Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Falcon1stStep
•
ติดตาม
26 เม.ย. 2021 เวลา 05:58 • กีฬา
จากส่วนเกินของเชลซี สู่วันนี้ที่กลายเป็น “The God of Liverpool (Mohamed Salah)”
สวัสดีครับเพื่อนๆชาวBlockdit และทีมงานทุกๆคน วันนี้ผมจะมาพูดถึงนักฟุตบอลอีกคนหนึ่งที่มีความฝันเหมือนกับนักฟุตบอลอาชีพหลายๆคน นั่นคือการได้ค้าแข้งร่วมกับทีมในฝัน หรือทีมรักของตัวเอง เขาเป็นนักเตะอีกคนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอดทน ผู้ค้นหาความฝันของตัวเองด้วยความหวังและแรงศรัทธาอันแรงกล้า เพราะกว่าเขาจะมีวันนี้ได้เขาต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆมากมาย และเคยค้าแข้งร่วมกับทีมใหญ่ของยุโรปมามากมาย จนวันนี้ เขาได้เดินตามทางความฝันของตนเองจนสำเร็จ และเขามีส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมสามารถคว้าแชมป์ลีกสมัยแรกให้กับสโมสรที่เขารักได้สำเร็จในรอบ 30 ปี
ใช่แล้วครับ ชื่อของนักเตะที่ผมกำลังจะพูดถึงนั่นก็คือ “ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ” ยอดดาวยิงจากแดนพีระมิด ผู้มากับลีลาการลากเลื้อยสุดพริ้วไหว และทักษะการจบสกอร์ด้วยลูกปั่นสุดเฉียบคมอันเป็นเอกลักษณ์ จนหลายๆคนได้ตั้งฉายาให้เขาว่าเป็น “ ราชาแห่งอียิปต์ (God of Egypt) ”
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ฮาเหม็ด มาห์รูส กาห์ลี (Mohamed Salah Hamed Mahrous Ghaly) คือชื่อของเด็กหนุ่มจากหมู่บ้านการ์เบียเรท ในเมืองนากริก ที่ลืมตาดูโลกเกิดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 1992 ในครอบครัวที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยแต่อย่างใด กิจกรรมที่จะทำเพื่อสันทนาการก็ไม่ได้มีให้เลือกมากนัก ซึ่งแน่นอนว่าเด็ก ๆ ในประเภทนี้ต้องเลือกฟุตบอล เพราะเป็นกีฬาที่เข้าถึงง่าย ไม่ได้สนว่าคุณจะเป็นใคร ไม่สนฐานะ หรือชนชั้น แค่คุณรักฟุตบอลคุณก็สามารถสนุกกับมันได้ ซึ่งตอน ซาลาห์ อายุได้ 7 ขวบ เขาก็เริ่มรัก และฝึกฝนฟุตบอลอย่างบ้าคลั่งจนแทบจะซึมซับเข้าเป็นสายเลือดของเขาแล้ว และนอกจากเขาจะเตะฟุตบอลเป็นประจำแล้ว เขาก็ยังรอดูการถ่ายทอดสดฟุตบอลจากยุโรปแทบจะทุกวัน โดยเฉพาะในรายการยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ซึ่งฮีโร่วัยเด็กของเขานั้นก็มิใช่ใครอื่น เป็นนักฟุจบอลที่เด็กๆทุกคนในทุกยุคทุกสมัยที่ได้เห็นการเล่นฟุตบอลของพวกเขาก็หลงไหลและยกให้เขาเป็นไอดอลกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น โรนัลโด้ (R9), ซีเนดีน ซีดาน รวมไปถึง ฟรานเชสโก้ ต็อตติ
และตัวของเขาเองในวัยเด็กนั้นได้เริ่มความฝันในอาชีพฟุตบอลด้วยการเล่นให้กับทีมสโมสร Basyoun ที่ไม่ไกลจากบ้านของเขามากนัก ซึ่งเขาสามารถนั่งรถไปเพียง 30 นาทีเพื่อเข้าเมืองก็สามารถลงซ้อมกับทีมได้แล้ว แต่ทว่าโชคชะตาได้พาให้เขาต้องออกเดินทาง ในตอนที่เขามีอายุได้เพียง 12 ปี โมฮาเหม็ด ซาลาห์ก็ได้รับการติดต่อจากทีม Othmason Tanta ในต่างเมืองที่ห่างออกไปจากบ้านของเขาราวๆ 200 กิโลเมตร ซึ่งการเซ็นต์สัญญาฉบับนั้น ได้นำมาซึ่งการที่เขาต้องเริ่มพิสูจน์ตัวเขาเองว่าเขารักฟุตบอลมากแค่ไหน
