการสมัครทุนไต้หวันให้ค่ะซึ่งทุนการศึกษาของไต้หวันจะมีหลากหลายแบบมากมีทุน MOE ICDF
ซึ่งพวกนี้จะเป็นทุนรัฐบาล
1
อัตตราการแข่งขันค่อนข้างสูงปีนึงรับแค่ไม่กี่คน ซึ่งทุนรัฐบาลจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด และมีเงินเดือนให้เดือนละ 15000+
นอกจากทุนรัฐบาล ที่ไต้หวันจะมีทุนของแต่ละมหาวิทยาลัยเอง ซึ่งแต่ละมหาวิทยาลัยก็จะมีเงื่อนไขแตกต่างกันออกไปว่าจะให้ทุนอะไรบ้าง บางทีให้แค่ค่าเทอม แต่ก็มีบางที่ที่ให้ค่าหอ เงินเดือนด้วย
ตึก Taipei 101 สัญลักษณ์ของไต้หวัน
เราจบคณะวิศวะกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งค่ะ จบมาด้วยเกรดเฉลี่ยแค่ 2 กลางๆ ภาษาอังกฤษไม่เก่ง ภาษาจีนไม่ได้ ซึ่งเราอยากเรียนต่อต่างประเทศมาก แต่ทุกที่จะกำหนดเกรดขั้นต่ำคือ 3.00+ ตอนแรกหมดหวังว่าจะได้ไปเรียนต่อต่างประเทศแล้ว แต่บังเอิญไปเจอกระทู้ที่เขาได้เกรดพอๆกับเรา โปรไฟล์ใกล้ๆกับเรา เขาได้ไปทุนเรียนต่อของมหาวิทยาลัยที่ประเทศไต้หวันเลยสนใจขึ้นมา
หลังจากหาข้อมูลอย่างหนัก ก็พบว่าที่ประเทศไต้หวันมีมหาวิทยาลัยเยอะมาก แหละหลายที่มักจะให้ทุนการศึกษากับนักศึกษาต่างชาติ บางที่ให้ค่าหอและเงินดือนด้วย 
เรียนเป็นภาษาอังกฤษ ใช้แค่คะแนน Toeic กับ Studyplan ส่วนมากจะไม่กำหนด GPA ขั้นต่ำอีกด้วย
ตอนนั้นมีความหวังขึ้นมาเลย เลยตั้งเป้าว่าจะมาเรียนที่ไต้หวันให้ได้
ซึ่งขั้นตอนหลักๆจะมีประมาณนี้ ซึ่งเดี๋ยวเราจะมาเจาะลึกแต่ละขั้นตอนให้ค่ะ
2
1.หามหาวิทยาลัยที่จะสมัคร ดูว่าเราผ่านเงื่อนไขของเขาครบไหม บางที่เขาก็รีเควสคุณสมบัติพิเศษๆมาเหมือนกัน แต่ส่วนมากจะมีแค่จบปริญญาตรี ไม่เป็นคนไต้หวัน ไม่มีประวัติอาญชญากรรม
2.พอเราได้รายชื่อมหาวิทยาลัยแล้วเราก็เตรียมเอกสารดังนี้
- คะแนน Toeic
-จดหมายแนะนำจากอาจารย์หรือหัวหน้างาน 2 ฉบับ (บางที่ก็ไม่ต้องใช้)
-Autobiography หรือ ประวัติส่วนตัว
-Study Plan อธิบายว่าทำไมเราถึงอยากเรียนที่นี่ จบไปวางแผนจะทำอะไร
-Proposal เป็นหัวข้อทีสิส ซึ่งบางที่เขาก็ไม่ใช้
-Bank Statemet
-เอกสารส่วนตัวพวก Diploma Transcript Passport
