Stagflation ''เงินเฟ้อในเงินฝืด'' ข้อเท็จจริงพิษร้ายของระบบทุนนิยม
ที่เป็นภัยไกล้ตัวของคนส่วนใหญ่ แต่คนจำนวนมากกลับหลงลืมไป
วันนี้ผมขอมาเขียนเรื่องของนิยามที่เราเรียกว่า Stagflation หรือบ้านๆก็คือ เงินฝืดในเงินเฟ้อนั่นเอง ศัพท์คำนี้นั้นผมเองเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าหลายคนคงไม่เคยได้ยินมาก่อนครับ เพราะเชื่อหรือไม่ว่า จริงๆแล้วนั้นมันเพิ่งมีศัพท์คำนี้เกิดขึ้นเมื่อปี คศ.1970 นั่นเองครับ
Stagflation นัั้นมี ความหมายว่าในขณะที่เงินเฟ้อมากขึ้นเช่น การที่ราคาอาหารและสินค้าแพงขึ้น แต่ผู้คนส่วนมากของสังคมกลับรู้สึกว่า หาเงินได้ยากนั่นเองขึ้นนำไปสู่การจับจ่ายซื้อของที่น้อยลงนั่นเอง
ซึ่งมันก็คงไม่แปลกอะไรหากเราเข้าใจแค่นี้ แต่จริงๆแล้วนั้นไม่ใช่เลยครับ
ข้อเท็จจริงนี้ หักล้างเศรษฐศาสตร์สำนักเคนส์ และความเชื่ออื่นๆที่นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำทั่วโลก ในช่วง คศ. 1970 มีอย่างชัดเจนครับ
Stagflation นั้นเป็นภาวะที่ผิดปกติ !!
โดยหลักการเดิมของเศรษฐศาสตร์ระบุว่า เมื่อเงินเฟ้อนั่นสะท้อนถึงความเติบโตของตลาด พูดง่ายๆคือคนมีเงินจับจ่ายใช้สอย หรือที่เรียกว่า ''เศรษฐกิจดี เศรษฐกิจเติบโต''
แต่ในภาวะStagflation นั้นคนกลับจนลงครับซึ่งย้อนแย้งโดยสิ้นเชิง
stagflation เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอเมริกาครับเมื่อ ปี 1970
ในเวลานั้น อัตราเงินเฟ้อสูงถึง 12% อัตราว่างงานสูงถึง 9%
ซึ่งในยุคนั้นถือว่าสูงมาก ซึ่งคาดการณ์กันว่า สาเหตุที่เกิดในปีนั้นเพราะ
ราคาน้ำมันดิบในปีนั้นพุ่งสูงกว่า 400% แบบฉับพลัน
ฟังมาแล้วคล้ายๆใช่ไหมครับ ใช่ครับคราวนี้เรามี Covid19 นั่นเอง
และนั่นเป็นครั้งแรก ที่โลกได้รู้จักว่า Stagflation นั้นมีอยู่จริง
เมื่อมาถึงตรงนี้แล้วนั้นผู้อ่านคงสงสัยครับว่า แล้วมันน่ากลัวอย่างไร?
ผู้เขียนต้องอธิบายความสัมพันธ์ ตามหลักเศรษฐศาสตร์ก่อนว่าเมื่อ
*เงินเฟ้อสูงอัตราว่างงานจะต่ำ
*หากเงินเฟ้อต่ำอัตราว่างงานจะสูง
ซึ่งการแก้ปัญหาโดยปกติ ก็จะได้ใช้การลดหรือเพิ่มดอกเบี้ยของธนาคารโลกเพื่อ ทำให้กลับมาสู่สมดุลทว่าStagflationกลับทำให้
ปัญหา2อย่าง คือ เงินเฟ้อสูงและอัตราว่างงานสูง
(ทำให้คนส่วนมากไม่มีเงิน) เกิดพร้อมกันครับ
นี่คือสภาพอันเลวร้ายที่ประเทศทั่วโลกไม่อยากให้เกิดครับ และแค่1ปัญหาก็แย่แล้วแต่นี่คือ 2ปัญหาในเวลาเดียวกัน
ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ได้กล่าวว่า ปัญหานี้กว่าจะทุเลาลงนั้น อเมริกาใช้เวลากว่า10ปี แต่เมื่อเราคิดต่อยอดจากสิ่งที่อ่านมาทั้งหมดแล้ว ถามกลับตัวเองว่า หาก stagflation ไม่ถูกแก้ไขแล้วลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน จะเกิดอะไรขึ้น!!