โดยตัวเขาเองได้หลังจากที่ได้เซ็นสัญญากับสโมสร Othmason Tanta นั้นเขาต้องเดินทางจากบ้านไปยังสโมสรโดยใช้เวลาวันละ 4 ชั่วโมง และต้องฝึกซ้อมกับสโมสร 5 วันต่อสัปดาห์ โดยที่เขาได้รับอนุญาตให้ออกโรงเรียนก่อนเวลาเพื่อเผื่อเวลาในการเดินทางไปซ้อมกับทีม ซึ่งเขามีเวลาเรียนเพียง 2 ชั่วโมงต่อวัน นั่นก็เพื่อให้ตัวเขาสามารถไปให้ถึงสโมสรก่อนเวลา 14:00 น. แต่ด้วยความรักที่มีต่อฟุตบอลก็ทำให้เขาสามารถผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากมาได้ ซึ่งเขาเคยบอกว่า หากวันนั้นเขาถอดใจก่อน เขาก็อาจจะไม่ได้กลายมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพอย่างทุกวันนี้ได้ และโมฮาเหม็ด ซาลาห์มักจะออกเดินทางคนเดียวทุกครั้ง โดยการเดินทางแต่ละครั้งเป็นส่วนใหญ่จะเป็นการนั่งรถเมล์และรถประจำทาง 3-4 ต่อ กว่าจะถึงสนามซ้อม ซึ่งรวมๆในแต่ละวันแล้ว เขาไป-กลับใช้เวลาในการเดินทางไปถึง 9 ชั่วโมง ซึ่งถ้ามองในมุมของเด็กอายุ 14 ปี มันคือสิ่งที่ยากลำบากเอามากๆ ถ้าหากเขาไม่ได้มีความฝันที่อยากจะเป็นนักฟุตบอลจริง ๆ นั้น คงไม่มีเด็กคนไหนที่ยอมทิ้งความสนุกของวัยเด็กไปได้แน่ๆ ซึ่งสิ่งที่ทำให้โมฮาเหม็ด ซาลาห์อดทนกับความลำบากมาได้นั้น มีเพียงประโยคที่เขาท่องเสมอว่า
"ผมอยากจะเป็นนักฟุตบอล ผมอยากจะเป็นนักเตะระดับโลก ผมอยากเป็นอะไรที่พิเศษกว่าคนอื่น ๆ ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่ามันการันตีอะไรได้บ้าง ผมเป็นเด็กอายุ 14 ปี ไม่มีอะไรเลยนอกจากความฝัน ... ทางข้างหน้ามีอะไรรออยู่ไม่รู้ แต่ผมต้องไปต่อด้วยตัวเองเท่านั้น"
"ผมเดิมพันแบบสุดตัว และถ้าถามว่า หากผมไม่ได้เป็นนักฟุตบอลผมจะเป็นอะไร ? ผมก็คงตอบไม่ได้เหมือนกัน เป็นคำถามที่ยากมาก เพราะผมใส่ทุกอย่างที่มีไปแล้วตั้งแต่อายุ 14 ปี และต้องยอมรับเลยว่า หากมาไม่ถึงจุดที่ยืนอยู่ทุกวันนี้ ชีวิตของผมคงจะยากกว่านี้เยอะ มันทำให้ทุกครั้งที่มองกลับไปในช่วงนั้น มันได้กลายเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำจริง ๆ"
และโมฮาเหม็ด ซาลาห์นั้นนับวันเขาก็ได้พัฒนาทักษะจนเก่งขึ้นในทุกๆวันจากการที่ทุ่มสุดตัว จากการที่เขาอดทนนั่งรถวันละ 9 ชั่วโมง และไม่เคยลดทอนความมุ่งมั่นในการฝึกซ้อม และความมุ่งมั่นที่อยากพัฒนาตัวเอง ถ้าจะบอกว่าเขาเป็นราชาแห่งความอดทนก็ไม่ผิดเลย จนแล้วจนรอดเขาก็ได้รับการติดต่อจากทีมในลีกสูงสุดของอียิปต์อย่าง Al Mokawloon และนั่นคงจะเป็นจุดเริ่มต้นอีกครั้งที่สำคัญสำหรับตัวของเขาอย่างแท้จริง และในช่วงต้นยุค 2010 เขาได้ถูกผู้คนในอียิปต์ขนานนามเขาว่า "เมสซี่ อียิปต์" ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น พวกเขากลับไม่มีนักเตะระดับที่ได้เล่นในยุโรปสามารถประกาศศักดาจนโด่งดังเป็นนักเตะระดับโลกได้เลยแม้แต่คนเดียว และนั่นเป็นความท้าทายแรกที่เขาต้องการจะทำให้สำเร็จ