-ใบรับรองแพทย์ (บางที่ก็ไม่ต้องใช้ แต่ต้องใช้ในการขอวีซ่า)
3.เอกสารหลายอย่างต้องนำไปรับรองความถูกต้องที่กงสุลไทย และ สถานฑูตไต้หวัน
*ที่ประเทศไทยไม่มีสถานฑูตไต้หวันนะคะ มีแต่สํานักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย ซึ่งทำหน้าที่เหมือนกับสถานฑูตทุกอย่างซึ่งหลังจากนี้เราจะขอเรียกว่าสถานฑูตไต้หวันเพื่อความสะดวกค่ะ
4.พอเตรียมเอกสารทั้งหมดครบแล้ว ก็ยื่นใบที่มหาวิทยาลัย บางที่จะสมัครออนไลน์และอัพโหลดไฟล์ แต่บางที่จะให้ส่งเอกสารที่ไปรษณีย์ บางที่จะมีสัมภาษณ์ด้วยแต่ส่วนมากไม่มี
5.รอผล
6.ขอวีซ่า
7.เตรียมของเตรียมเป็นนักเรียนนอกจ้า
ทีนี้เราจะมาเจาะลึกในแต่ละขั้นตอนกันว่าต้องทำยังไงบ้าง
-ขั้นตอนการหามหาวิทยาลัย-
ซึ่งขั้นตอนที่ยุ่งยากที่สุดสำหรับเราคือการหามหาวิทยาลัยที่เราจะสมัครนี่แหละ มหาวิทยาลัยที่ไต้หวันมีเยอะมาก เพราะ เราต้องเข้าไปดูรายละเอียดของทุกมหาวิทยาลัยที่เปิดเลย ว่าที่ไหนให้ทุนอะไรบ้าง ตั้งอยู่ที่ไหน Rankเป็นยังไง แต่ละที่ก็เงื่อนไขแต่ะที่ก็ต่างกันออกไปอีก
ซึ่งขั้นตอนในการหามหาวิทยาลัยของเรามีดังนี้
1.หารายชื่อมหาวิทยาลัยที่มีสอนเป็นภาษาอังกฤษก่อน จากลิ้งนี้
มหาวิทยาลัยของไต้หวันจะมีมหาวิทยาลัยรัฐบาล และ เอกชนเหมือนของไทย ซึ่งมหาวิทยาลัยเอกชนของที่นี่หลายๆที่ดังมากเลยนะ ถ้ามหาวิทยาลัยของรัฐจะขึ้นต้นด้วย National…
ซึ่งในลิ้งนี้จะมีหลายๆคณะรวมกัน ซึ่งเราจะเรียน MBA เราก็ตัดชอยส์เหลือเฉพาะมหาวิทยาลัยที่มีสอน MBA
สำหรับใครที่จะเรียน MBA แบบเรา ควรเช็คทั้งหมด 3 อย่าง แต่ถ้าไม่ซีเรียสข้ามไปก็ได้
1)เช็คเรื่อง AACSB ซึ่งเป็นการรับรองมาตรฐานระดับโลกของมหาวิทยาลัยที่สอน MBA ถ้าใครไม่ซีเรียสข้ามไปได้เลย ถ้าใครซีเรียสเช็คได้ตามนี้เลย
2)เช็คว่า กพ.ไทยรับรองหลักสูตรหรือเปล่า เผื่อในกรณีที่ใครอยากจะไปสมัครเป็นราชการ เช็คได้ตามนี้เลย
3)เช็คอันดับมหาวิทยาลัย จาก QS World University Ranking จริงๆมันมีหลาย Rank นะ ต้องการวัดจากอะไรเช็คอันนั้นๆได้เลย ส่วน QS เช็คจากลิ้งนี้
ส่วนหลักสูตรอื่นๆเราขอโทษจริงๆที่เราไม่มีความรู้เลยว่าปกติเราต้องเช็คมาตรฐานอะไรบ้าง
