19 เม.ย. 2021 เวลา 14:51 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Review หนังสบาย by OrdinaryKid
Overlord (2018)
Overlord (2018) - ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด
- ถือว่าเป็นหนังในกระแสและคนจับตาอย่างมากในโลกโซเชี่ยล เมื่อช่วงต้นปี 2018 นู่น จากการที่หนังถูกกล่าวอ้างขึ้นว่ามันคือหนังที่เกี่ยวข้องกับจักรวาลของสัตว์ประหลาดยักษ์บุกโลก ขวัญใจคอหนังไซไฟอย่าง Cloverfield โดยโปรดิวเซอร์คนเก่งอย่าง J.J Abrams ซึ่งคาดว่าจะเป็นภาคต่อจาก 10 Cloverfield Lane ก็เป็นได้ แต่ต้องหงายเงิบกันไปเป็นแทบๆ หลังจากหนังปล่อย แม้ว่าจะได้ว่าที่พ่อมดแห่งฮอลลีวู้ดคนใหม่อย่าง เจเจ มารับโปรดิวเซอร์ ให้ก็ตามที แต่ทว่า เรื่องราวกลับไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสัตว์ประหลาดที่หลายๆ คนเคยจิ้นแตกกันเอาไว้ซะงั้น แต่ถือเป็นหนังเกรดบีที่จะเปิดโสตประสาทและจินตนาการครั้งใหม่ (หรือเปล่า เห็นมาเยอะกับแนวนี้) ให้กับคอหนังสยองและคอสงครามได้ร้องว้าวกันไปข้างหนึ่งอย่างแน่ๆ
- โดยตัวหนังบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านภารกิจเสี่ยงตายของกลุ่มทหารพลร่มชาวอเมริกัน ที่กระโดดลงสู่พื้นที่ของประเทศฝรั่งเศส ในช่วงการยึดครองของพรรคนาซี อาณาจักรไรซ์ที่ 3 เพื่อปฏิบัติภารกิจบุกเข้าตีหอนาฬิกาควบคุมของพวกทหารเยอรมัน แต่แล้วเหตุการณ์ที่เพิ่งเริ่มของพลทหารไก่อ่อนกลุ่มนี้ (แต่ยิงปืนแม่นมาก) กลับไม่ง่ายอย่างที่ควร นอกจากสงครามอันบ้าคลั่งที่ต้องเจอแล้วยังมีความลับดำมืดกับการทดลองแปลกๆ ที่พวกเขาต้องจดจำและหาทางเอาชีวิตรอด ก่อนที่จะไปปราบลุงหนวดจิ๋ม! ในวันหน้าต่อไป
- แม้ว่าสุดท้าย Overlord อาจจะไม่ได้มาพร้อมกับพลอตเรื่องที่อิงเข้าด้วยกันกับจักรวาลความวิบัติของ Cloverfield ตามที่คาดไว้ แต่ก็มีความน่าสนใจอยู่บ้าง ซึ่งโดยส่วนตัวชอบหนังแนวสงครามเป็นทุนอยู่แล้ว การหยิบจับเอาความไซไฟผนวกกับความดิบแบบซอมบี้ ก็เป็นไอเดียที่ดีน่าเอามาสรรค์สร้างเป็นผลงานฟอร์มใหญ่ให้ได้รับชมกันซะที หลังจากเล่นตามเกมส์บ่อยจนมันเบื่อแล้ว ซึ่งถือว่าทำได้ขั้นดีเลยล่ะสำหรับเรื่องนี้ แต่ยังไม่สาแก่ใจความมันส์ น่าจะยาวสักสองชั่วโมงกำลังดี เรียกว่ามาไวไปไว ผ่านเรื่องราวของกลุ่มทหารกลุ่มหนึ่ง ผ่านเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง และฐานทัพนาซีแห่งหนึ่ง (ใช้สถานที่ได้ประหยัดมากกก) เป็นการเจาะจงและจงใจให้ได้ลุ้นและซึมซับไปกับตัวละครอย่างเนียนๆ เพื่อไม่ให้ผู้ชมสะดุดในอารมณ์ หากมีตัวละครมากมายอาจจำไม่ได้และดูสะเปะสะปะ หากตัดต่อสตอรี่ไม่เทพพอ ถือว่ารวมๆดูสนุกได้เรื่อยๆ เพลินๆ มีอารมณ์ขันพอหอมปากหอมคอ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าหนังน่าจะมีของและทำได้ดีมากกว่านี้ ที่สำคัญก็คือใครที่คาดหวังว่าหนังจะเน้นหนักไปที่เรื่องราวของซอมบี้และความสยองโหดสัส เลือดสาดอย่างเดียวคงต้องคิดใหม่ เพราะว่าหนังแฝงความดราม่า จริยธรรม แง่คิด ผ่านตัวละครเอกที่คนดูเห็นแล้วต้องด่าแน่นอนกับความโลกสวยและพ่อพระซะจริง แต่มันคือการสะท้อนความจริงในตัวเราว่าคุณมีระดับมีศีลธรรมมากน้อยแค่ไหนกัน หากคุณอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น
- แต่ถึง % ของความเป็นสยองขวัญ อาจจะออกมาน้อยเกินคาด ก็ถือได้ว่ารังสรรค์ออกมาได้น่าพอใจ หนังจัดหนักจัดเต็มทั้งเลือด ความโหด ความดิบ และความรุนแรงเข้ามาได้อย่างโดนใจมากๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนหนังซอมบี้หรือว่าหนังสงครามก็ตาม ส่วนดีกรีของความสยองขวัญในพาร์ทซอมบี้ถือว่าสมจริง เอฟเฟ็คสยองดูน่าขยะแขยงมิใช่น้อย รวมถึงงานภาพที่สวยติดตาตั้งแต่แรก ได้ฟีลแบบ ยุคคลาสสิคใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบงานซีเควนท์ไตเติ้ล และเครดิตเปิดชื่อเรื่อง ที่ใช้โทนภาพสีขาวดำเป็นตัวนำ ส่วนพาร์ทของสงคราม บ้านเมืองในช่วงนั้น ที่ออกแบบมาในโทนหม่นๆ อึมครึม และสิ้นหวัง เหมาะแก่การนอนเล่นอยู่ในบ้านมากกว่ามาทำสงครามสร้างอารมณ์ร่วมได้ดีทีเดียว ที่ต้องชมอีกคือส่วนของการออกแบบห้องทดลองใต้ดิน ถือได้ว่ามีงานอาร์ทไดเร็คชั่นสวยงามดี ดูลึกลับ หลอนๆ เปียกแฉะแบบเบาๆ ฉากสยองขวัญก็มีมาอย่างครบครัน โดยเฉพาะเจ้าซอมบี้ทหารวิ่งติดปีกที่ดูแล้วยังไงๆก็ Far Cry (2008) เลยล่ะ แต่แหวะกว่า และตอนท้ายที่ไม่นึกถึงคงไม่ได้อย่าง Doom (2006) ที่ซัดกันเอาเป็นเอาตายในความเหนือมนุษย์ รับรองในความคัลต์แตกแน่นอน
- สุดท้ายแล้วอดเปรียบไม่ได้ว่าการทดลองที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นปีศาจวิปริตผิดธรรมชาตินั้น ก็แทบจะไม่แตกต่างอะไร จากพิษภัยของสงครามที่ได้พรากเอาจิตวิญญาณ และความเป็นมนุษย์ของเราไปอย่างน่าสะเทือนอารมณ์ จนต้องกลายมาเป็นคนที่บ้าคลั่ง รุนแรง ไล่กราดยิงผู้คนอย่างไร้ซึ่งมนุษยธรรมใดๆ แม้ว่าตัวเองจะบอกว่าเป็นคนดีทำเพื่อชาติและประเทศก็ตาม ยังไงซะเมื่อเลือดเปื้อนมือแล้ว บาปก็คือบาป กรรมจะติดตัวคุณทุกเมื่อเชื่อวันไม่ว่ายามหลับหรือตื่น อาเมน..
โฆษณา