ซึ่งเขาก็ได้เริ่มเล่นให้กับทีมชาติชุดใหญ่ด้วยอายุเพียง 19 ปี จากนั้นชื่อเสียงของเขาก็ดังไปถึงแดนยุโรปและเริ่มมีเอเยนต์ติดต่อเข้ามา จนสุดท้ายกลายเป็นสโมสรบาเซิล จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่มือไวกว่าใครได้สิทธิ์ไปก่อน และหลังจากนั้นไม่นานสโมสรบาเซิลนั้นได้จัดแมตช์อุ่นเครื่องกับทีมชาติอียิปต์ชุดยู 23 เพื่อดูฟอร์มของซาลาห์ โดยเฉพาะ และเมื่อเขาได้ลงสนามในช่วงครึ่งหลังนั้น ได้ทำให้ทุกๆคนต่างต้องตกตะลึงกับฝีเท้าของเขาทั้งสิ้น โดยเฉพาะเรื่องความเร็วนั้น เขาสามารถทำได้ดีเกินความคาดหมายของทุกๆคนเลยทีเดียว
หลังจากที่เขาย้ายมาอยู่กับสโมสรบาเซิล เขาก็ได้โชว์ฟอร์มการเล่นได้ดีอยู่ตลอด และทำให้แฟนบอลตื่นตาตื่นใจกับทักษะ และลีลาในการเล่นฟุตบอลของเขา และเขาได้ประสบความสำเร็จกับบาเซิลอย่างมากมาย ด้วยการช่วยพาทีมคว้าแชมป์ลีกสวิตเซอร์แลนด์ได้ 2 สมัยซ้อน และชีวิตของเขาก็มาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้งเมื่อซาลาห์ในวัย 21 ได้โคจรมาพบกับสิงห์บลูเชลซีในเกมแชมเปียนส์ลีก ซึ่งนัดนั้นเขามีส่วนช่วยให้ทีมอย่างบาเซิลเอาชนะไปได้ด้วยผลสกอร์ 2-1 และยังได้รางวัลแมนออฟเดอะแมตช์ และนั่นเองทำให้เชลซี ได้ตัดสินใจซื้อเขามาร่วมทีมด้วยราคา 16 ล้านปอนด์เลยทีเดียว แต่โชคชะตากลับให้บทพิสูจน์ในกีฬาฟุตบอลกับเขาอีกครั้ง เพราะเมื่อเขาย้ายมาอยู่กับเชลซีในปี 2014-2015 เขาแทบไม่ได้มีโอกาสลงสนามเลย เป็นเพียงอะไหล่สำรองของทีมเท่านั้นเองก็ว่าได้ เพราะเชลซีในตอนนั้นเต็มไปด้วยแข้งมากฝีมือมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Didier Drogba, Diego Costa, Eden Hazard, Cesc Fàbregas, John Terry ที่หลายๆคนได้กลายมาเป็นตำนานของสโมสรในปัจจุบัน
ซึ่งตัวของโชเซ่ มูรินโญ่ที่เป็นกุนซือในตอนนั้นได้เคยออกมากล่าวถึงโมซาลาห์ในตอนนั้นไว้สั้นๆว่า "ตอนนั้นในทางจิตวิทยาเขายังปรับตัวไม่ได้ เขามุ่งตรงจากสโมสรเล็กๆ ในสวิตเซอร์แลนด์มาสู่สโมสรใหญ่ในอังกฤษ และในพรีเมียร์ ลีก ตอนนั้นสำหรับเขามันหนักเกินไป"เขาล้มเหลวกับเชลซี และท้ายที่สุดก็ถูกปล่อยตัวให้ฟิออเรนติน่า สโมสรจากอิตาลียืมตัวไปใช้งาน แต่ทว่านั่นเป็นสิ่งที่เขาได้ร้องขอการย้ายทีมแบบยืมตัวกับสโมสรด้วยตนเอง เพราะเขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาต้องการที่สุดก็คือ “การลงสนามเพื่อพิสูจน์ตัวเอง”
และหลังจากเขาถูกยืมตัวไปฟิออเรนติน่า เขาก็ได้แสดงให้ทุกคนเห็นว่า เขามีศักยภาพดีมากพอที่จะเล่นในเวทียุโรปแห่งนี้ และเขาก็ได้พัฒนาตัวเอง อีกทั้งยังได้เก็บประสบการณ์มากมายจากการลงสนาม การได้พบเจอคู่แข่งเก่งๆมากมาย และได้เรียนรู้ทักษะต่างๆของฟุตบอลมากมาย จนโรม่า อีกหนึ่งสโมสรจากอิตาลี ที่มองเห็นแววของเขาและเขาก็ได้ย้ายไปที่ โรม่า นั่นเป็นจุดที่ทำให้เขากลับมาผงาดและประกาศให้โลกได้รับรู้อีกครั้งถึงศักยภาพ และความอดทนที่ไม่ย่อท้อให้กับอุปสรรคในชีวิต และที่โรม่านี้เองเขาได้ประสบความสำเร็จอย่างมาก อีกทั้งเขายังได้เล่นฟุตบอลร่วมกับหนึ่งในไอดอลของเขาอย่างฟรานเชสโก้ ต็อตติอีกด้วย นั่นคงจะเป็นอีกความทรงจำที่สุดแสนวิเศษสำหรับโมฮาเหม็ด ซาลาห์เลยทีเดียว