พอเราเช็คทุกอย่างเสร็จสิ้นเราก็ตัดชอยส์ให้เหลือเฉพาะที่เราสนใจ แล้วเข้าไปดูเงื่อนไขของแต่ละมหาวิทยาลัยต่อเลย
หลายคนถามเรามาว่าควรเลือกมหาลัยจากอะไรบ้าง เอาจริงๆแต่ละคนมีเงื่อนไขไม่เหมือนกันเลยอ่ะ ถ้าเลือกจากความสะดวกก็ต้องเลือกเฉพาะพื้นที่เมืองใหญ่ๆ เช่น ไทเป นิวไทเป เถาหยวน เกาสง ถ้าได้อยู่มหาลัยในเมืองใหญ่ๆก็จะเดินทางสะดวกใช้ชีวิตง่าย แต่ก็ต้องแลกมากับค่าครองชีพที่สูงกว่าเมืองเล็กๆ
อีกอย่างค่าที่พักที่ไต้หวันราคาค่อนข้างสูงถ้าเทียบกับที่ไทย ในเมืองไทเปราคา 10,000+ บางที่ยังต้องแชร์ห้องน้ำกับคนอื่นเลย ถ้าได้ทุนเฉพาะค่าเล่าเรียน ก็ต้องพิจารณาเรื่องพวกนี้ด้วย
2.เมื่อได้เรายชื่อมหาวิทยาลัยคร่าวๆมาแล้ว เราก็นำชื่อไปเสริชในกูเกิ้ลแล้วก็หาข้อมูลเกี่ยวกับการรับสมัคร ส่วนมากเว็บไซด์ที่เราเห็น จะโชว์ Admission Information ที่หน้าแรกเลย แล้วเขาจะบอกรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับการรับสมัคร
*เคล็ดลับ คือ หาให้เสร็จทีเดียวว่าจะสมัครที่ไหนบ้าง จะได้รู้ว่าเราต้องเตรียมเอกสารกี่ชุด เพราะ บางที่ต้องส่งไปรษณีย์ไง เราจะเอาเอกสารมาใช้ซ้ำไม่ได้ ลิสมาเยอะๆไว้ก่อน ใส่ใน excel ไว้
ตัวอย่างที่เราหาแล้วมาใส่ไว้
เราจะได้ดูง่ายๆ เช็คง่ายๆว่ามีที่ไหน รายละเอียดเป็นยังไงบ้าง ขั้นตอนนี้สำคัญมากจริงๆนะคะ เราต้องวางแผนการสมัครให้ดีๆ เพราะ เราต้องรู้จำนวนจดหมายแนะนำที่เราต้องขอ จำนวนเอกสารที่เราต้องไปรับรองต่างๆ
มหาลัย Ming chi university and technology ที่เราเรียนอยู่ เป็นมหาลัยติดเขา บรรยากาศดีมาก ไม่ไกลจากตัวเมืองด้วย
-ขั้นตอนการเตรียมเอกสาร-
1.คะแนน Toeic
หลายมหาวิทยาลัยจะกำหนดคะแนนขั้นต่ำไว้ประมาณ 550 คะแนน แต่ถ้าจะเอาให้ติดชัวร์ๆควรจะได้ 650 คะแนนขึ้นไป ยิ่งคะแนนเยอะก็ยิ่งมีโอกาสติดเยอะมากขึ้น แต่ถ้า Rank สูงมากๆอย่าง NTU NTUST ก็ควรจะ 800+ เลย
เรื่องขั้นตอนการสอบ Toeic เราจะไม่ลงรายละเอียดเยอะ เพราะ มีหลายกระทู้รีวิวไว้ละเอียดยิบเลย
2.จดหมายแนะนำ 2 ฉบับ
สามารถขอได้ทั้งจากอาจารย์สมัยเรียนมหาวิทยาลัยหรือจากหัวหน้างานเราได้เลยค่ะ การขอจดหมายแนะนำตัวควรขอกับอาจารย์ที่มีดีกรีด๊อกเตอร์นะคะเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับตัวเราเอง หรือถ้าเป็นจดหมายแนะนำตัวจากหัวหน้างานควรจะเป็นผู้จัดการเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้จดหมายของเราเช่นกันค่ะ
เนื้อหาในจดหมายขึ้นอยู่กับการตกลงร่วมกันกับคนที่เราไปขอเลยค่ะ บางคนเขาไม่มีเวลาที่จะมาเขียนเนื้อหาภาษาอังกฤษในจดหมายให้เรา เราก็ต้องร่างจดหมายคร่าวไปให้เขาด้วยค่ะ
แต่กับอาจารย์บางคนเขาก็จะมีแบบร่างของเขาอยู่แล้ว เราแค่แจ้งชื่อเรา ชื่อมหาวิทยาลัย สาขาที่เราจะสมัครแค่นั้นก็พอ ขึ้นอยู่กับที่เราจะตกลงกับเขาค่ะ
3.Autobiography หรือ ประวัติส่วนตัว
ส่วนนี้ให้เราขายตัวเองไปเยอะๆ เล่าประวัติส่วนตัวว่าเราจบอะไรมา ตอนเรียนทำกิจกรรมอะไรบ้าง ยิ่งกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่เราจะสมัครเรียนใส่ไปเยอะๆเลยค่ะ เช่น เราจะสมัครสาขา MBA เราก็ใส่หมดเลยว่าตอนเราเรียนป.ตรี เราขายของออนไลน์ ทำพาร์ทไทม์อะไรบ้าง เคยฝึกงานที่ไหนใส่ไปให้หมดเลย
ถ้าเคยมีประสปการณ์ทำงานก็ใส่ไปด้วยว่าเราทำตำแหน่งอะไร ได้อะไรจากการทำงานบ้าง แล้วเอามาประยุกต์กับการเรียน MBA อย่างไร จริงๆใส่ Background ของที่บ้านไปด้วยก็ได้นะ
4.Study Plan
ส่วนนี้เป็นอีกส่วนที่สำคัญมาก เราต้องเขียนถึง Motivation ของเราว่าทำไมเราถึงอยากเรียนสาขานี้ ทำไมถึงอยากเรียนมหาวิทยาลัยนี้ วางแผนว่าถ้าจบไปจะทำอะไร สนใจเรื่องอะไรเป็นพิเศษ ทำไมเขาถึงต้องรับเราเข้าเรียน ส่วนนี้จะเป็นกึ่งๆ Motivation ขายตัวเองไปเยอะๆเลยจ้า เพราะส่วนนี้ค่อนข้างมีผลต่อการรับเข้านะ
5.Proposal
ให้เราทำ Proposal หัวข้อทีสิสที่เราสนใจ บางมหาวิยาลัยเขาก็ไม่ใช้นะ แต่บางที่ก็ใช้ ส่วนตัวคิดว่าส่วนนี้มันจะโชว์ว่าเราทำการบ้านเกี่ยวกับสิ่งที่เราอยากเรียนมามากแค่ไหน หัวข้อทีสิสเรามาเปลี่ยนทีหลังได้นะ ไม่จำเป็นต้องเอา Proposal ที่เราเขียนไว้มาทำจริงๆ
ไทเป 101 ระยะไกล
6.Bank Statement
