27 เม.ย. 2021 เวลา 09:00 • ประวัติศาสตร์
คนจีนโบราณพิสูจน์หญิงพรหมจรรย์กันอย่างไร
.
‘ผู้หญิงที่ดีควรเป็นอย่างไร ควรวางท่า ทำตัวอย่างไร’ คำตอบของประโยคเหล่านี้ถูกนำมาใช้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตของผู้หญิงมากมายหลายคน และเคร่งครัดอย่างมากในสังคมโบราณ เป็นดั่งกรอบความประพฤติที่หากไม่ปฏิบัติแล้วจะกลายเป็นคนเสื่อมเสีย
.
ค่านิยมนี้เริ่มต้นในสมัยปลายราชวงศ์ฉินของจีน (260-210 ก่อนคริสตศักราช) จักรพรรดิจิ๋นซีสร้างคติธรรมตีตราผู้หญิงว่า ผู้หญิงที่ดีควรทำตัวอย่างไร หนึ่งในคุณสมบัติที่ดีก็คือ ‘การรักนวลสงวนตัว’
.
ตอนนั้นเองวิธีการพิสูจน์พรหมจรรย์ก็มีหลากรูปแบบมากขึ้น ทั้งการทำเครื่องหมาย การดูสรีระ และบางอย่างก็แปลกประหลาดมาก จนไม่คิดว่าจะใช้ตรวจได้จริงก็งัดขึ้นมาใช้หมด
.
วิธีที่เบสิกที่สุดคือ ‘การดูเลือดในคืนหลังแต่งงาน’ เป็นเหตุผลให้ผ้าปูเตียงวันเข้าหอของบ่าวสาวต้องเป็นสีขาวเท่านั้น ผู้คนเชื่อว่าหากหญิงสาวบริสุทธิ์จริง เมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกจะต้องมีเลือดซึมออกมา เรื่องนี้สำคัญถึงขนาดว่าถ้ามีเลือดออกแล้ว ทางฝ่ายชายจะยินดีปรีดาส่งคำชื่นชมมากมายให้แก่ฝ่ายหญิง
.
หากคนทั่ว ๆ ไปสำรวจกันเองก็จะดูที่ ‘การเปลี่ยนแปลงของสรีระและสีผิว’ หากหางตาเป็นสีชมพูอมแดงเชื่อว่าเพิ่งเสียความบริสุทธิ์ไป และหากดำคล้ำแปลว่าเสียความบริสุทธิ์มานานแล้ว ยังดีที่ความคิดแปลกประหลาดนี้จำกัดใช้กับคนรุ่นสาว ๆ เท่านั้น เพราะเป็นไปไม่ได้ที่คนมีอายุจะไม่มีริ้วรอยและหมองคล้ำ
.
ในสมัยราชวงศ์หมิงตอนปลาย มีนักเขียนและนักวิจารณ์ชื่อว่า จินเซิ่งท่าน เขาได้เขียนวิธีการดูหญิงที่เพิ่งเสียสาว ความเชื่อนี้แพร่หลายในสังคมจีนโบราณอย่างมากว่า ‘ต้องสังเกตคิ้วและเต้านม’ คิ้วต้องเรียวราบเรียบ เต้านมเต่งตึงชูชันจึงจะเป็นหญิงบริสุทธิ์
.
‘จุดโส่วกงชา’ จุดสีแดงบนแขนสาวพรหมจรรย์ที่เราเคยได้ยินได้เห็นบ่อย ๆ ในภาพยนตร์หรือนิยายกำลังภายใน ทำมาจากตุ๊กแกที่เลี้ยงด้วยแร่ซินนาบาร์สีแดงเข้ม หลังจากตุ๊กแกตายก็นำมาตากแดดให้แห้งแล้วบดเป็นผง ว่ากันว่าเมื่อผู้หญิงคนใดก็ตามมีเพศสัมพันธ์ เจ้าจุดสีแดงนี้ก็จะเลือนหายไป
.
แต่ภายหลังหมอสมุนไพรชื่อหลี่สือเจินในยุคราชวงศ์หมิง ก็ได้พิสูจน์และบันทึกลงตำราเภสัชวิทยา ‘เปิ๋นเฉ่ากังมู่’ แล้วว่า การใช้ผงตุ๊กแกทดสอบหญิงพรหมจรรย์เชื่อถือไม่ได้
.
1
‘ดูลมที่พุ่งออกมา’ นี่คงเป็นวิธีที่แปลกที่สุดเท่าที่ได้ยินมา พิสูจน์โดยให้หญิงสาวยืนเปลือยกายหน้ากะละมังไฟ ต่อมาผู้ตรวจจะเป่าควันจากกระดาษติดไฟใส่หน้าหรือทำวิธีอื่นเพื่อให้หญิงสาวจาม และดูว่ามีลมขับออกมาจากทางช่องคลอดมากแค่ไหน หากจามแล้วลมพัดขี้เถ้าฟุ้งขึ้นมาแสดงว่าไม่บริสุทธิ์แล้ว แต่ถ้ามีเพียงลมอ่อน ๆ ก็แปลว่ายังบริสุทธิ์อยู่
.
สุดท้ายการตรวจที่มีขั้นตอนซับซ้อนมากที่สุด คือ ‘การตรวจโดยหมอตำแย’ บางครั้งก็ให้ญาติผู้หญิงทำหน้าที่นี้แทน โดยจะพิจารณาร่างกายเปลือยว่าสมส่วนหรือไม่ กิริยาท่าทางเรียบร้อยไหม ส่วนใบหน้าดวงตาต้องสดใส ขนคิ้วเรียงสวยและงอน ริมฝีปากแดงฟันขาว หูยาวจมูกโด่ง
.
หมอตำแยยังทำหน้าที่ตรวจเยื่อพรหมจรรย์ว่ายังอยู่หรือไม่ สัมผัสผิวหนังว่าเรียบเนียนสะอาดไหม พิจารณาลักษณะรูปร่างเต้านมและอวัยวะเพศอย่างละเอียด โดยรวมต้องมีเสน่ห์ มองแล้วเกิดกำหนัดในกาม
.
การตรวจพรหมจรรย์ไม่ใช่ว่าทำกันทั่ว ส่วนใหญ่จะทำต่อเมื่อหญิงผู้นั้นจะถวายตัวเข้าวัง แต่ค่านิยมจากราชวงศ์หรือชนชั้นสูงก็แพร่หลายไปยังปุถุชนคนธรรมดา กลายเป็นค่านิยมว่าพรหมจรรย์ถูกผูกติดอยู่กับคุณค่าความดี
.
ทว่าความเชื่อฝังหัวนี้ก็ค่อย ๆ จางหายไปตามกาลเวลาจนมาถึงปัจจุบันที่กล่าวว่า คุณค่าของคนกับการมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน มันเป็นเรื่องปกติและไม่ใช่เรื่องน่าละอายใจ
โดย แอดมินวา
เครดิตภาพ แอดมินใบเตย
#คนจีนโบราณพิสูจน์พรหมจรรย์ #Howto #TheMemoLife
โฆษณา