ถ้ามองย้อนกลับไปหากเขายอมแพ้ในวันที่เขาล้มเหลวกับเชลซี และถูกปล่อยให้ทีมอื่นๆยืมตัว เขาคงจะเป็นแค่นักเตะที่อ่อนแอ ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นนักฟุตบอลเก่งๆได้ แต่นั่นไม่ใช่กับชายคนนี้ เพราะด้วยสปิริตและความรักในฟุตบอลของเขา ทำให้เขาอดทนและฝ่าฟันมันมาได้จนถึงปัจจุบัน
และนั่นคือจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่สำหรับเขา เมื่อเยอร์เกน คล็อปป์มองเห็นความสามารถของนักเตะรายนี้ และตัดสินใจคว้าตัว “ซาลาห์” มาร่วมทีมลิเวอร์พูล ในฤดูกาล 2017-18 ด้วยราคาที่สูงถึง 38 ล้านปอนด์เลยทีเดียว เขากลับมาพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง และทำผลงานได้ดีมากจนสามารถสยบสายตาของคนทั้งโลก ด้วยฟอร์มการเล่นอันร้อนแรง บวกกับแทคติกของกุนซืออย่างคล็อปป์ที่เข้ากับสไตล์การเล่นของเขาอย่างน่าเหลือเชื่อ! จนทุกวันนี้เขาก็ได้ครองสถิตินักเตะที่ใช้เวลายิง 100 ประตูเร็วที่สุดเป็นอันดับ 1 ของสโมสร เหนือสิ่งอื่นใด เขาคือส่วนสำคัญที่ส่งลิเวอร์พูลถึงเส้นชัยที่ทุกคนรอคอยทั้งยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ในฤดูกาล 2018-19 และพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2019-20 ที่แฟนๆชาวลิเวอร์พูลรอคอยมากว่า 30 ปี
“ตอนนี้ถ้าหากจะบอกว่าเขาคือหนึ่งในนักเตะระดับโลก ก็คงไม่มีใครจะคัดค้านอีกต่อไป”
ปัจจุบันโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยังคงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเรื่อยมา มีลุ้นดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกอยู่ทุกฤดูกาลที่เขาได้ลงเล่น และหวังทำลายสถิติต่างๆต่อไป แม้ลิเวอร์พูลในตอนนี้จะขาดกองหลังตัวหลัก แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ เขามีส่วนสำคัญมากช่วยให้ทีมยังอยู่หัวตารางได้ ด้วยการประสานงานกับซาดิโอ มาเน่ และโรแบร์โต้ ฟิมิโน่ ที่ช่วยกันผลิตสกอร์ให้กับทีมอยู่เสมอเพื่อรอวันที่กำลังหลักของลิเวอร์พูลจะกลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง เพื่อที่จะไปไล่กวาดชัยชนะให้กับทีมอีกครั้งอย่างที่พวกเขาเคยทำและจะยังคงทำอยู่เสมอ
และปัจจุบันนี้โมฮาเหม็ด ซาลาห์ยังคงเป็นตัวเต็งในการคว้าดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกอีกด้วย และด้วยความเป็นกันเองที่ไม่ถือตัว ด้วยสปิริตและความรักที่มีต่อฟุตบอล ด้วยความมุมานะ อดทนฝึกฝนอย่างหนักตลอดมา ก้าวผ่านคืนวันเลวร้าย พัฒนาจุดด้อยของตนจนกลายเป็นนักเตะระดับโลก ผมคิดว่าคงไม่ยากนักที่จะทำให้เขากลายเป็นอีกตำนานที่ยิ่งใหญ่ประจำสโมสร และเป็นอีกหนึ่งนักเตะที่จะอยู่ในใจแฟนบอลทุกคน สมกับนามที่เขาถูกเรียกขานว่าเป็น
“The God of Egypt The God of Liverpool”
Credit : https://www.deviantart.com/aw-edition/art/Mohamed-Salah-New-Wallpaper-Liverpool-726849316
เขียนและเรียบเรียง : Aof FalCoN จากStoryกีฬา
บันทึก
1
4
1
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย