ภายในโค้ดของรูปปริศนาที่หนึ่ง มีบรรทัดเกือบล่างสุดเขียนว่า " CLAVDIVS CAESAR says.. " พร้อมกับขบวนตัวอักษรและตัวเลขต่อท้ายที่ดูแรนดอมจนอ่านไม่ได้ และไม่มีความหมายใดๆเลย แต่ในสายตาชาวนักถอดรหัสนั้น คำใบ้นี้มันคือสิ่งที่เรียกว่า " Caesar Cipher " อย่างแน่นอน
3
Caesar Cipher คือเทคนิคหนึ่งในการเข้ารหัสข้อความโดยการเลื่อนถัดตัวอักษร หรือการ shift ตัวอักษรถัดไปกี่ตัวก็ว่ากันไป เช่น ถ้า shift ไป 1 ตำแหน่ง ตัว B ก็จะหมายถึงตัว A หรือ ตัว E ก็หมายถึงตัว D ซึ่งการเข้ารหัสแบบนี้ถูกตั้งชื่อตาม Julius Caesar เพราะว่าเขาใช้ระบบนี้ในการเข้ารหัสข้อความทางการทหารในสมัยจักรวรรดิ์โรมัน
2
ส่วนในกรณีคำใบ้นี้ มีคนถอดรหัสได้ว่าต้องเลื่อนถัดตัวอักษรไป 4 ตัว เพราะคำใบ้ CLAVDIVS CAESAR ก็คือ Claudius Caesar กษัตริย์โรมันคนที่ 4 นั่นเอง! พอถอดรหัสออกมาได้ โค้ดเหล่านั้นก็คือลิ้งค์เว็บไซท์ที่นำไปสู่คำใบ้ถัดไป..
ส่วนอีกข้อความนั้น เป็นคำใบ้ถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า Agrippa (the Book of the Dead) ซึ่งเป็นหนังสือเมื่อหลายสิบปีที่แล้วที่ข้างในมาพร้อมกับแผ่น floppy disk ซึ่งข้อความใน disk จะลบตัวเองอัตโนมัติหลังเปิดเพียง 1 ครั้ง ส่วนหนังสือเล่มนั้นถูกเขียนด้วยสารเคมีที่จะค่อยๆเลือนหายไปเมื่อเจอแสง ซึ่งแน่นอนว่าคำใบ้นี้มาพร้อมกับ book code อีกแล้ว..
2
เมื่อรู้ชื่อหนังสือ ก็จะสามารถค้นหาเว็บไซท์ที่มีเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ได้ เมื่ออ่านดิจิตอลไฟล์ของหนังสือเล่มนี้ตามคำสั่งของ book code แล้ว จะออกมาเป็นข้อความที่เป็นลิ้งค์ .onion หรือก็คือ URL ของ Dark Web นั่นเอง..
2
แล้ว URL ที่ว่านี้ สามารถเข้าถึงได้โดยการใช้ tor browser เท่านั้น ไม่สามารถใช้ Google หาเจอได้ ไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วย Browser ทั่วไปตามท้องตลาด และเมื่อเข้าไปแล้วก็จะเจอกับคำสั่งให้สร้างอีเมลขึ้นมาใหม่เพื่อรอรับคำสั่งต่อไป..
ซึ่งแน่นอนภายในไฟล์เพลงนี้มีอะไรซ่อนอยู่พร้อมกับบทกวี " A Song of Liberty " โดย William Blake ซึ่งนักถอดรหัสที่มาถึงขั้นนี้ ต้องมีความรู้ทางด้านดนตรีด้วย เพราะนอกจากต้องนำไฟล์เพลงไปเปิดกับโปรแกรม midi ที่แปลงดนตรีออกมาเป็นตัวเลขของโน้ตและจังหวะต่างๆแล้ว พวกเขาต้องรู้คีย์และตัวโน้ตเพื่อถอดรหัส ซึ่งพวกเขาค้นพบว่ามันมีสองเพลงที่อัดซ้อนกันอยู่ พอแยกออกมาก็สามารถนำมาถอดรหัสแบบชาญฉลาดเหนือมนุษย์ได้อีก จนสามารถได้ออกมาเป็นข้อความที่ให้พวกเขาส่งอีเมลกลับไปแจ้งทาง Cicada 3301 พร้อมกับรหัสลับของใครของมัน ซึ่งนั้นคือทั้งหมดของปริศนาในปีแรก เพราะว่าขั้นต่อไปนั้น เป็นการส่งคำเชิญแบบส่วนตัวสำหรับผู้ที่ได้ไปต่อ..
ซึ่งกลุ่มคนที่เข้ารอบไปนั้น ตามคำบอกเล่าของ Marcus พวกเขาไม่ค่อยมีการ Active เท่าไหร่นัก นอกจากตัวเขาที่คิดโปรเจ็กต์ขึ้นมา พร้อมกับเสนอแนะไอเดียและพัฒนาโปรแกรมจนเป็นรูปเป็นร่าง แต่กลับไม่มีใครสนใจแม้แต่จะดูด้วยซ้ำ..
3
นั่นอาจเป็นเพราะว่าทุกคนที่ผ่านเข้ารอบ คิดว่าจะได้ทำงานให้กับองค์กรเจ๋งๆ เช่น CIA หรือทีม Hacker หรือองค์กรลับระดับมหากาฬ แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเขาให้มานั่งพัฒนาระบบธรรมดาๆซะได้..
หลังจากครั้งแรกที่ทาง Cicada 3301 ออกมาโพสต์รูปปริศนาในปี 2012 ทาง Cicada 3301 ก็กลับมาโพสต์ปริศนาอีกครั้งในรูปแบบคล้ายเดิม โดยที่เพิ่มความยากในบางคำใบ้ เช่น คำใบ้ด่านสุดท้ายที่เป็นหนังสือภาษารูนที่พวกเขาเขียนขึ้นมาเองมีชื่อว่า Liber Primus
2
จนถึงทุกวันนี้ก็ว่ากันว่ามีคนไขรหัสไปได้แค่เพียงไม่ถึงครึ่งเล่มเท่านั้น ทำให้การไขปริศนานั้นยุติลง และพวกเขาก็กลับมาใหม่ในปีถัดไป พร้อมกับบอกว่าปีนี้จะไม่มีใครได้ไปต่อจนกว่าหนังสือ Liber Primus จะถูกไขปริศนาได้
2
จนกระทั่งเวลาผ่านไป ผู้ผ่านเข้ารอบต่างๆ รวมถึง Marcus Wanner ก็ได้รับข้อความจากทาง Cicada 3301 ว่า