Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Business clinic
•
ติดตาม
19 เม.ย. 2021 เวลา 09:20 • ธุรกิจ
6 เมกะเทรนด์ ที่จะเปลี่ยนโลกธุรกิจ
ที่มาของภาพ:กรุงเทพธุรกิจ
หัวใจสำคัญของการแข่งขันในยุคนี้ไม่ได้อยู่ที่“มีทุนหนาและ“ความใหญ่อีกต่อไป หากอยู่ที่ความสามารถในการนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจผู้บริโภคได้แบบเรียลไทม์ ดังนั้น“Speedจึงกลายเป็นกุญแจแห่งชัยชนะทางการตลาดที่ทุกธุรกิจต้องมี
แต่การจะพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบสนองลูกค้าได้รวดเร็ว แบรนด์ต้องเข้าใจความต้องการผู้บริโภคให้ทะลุปรุโปร่งเสียเสียก่อน การตามติดเทรนด์การตลาดและเทคโนโลยีใหม่ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคมีความหลากหลายและซับซ้อน เพราะนอกจากจะช่วยให้ล่วงรู้ถึงความต้องการและพฤติกรรมผู้บริโภคที่แท้จริงแล้ว หากนำไปปรับใช้ได้ทันการณ์ จะช่วยสร้างความได้เปรียบและทำให้กลายเป็นผู้อยู่รอดในเกมการแข่งขันที่ดุเดือดยิ่งขึ้น
ในปีนี้มีเมกะเทรนด์และเทคโนโลยีสำคัญอะไรบ้างที่ธุรกิจต้องจับตามอง Business+ ได้สัมภาษณ์ 3 กูรูด้านเทรนด์ชั้นนำของเมืองไทย “ดีลอยท์-เอคเซนเซอร์-อะแดปเตอร์ เพื่ออัพเดตเทรนด์สำคัญให้ฟังเพื่อให้ทุกคนเตรียมตั้งรับ และพร้อมทั้งปรับตัวคว้าโอกาสใหม่ๆ ที่เข้ามาอย่างทันท่วงที
เทรนด์ที่ 1 : Data จะเป็นหัวใจที่ทุกธุรกิจต้องมี
เมื่อพูดถึงฐานข้อมูลดาต้า (Data) อาจไม่ใช่เรื่องแปลกและใหม่ในแวดวงธุรกิจ เพราะหากย้อนกลับไปตั้งแต่ยุคที่โลกออฟไลน์ครองเมือง เวลาไปเดินช้อปปิ้งซื้อสินค้าหรือบริการตามร้านต่างๆ และเมื่อตัดสินใจซื้อสินค้าชิ้นหนึ่ง มักจะได้ยินพนักงานถามเสมอว่า คุณลูกค้ามีบัตรสมาชิกไหมคะ หากไม่มีสามารถสมัครได้ ไม่มีค่าใช้จ่าย แถมได้สิทธิพิเศษมากมาย วิธีการดังกล่าว คือ เครื่องมือที่แบรนด์ต่างๆ นิยมนำมาใช้ในการเก็บฐานข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า เพื่อให้รู้พฤติกรรมบางอย่างและนำมาออกแบบโปรแกรมทางการตลาด พร้อมต่อยอดพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงใจกลุ่มลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
แต่ในยุคที่ดิจิทัลเข้ามาอยู่ในชีวิตเราทุกอณู ข้อมูลข่าวสารเกิดขึ้นมหาศาลและหลากหลายรูปแบบ ลำพังการเก็บข้อมูลในแบบเดิมๆ อาจไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจได้ดีพอ แต่หากธุรกิจสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำและรวดเร็วขึ้น สิ่งนี้จะกลายเป็น‘ขุมทรัพย์’ที่จะสร้างความได้เปรียบให้กับแบรนด์เป็นทวีคูณ เพราะไม่เพียงช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าใจผู้บริโภคในเชิงลึก จากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริงแล้ว ยังสามารถนำข้อมูลมาต่อยอดพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงใจผู้บริโภคในแต่ละรายได้แบบเรียลไทม์ทีเดียว
ในช่วง 1-2 ปีมานี้ แม้องค์กรไทยจะเริ่มตื่นตัวกับการนำ Data มาใช้ในธุรกิจมากขึ้น แต่จากข้อมูลพบว่า ทุกวันนี้ยังมีเพียง 1% ของข้อมูลเท่านั้นที่ถูกนำไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพอย่างแท้จริง โดยการนำข้อมูลไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต้องครอบคลุมตั้งแต่การเก็บรวบรวมข้อมูล กลั่นกรองไปจนถึงการวิเคราะห์ ทำนาย และแนะนำถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