บางมหาวิทยาลัยไม่ต้องใช้  Bank Statement ตอนสมัคร แต่ต้องใช้ตอนขอวีซ่า เขาไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมีเงินในบัญชีเท่าไหร่ แต่ต้องให้เพียงพอต่อการใช้ชีวิตอยู่ที่ไต้หวันซึ่งเท่าที่เราถามมาหลายๆคนสัก 150k ก็เพียงพอต่อการขอวีซ่าแล้วจ้า บางมหาวิทยาลัยสามารถใช้ Bank certificate แทนได้ ตอนเราขอวีซ่าเราก็ใช้ Bank certificate เช่นกัน
7.เอกสารส่วนตัว
1)Diploma อันนี้คือใบปริญญาของเรา ถ้ายังไม่ได้รับปริญญาสามารถใช้ใบ Certificate ว่าเราเรียนจบแล้วแทนได้ แต่ต้องเป็นฉบับที่มีรอยปั๊มนูนจากมหาลัย ไม่สามารถใช้เป็นตัวสำเนาแบบถ่ายเอกสารเองได้ ซึ่งใบนี้ทุกมหาลัยน่าจะขอได้ไม่จำกัดอยู่แล้ว พอได้ใบมาจะต้องไปรับรองสำเนาที่กงสุลไทย และสถานฑูตไต้หวันตามลำดับ
2)Transcript ส่วน Transcript สามารถใช้เป็นใบสำเนาแบบถ่ายเอกสารได้ แต่ต้องเอาไปรับรองเอกสารที่กงสุลไทยและสถานฑูตไต้หวันเช่นกันจ้า
3)Passport พาสปอร์ตไม่ต้องรับรองใช้ฉบับสำเนาได้เลย
8.ใบรับรองแพทย์
การขอใบรับรองแพทย์จะแยกเป็น 2 กรณีบางมหาลัยเขาจะให้ยื่นใบรับรองแพทย์ตอนสมัครเลย แต่บางมหาลัยก็ไม่ต้องยื่น แต่ในการยื่นวีซ่าจำเป็นที่จะต้องตรวจทุกคน ดังนั้นเราจึงต้องหาข้อมูลมหาวิทยาลัยที่เราจะสมัครก่อนว่าจำเป็นจะต้องยื่นใบรับรองแพทย์หรือไม่
การขอใบรับรองแพทย์เพื่อไปเรียนต่อไต้หวันเขาจะมีแบบฟอร์มของตัวเอง สามารถตรวจได้ 48 โรงพยาบาล ไปถึงก็แจ้งเขาว่ามาตรวจสุขภาพเพื่อไปเรียนต่อไต้หวัน หรือเอาให้ชัวร์เราควรปริ้นแบบฟอร์มไปด้วย
รายชื่อ รพ ตามนี้เลย
อันนี้เป็นแบบฟอร์มการตรวจ
ผลตรวจขึ้นอยู่กับแต่ละ รพ เลยว่าต้องรอนานแค่ไหนส่วนมากก็ 3-5 วัน ค่าตรวจประมาณ 1500++ ขึ้นอยู่กับรพ เช่นกัน ตอนเราไปตรวจไปตรวจที่รพ รามาธิบดี เขามีศูนย์ตรวจสุขภาพโดยเฉพาะคนไม่เยอะมาก แล้วถ้าไปก่อน 9 โมงเราสามารถรับผลตรวจได้ในวันเดียวกันเลย สะดวกมาก
เมื่อได้ใบรับรองแพทย์มาแล้วต้องไปรับรองเอกสารที่ดงสุลไทย กับสถานฑูตไต้หวันอีกเช่นกัน ซึ่งใบรับรองแพทย์ไม่สามารถใช้สำเนาได้ จำเป็นต้องเป็นฉบับจริงเท่านั้น ดังนั้นเราจะใช้กี่ชุดต้องวางแผนดีๆ