คำตอบก็คือ ผู้คนจะไม่มีงานทำ เงินจะหายาก ของจะแพง ผลผลิต(productivity) ของโลกจะลดลง และสุดท้ายจะนำไปสู่ สงครามกลางเมือง การล่มสลายของรัฐ และความโกลาหล(chaos) ครับและจะเป็นฟันเฟืองถดถอยที่ไม่รู้จบ
ผมจะยกตัวอย่างแบบนี้ครับ สมมุติว่าในประเทศไทยผู้ผลิตรายใหญ่แบบ CP รู้สึกว่าคนซื้อของน้อยลง เขาก็จะลดการผลิตลง แต่เพราะลดการผลิตลง คนเลยตกงานมากขึ้น วนลูปไปว่าไม่มีงาน ก็ไม่มีเงินต่อ สุดท้าย สินค้าก็จะแพงขึ้นเพราะ cost ในการผลิตสูงขึ้นแต่ คนก็ยิ่งไม่มีเงินซื้อมากเข้าไปอีก ซึ่งจุดจบคงไม่สวยนักแบบที่ผมได้พูดถึง
แต่อเมริกาแก้ไขมันได้ครับเมื่อมันเกิดตอนปี 1970 นั้นพวกเขาแก้ไขมันได้ครับแต่พวกเขา แก้ไขมันได้อย่างไรกันล่ะ ผู้เขียนจะบอกว่า
ในตอนนั้น พวกเขาใช้หลักการ Supply-Side Economics เพื่อแก้ไขปัญหาครับ มันก็คือหลักการการเพิ่ม อุปทาน (ความต้องการ) โดยการอัดฉีดเงินเข้าระบบนั่นเอง
มันเริ่มตอนนั้นนี่เอง จากมาตรฐานทองคำที่ทั้งโลกใช้ แต่ปี 1971 เกิดเหตุการณ์ Nixon Shock จำกันได้ไหมครับ ที่โลกพบว่าประเทศอเมริกามีทองคำไม่ใช่ ในอัตรา 1:1 แต่ Nixon บอกให้ทั้งโลกเชื่ออเมริกาและ
บอกว่าจะยกเลิกมาตรฐานทองคำโดยให้ทั่วโลกพึ่งพา USD แทน
หากเรามาดู Timeline แล้ว จะพบว่า stagflation และ Nixon Shock เกิดขึ้นแทบจะต่อเนื่องกัน และ 10กว่าปีต่อจากนั้น อเมริกาและหลายประเทศก็เริ่มที่จะ มีการอัดฉีดเงินเข้าระบบ ด้วยการเสก USD ออกมาจากอากาศ และในเวลาต่อมา ปัญหาStagflation ก็เงียบหายไปโดยไม่ค่อยจะมีคนพูดถึงอีก
ในจุดนี้มีเรื่องน่าสงสัย 2 จุด
1.อเมริการู้ถึงปัญหา Stagflation มาก่อน Stagflation จะเกิดหรือไม่ และการยกเลิกมาตรฐานทองคำ จนกระทั่งเปลี่ยนมาเป็น USD ที่มีจำนวนไม่จำกัดแทน จึงมีการเตรียมการได้สอดคล้องกันเป็นอย่างดี
2.Stagflation หายไปจริงๆหรือไม่ ถ้าการอัดเงินเข้าระบบโดยการเสกมันออกมาจากอากาศแก้ปัญหาได้จริงทำไมถึงมีสัญญาณว่ามันกำลังกลับมาแล้ว หรือมันแค่ถูกชะลอออกไปและเมื่อมี Covid19 มันจึงปะทุขึ้น
ผู้เขียนกำลังจะบอกว่า Covid19 ไม่ใช่ตัวเร่งเพียงตัวเดียวแต่จริงๆแล้วนั้น การพัฒนาด้าน Techonoly ก็เป็นตัวเร่งให้เกิด Stagflation เช่นกัน
คำถามคือ เมื่อเราเกิดStagflation ในตอนนี้ที่พวกเราอยู่ในสภาพที่หนี้ล้นโลกนั้น จะมีทางแก้ปัญหาได้อย่างไร และพวกเราหลงลืมไปแล้วว่า เงินทุก USD ที่เสกเข้ามานั้นไม่ได้หายไปไหน แต่มันถูกซับเข้าไปใน ''ฟองน้ำ'' ที่เรียกว่าตลาดทุน ภายใต้ concept '' Free money''
จริงๆแล้วนั้นมันมีทฤษฎี ''Slowbalisation'' ที่เป็นทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ของ นายAdjiedj Bakas นักอนาคตวิทยาชาวฮอลแลนด์ เจ้าของหนังสือ Capitalism & Slowbalisation (2015) ได้กล่าวถึงไว้ ว่าในศตวรรษที่ 21นี้ เราจะเกิด Stagflation ขึ้นอีกครั้ง แต่ผู้เขียนจะขอนำประเด็นนี้มาเล่าให้ฟังใน บทความต่อๆไป รวมถึงประเด็นเรื่อง ''Free money'' ว่ามันมีอยู่จริงเพียงแค่เรามองไม่เห็นมัน เพราะหากผู้เขียนมาเล่าในครั้งเดียวคงจะยาวมากๆ
เพื่อนๆละครับคิดเห็นอย่างไรกันบ้างครับ ^^ คอมเม้นกันมาได้นะครับ
ขอบคุณที่อ่านบทความของผู้เขียนครับ
ผู้เขียน คัมภีร์ วงศ์นิคม
4-19-2021
ติดตามข่าวสารใหม่ๆได้ที่เพจ ของเราทุกวันนะครับ
เพียงแค่คุณ กด '''ติดตาม''
NextW
และหากอยากสอบถามเรื่องราวต่างๆในเรื่องเกี่ยวกับที่เพจของเราโพสไป สามารถที่จะ inbox มาสอบถามได้นะครับ
#NextW