เทรนด์ที่ 2 : แบรนด์ต้องมี Ecosystem ที่ครอบคลุม
การสร้าง Ecosystem ที่ครอบคลุมทุกช่องทาง จะเป็นอีกเทรนด์ที่เกิดขึ้น เพราะผู้บริโภคในยุคดิจิทัลไม่ได้อยู่แค่ในโลกออฟไลน์หรือสโตร์เท่านั้น จากเทรนด์ที่โฟกัสตาม Channel จะเปลี่ยนมาเป็น Omni Channel โดยทุกช่องทางต้องสื่อสารได้แบบเรียลไทม์ และ Smooth ในทุกๆ โอเปอร์เรชั่น ซึ่งหากแบรนด์ทำได้ความจงรักภักดีต่อแบรนด์ (Loyalty Loop) จะเกิดขึ้น และทำให้ลูกค้าเกิดการซื้อซ้ำตามมา
และประสบการณ์ลูกค้าที่อินเตอร์แรคกับแบรนด์เปลี่ยนไปและซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้น แบรนด์ต้องนำข้อมูลมาสร้างประสบการณ์และสื่อสารให้ครบ Ecosystem เริ่มตั้งแต่ผู้บริโภคเห็นโฆษณาแล้วเกิดอะไรขึ้นต่อ เช่น เสิร์ชหาข้อมูลเพิ่ม เปรียบเทียบราคาและตัดสินใจซื้อในอีคอมเมิร์ซเลย หรือไปซื้อที่สโตร์จากนั้นเมื่อผู้บริโภคซื้อไปใช้แล้ว รู้สึกดีหรือไม่ดีกับสินค้า ต้องพยายามกระตุ้นให้เขาพูดในสิ่งดีออกมา ไม่ใช่ซื้อไปแล้วจบเลย ไม่ได้ข้อมูลอะไรมาต่อยอดเลย
เทรนด์ที่ 3 : ธุรกิจจะมุ่งใช้ “AI และ Chatbot เป็นเครื่องมือสร้าง Customer Experience และ Revenue
AI Chatbot เป็นคำที่เริ่มมีการพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นคำที่คุ้นหูกันไปแล้ว และยังเป็นเทรนด์มาแรงต่อเนื่อง แต่จะ Advance และเข้ามามีส่วนร่วมในหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น โดยจะเห็นธุรกิจเริ่มนำ AI มาใช้ “เพิ่มรายได้ หรือ “ส่วนแบ่งทางการตลาด ให้มากขึ้น จากแต่เดิมที่นำ AI มาประยุกต์ใช้กับ Machine ทำงานง่ายๆ เพื่อลดต้นทุนผลิตหรือช่วยให้กระบวนการทำงานมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่จะเป็น UI หรือ User Interface หรือนำ AI มาช่วยให้ Chatbot เรียนรู้และสามารถตอบคำถามลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
“AI และ Chatbot จะมาทำหน้าที่ Auto Respond โดยจะได้เห็นกลุ่มคอลเซ็นต์เตอร์ของบริษัทต่างๆ นำ Chatbot มาช่วยในเรื่องการให้ข้อมูลต่างๆ อย่างรวดเร็ว เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคดิจิทัลที่มีความใจร้อน เพราะหากแบรนด์ตอบช้า แม้จะเป็นคำถามทั่วไป จะทำให้ผู้บริโภคเริ่มแสดงอารมณ์ความรู้สึกขุ่นมัว หรือต้องการร้องเรียนอะไรจะถูกส่งไปยังคนให้เข้ามาดูแลทันที เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด
เทรนด์ที่ 4 : Ecosystem and Partnership จะกลับมาทรงพลัง
แม้ว่าการร่วมมือกันทางธุรกิจ (Ecosystem and Partnership) หรือที่หลายคนเรียกกันว่า Collaboration จะไม่ใช่เรื่องใหม่ในแวดวงธุรกิจ แต่ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อวิถีชีวิตทั้งการเสพข้อมูล การสื่อสาร และซื้อสินค้า จนความต้องการของผู้บริโภคที่มีความหลากหลายและเพิ่มขึ้นไม่สิ้นสุด การทำธุรกิจในแบบเดิมๆ ด้วยตัวเองเพียงลำพัง จึงไม่สามารถตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้ครบทั้งหมดอีกต่อไปแล้ว