ใบรับรองแพทย์จะมีอายุ 90 วัน ถ้าจำเป็นต้องยื่นผลตรวจสุขภาพในการสมัครด้วย พอตรวจสุขภาพเสร็จต้องยื่นวีซ่าภายใน 90 วันไม่งั้นต้องเสียเวลามาตรวจสุขภาพใหม่ มารับรองเอกสารใหม่อีก
วัดหลงซานที่ดังมากเรื่องความรัก
-ขั้นตอนการรับรองเอกสาร-
เอาหล่ะมาถึงขั้นตอนนี้ก็อย่าพึ่งถอดใจกันไปก่อน ความยุุ่งยากยังไม่จบ ยังมีอีกเพียบ 55555
เอกสารที่ต้องรับรองก่อนการยื่นก็จะมี 3 อย่างเพื่อรับรองว่าเป็นเอกสารจริงไม่มีการปลอมแปลงขึ้นมา
-Diploma
-Transcript
-ใบรับรองแพทย์
1.การรับรองเอกสารที่กงสุลไทย
กงสุลไทยอยู่แจ้งวัฒนะ ขั้นตอนจะเป็นดังนี้
ก่อนจะยื่นเอกสารเราจึงจำเป็นต้องวางแผนการสมัครให้ดี ต้องเช็คให้ดีว่ามหาลัยให้เราส่งใบสมัครทางไปรษณีย์หรือส่งออนไลน์ได้ เพราะ ถ้าส่งออนไลน์เราสามารถแสกนไฟล์และส่งได้หลายที่ แต่ถ้าส่งทางไปรษณีย์เราจำเป็นต้องรับรองเอกสารหลายฉบับ ค่าใช้จ่ายก็จะสูงไปด้วย
สงสัยอะไรสามารถเข้าไปสอบถามที่เว็บไซต์ของกงสุลได้เลย
*อัพเดต 15/04/2564*
-ทางกงสุลไทยไม่มีบริการรับรองเอกสารทางศึกษาแบบด่วนแล้วค่ะ
ตอนนี้การรับรองเอกสารจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ในการตรวจสอบและรับรองเอกสาร
ดังนั้น เผื่อเวลากันให้ดีนะคะ เดี๋ยวไม่ทัน
2.การรับรองเอกสารสถานฑูตไต้หวัน
หลังจากได้ตรารับรองจากกงสุลไทยมาแล้ว เราต้องเอาเอกสารมารับรองที่สถานฑูตอีก 1 รอบ สถานฑูตไต้หวัน ปัจจุบันย้ายมาอยู่ที่หลักสี่ อย่าเผลอไปตึก Empire tower นะคะ อันนั่นเป็นสถาฑูตเก่าและปิดทำการไปแล้ว แต่กูเกิลแมพยังคงพาไปที่นั่นอยู่
*สิ่งที่ต้องเตรียมไป *
1)เอกสารที่จะรับรองพร้อมถ่ายสำเนาอย่างละ 1 ชุด
2)พาสปอร์ตตัวจริงพร้อมถ่ายสำเนา
3)เอกสารเกี่ยวกับมหาลัยที่เราจะสมัคร จะเป็นใบสมัครที่เขียนแล้ว หรือ เอกสารการรับสมัครก็ได้ค่ะ เจ้าหน้าที่แค่ต้องการเอกสารประกอบการยื่นว่าเรายื่นไปทำอะไร
4)แบบฟอร์มคำร้องขอรับรองเอกสาร ไปกรอกที่สถานฑูตได้เลย หรือไม่ก็กรอกผ่านทางเว็บไซด์และปริ้นไป
5)ค่าธรรมเนียมตราละ 510 บาท ใช ้เวลา 2 วันทาการไม่นับวันยื่น
6)กรณีเร่งด่วน สามารถรับได้ในวันทำการถัดไป ค่าธรรมเนียมตราละ 770 บาท
เวลายื่นเรื่อง 09.00-11.30 น. การรับเอกสารเวลา 13.30-15.00 น.
หากมีข้อสงสัยสามารถโทรสอบถามเจ้าหน้าที่ได้เลยค่ะ เจ้าหน้าที่พูดไทยคล่องกันทุกคน
-ขั้นตอนการส่งใบสมัคร-
ในการส่งใบสมัครจะมี 2 วิธีคืออัพโหลดออนไลน์ กับ แบบส่งไปรณีย์
แล้วแต่ทางมหาวิทยาลัยกำหนด
ซึ่งจะมีบางที่ ที่เขายังให้ส่งทางไปรษณีบ์อยู่
ตอนเราส่งเอกสารเราส่งกับไปรษณีย์ไทยค่ะส่งแบบทางอากาศ เวลาในการส่งประมาณ 5 วันถึงที่ไต้หวัน ค่าส่ง 800 บาท
แต่ถ้าไม่รีบเราสามารถส่งแบบธรรมดาก็ได้ค่าส่งก็จะถูกลงเยอะเลย แต่ก็จะใช้ระยะเวลานานหน่อย หรือสามารถส่งกับไปรษณีย์เอกชนได้นะคะ FedX DHL ถึงเร็วเหมือนกัน ส่วนราคาลองสอบถามไปที่ทางบริษัทเลยค่า
-ขั้นตอนการรอผล-
ขั้นตอนนี้ง่ายสุดแต่ทรมานจิตใจที่สุด ปกติทางมหาวิทยาลัยจะประกาศผลหลังจากปิดรับสมัครประมาณ 1 เดือน ช่วงรอแนะนำให้ไปตะลุยไหว้พระ ตะลุยกินอะไรอร่อยๆอยากทำอะไรรีบทำเลยค่ะได้ไม่เครียดด้วย อีกอย่างถ้าปประกาศผลปุ๊ปจะวุนไปหมด ต้องเตรียมตัวอีกเยอะ ดังนั้นช่วงนี้อยากทำอะไรรีบทำโล้ด
กิจกรรมที่คนไต้หวันโปรดปรานมาก คือการมาปีนเขาตอนกลางคืนเผื่อดูวิว Taipei 101
-ขั้นตอนการขอวีซ่า-
หลังจากประกาศผล ถ้าติด สิ่งที่ต้องทำคือไปขอวีซ่าค่ะ
ให้เตรียมเอกสารดังต่อไปนี้เพื่อขอวีซ่าที่สถานฑูตไต้หวัน:
-หนังสือหรือหลักฐานรับรองการเข้าเรียน
-แบบฟอร์มขอวีซ่าประเภท Resident Visa
-Bank Statement หรือ Bank certificate
-Study plan
-หนังสือเดินทาง (ต้นฉบับและสำเนา)
-รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว
-ค่าธรรมเนียมในการสมัคร 2200 บาท (อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ เข้าไปอัพเดตในเว็บสถานฑูตด้วยนะคะ)
-ผลการตรวจสุขภาพ(ที่มีการรับรองกับกงสุลและสถานฑูตแล้ว)
เวลาที่ใช้ในการขอวีซ่า 2 วันทำการค่ะ
เอกสารทั้งหมดต้องถ่ายสำเนาไปด้วยนะคะ แล้วเจ้าหน้าที่จะเก็บสำเนาไว้และคืนตัวจริงให้เราค่ะ เมื่อได้วีซ่ามาแล้วก็จองตั๋วเครื่องบินและเตรียมตัวเป็นนักเรียนนอกกันค่ะ
ไต้หวันเป็นประเทศที่เรารักมาก ที่นี่คุณภาพชีวิตดีมากจริงๆ แต่สำหรับเราแล้วอาหารไต้หวันไม่ค่อยอร่อยค่ะ มาที่นี่รับรองสกิลการทำอาหารเพิ่มขึ้นแน่นอน ที่ไต้หวันมีร้านขายของไทยเยอะ ไม่ต้องกลัวอดค่ะ ถ้ามีข้อสงสัยสามารถเข้ากรุ๊ป TSAT : Thai Students Association in Taiwan ในเฟสบุ๊คได้ค่ะ ในกรุ๊ปจะมีเพื่อนๆที่เรียนอยู่ไต้หวันคอยให้คำปรึกษาอยู่ค่ะ
หรือหลังไมค์มาถามเราได้ ขอให้ทุกคนโชคดี ได้มหาวิทยาลัยที่คาดหวัง ยังไงมาเป็นสมาคมนักเรียนไทยในไต้หวันด้วยกันนะคะ
:)
โฆษณา