ดังนั้น ทางออกของธุรกิจยุคใหม่จึงต้องสร้าง Ecosystem and Partnership ขึ้นมารองรับ ด้วยการผนึกพาร์ตเนอร์มาช่วยเสริมศักยภาพธุรกิจ ซึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่หลายธุรกิจเริ่มให้ความสำคัญและหันมาจับมือกับพาร์ตเนอร์พัฒนาสินค้าและบริการมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะการ Cross ธุรกิจเพื่อเติมเต็มความต้องการลูกค้า
เทรนด์ที่ 5 : เมื่อ 5G มา แบรนด์ต้องเร็ว คอนเทนต์ต้องสั้น เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้รอไม่ได้
ความเร็วของอินเทอร์เน็ตในยุค 4G ที่ว่าเร็วแล้ว แต่เมื่อถูกพัฒนามาเป็น 5G ที่มีความเร็วกว่าเดิมเป็น 10 เท่า นอกจากทุกอย่างจะถูกขับเคลื่อนด้วยความเร็วทั้งในเรื่องการสื่อสาร และอุปกรณ์ต่างๆ แล้ว ยังทำให้ผู้บริโภคมีความใจร้อนมากกว่าเดิม ถ้าแบรนด์ไม่สามารถรับมือและตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้อย่างทันท่วงที ย่อมมีผลแน่ เพราะผู้บริโภคยุคนี้จะไม่รอ และพร้อมจะเปลี่ยนใจไปหาแบรนด์อื่นที่ใกล้เคียงกันทันที
ดังนั้น การสื่อสารของแบรนด์จึงต้อง “เร็ว ขึ้น ขณะที่คอนเทนต์ต้อง “สั้น แต่ได้ Impact จนผู้บริโภคต้องหยุดดู เพราะจากผลวิจัยล่าสุดพบว่า ทุกวันนี้คนเลื่อนหน้าจอผ่านเฉลี่ยเพียง 1.7 วินาทีเท่านั้น และคนต้องการเห็นภาพเพียงแค่ 13 วินาทีเท่านั้น
เทรนด์ที่ 6 : อนาคตภาคการผลิตจะผสาน IoT และ AR มาปรับใช้มากขึ้น
เส้นแบ่งระหว่างโลกแห่งความจริงกับเทคโนโลยีจำลองภาพเสมือนจริง หรือ Augmented Reality (AR) จะเริ่มหายไป การประยุกต์ใช้ AR ในเชิงพาณิชย์โดยเฉพาะภาคการผลิตจะขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ และกลายมาเป็นเทคโนโลยีที่องค์กรสามารถนำมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสะท้อนความคุ้มค่าสู่องค์กรได้ โดยในปัจจุบันเทคโนโลยี AR ได้ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมขุดเจาะน้ำมันแล้ว เพื่อลดต้นทุนด้านแรงงานวิศวกร ทั้งยังสามารถจำลองภาพของท่อน้ำมันในสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้เห็นรายละเอียดที่เกิดขึ้นจริงและรายงานผลได้อย่างรวดเร็วแม่นยำเสมือนวิศวกรอยู่หน้างานเลยทีเดียว ทำให้สามารถวางแผนและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วน IoT แม้ในฝั่งผู้บริโภคยังคงมองเป็น Gadget หรือเซนเซอร์ที่นำมาใส่ไว้ในอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อกันได้ แต่มองว่าในปีนี้ จะเห็น IoT ถูกรวมไว้เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการทำงานของภาคอุตสาหกรรมมากขึ้นและส่งผลให้เกิดการบริการและสร้างรายใหม่ๆ มากขึ้น ดังเช่นในปัจจุบัน บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายแห่งเริ่มนำ IoT ติดตั้งในเครื่องใช้ไฟฟ้า และคำนวณค่าใช้จ่ายเหมือนเครื่องถ่ายเอกสาร เช่น หมุน 1 ครั้งคิด 5 เซน ถ้าคุณกดนาน ก็คิดตามนั้น ขณะเดียวกันยังสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าได้อีกด้วย ทำให้เมื่อเครื่องเกิดอาการติดขัด บริษัทสามารถรับรู้ได้ทันที พร้อมกับส่งช่างเข้ามาดำเนินการซ่อมได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องรอจนผิดปกติ
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย