26 เม.ย. 2021 เวลา 13:49 • ท่องเที่ยว
Wandering Tokyo! โตเกียว พเนจร
กาลครั้งหนึ่ง… ข้าพเจ้าได้มีโอกาศเดินทางไปยังดินแดนที่คาดว่าน่าจะอยู่ในฝันของใครหลายๆ คน สถานที่ที่เต็มไปด้วยสีสัน ความทันสมัย สะอาดสะอ้าน มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย และพลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่มาพร้อมกับกลิ่นอายของวัฒนธรรมที่ยังคงอบอวลอยู่ผ่านอาหาร บ้านเรือน และเทคโนโลยีอันทันสมัย ที่ถึงแม้จะผ่านกาลเวลามานานแรมศตวรรษแล้วก็ตาม ซึ่งสถานที่ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงนั่นก็คือ “ประเทศญี่ปุ่น” โดยข้าพเจ้าเลือกที่จะเดินทางไปยังเมืองหลวงของประเทศอย่าง “โตเกียว” นั่นเอง
“โตเกียว” เป็นเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่นที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาก (เติม ก ไปอีกแปดล้านตัว ฮ่าๆ) โดยในศตวรรษที่ 16 “โตเกียว” มีชื่อว่า “เอโดะ (Edo)” ถูกปกครองโดยโชกุนโทคุกาวา (Tokugawa Leyasu) ซึ่งโชกุนท่านนี้ได้สร้างปราสาทเอาไว้เป็นที่พักอาศัย จนกระทั่งในสมัยของยุคเมจิก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นการปกครองโดยจักรพรรดิ และได้มีการย้ายเมืองหลวงจากเกียวโตมาอยู่ที่เอโดะ และได้เปลี่ยนชื่อเมืองจากเอโดะมาเป็นโตเกียวที่มีความหมายว่า “เมืองหลวงฝั่งตะวันออก” นั่นเอง โอ้วว…. แค่ประวัติคร่าวๆ ของเมืองโตเกียวก็น่าสนใจมิใช่น้อยแล้ว :)
Day 1 (13-OCT-2018) - Bangkok, Thailand - Kuala Lumpur, Malaysia - การเดินทางในครั้งนี้ของข้าพเจ้านั้น เป็นการเดินทางแบบแบ็คแพ็คเกอร์แต่เพียงผู้เดียว โดยข้าพเจ้าออกเดินทางโดยสายการบินแอร์เอเชีย สายการบินโลคอสสัญชาติมาเลเซียเป็นแบบ “ทรานสเฟอร์ (Transfer)” โดยการเดินทางแบบเที่ยวบินทรานสเฟอร์นั้นเป็นการเดินทางโดยการเปลี่ยนเครื่องบินนั่นเอง โดยข้าพเจ้าได้นั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ไปลงที่กัวลาลัมเปอร์ เพื่อรอการเปลี่ยนไปขึ้นเครื่องบินอีกลำ ซึ่งหมายเลขเที่ยวบินจะเป็นคนละหมายเลขกันกับไฟล์ทที่เดินทางจากกรุงเทพฯ - กัวลาลัมเปอร์นั่นเอง และเพื่อไม่ให้เกิดคามสับสนข้าพเจ้าจึงขออธิบายเพิ่มเติมอีกหนึ่งคำที่ใช้กันนั่นก็คือ “ทรานซิส (Transit)” ซึ่งหมายถึงการแวะพักเครื่อง ยกตัวอย่างเช่น สายการบินแอร์เอเชีย บินจากกรุงเทพฯ ไปญี่ปุ่น และแวะพักเครื่องที่มาเลเซีย เพื่อที่จะให้ผู้โดยสารที่จะลงที่มาเลเซียได้ลงจากเครื่อง และรับผู้โดยสารที่จะเดินทางจาก มาเลเซีย - ญี่ปุ่น ขึ้นเครื่องมานั่นเอง โดยหมายเลขเที่ยวบินจะยังคงเป็นหมายเลขเดิมที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ - กัวลาลัมเปอร์ และจะยังคงเดินทางด้วยเครื่องบินลำเดิมนั่นเองจ้า
Day 2 (14-OCT-2018) - Kuala Lumpur, Malaysia - Tokyo, Japan - สาเหตุที่ข้าพเจ้าเลือกการเดินทางแบบทรานสเฟอร์ (Transfer) นั้น เนื่องจากข้าพเจ้าต้องการที่จะประหยัดค่าใช้จ่ายให้ได้มากที่สุด เพราะหากข้าพเจ้าบินแบบไดเร็ค
ไฟล์ท (Direct Flight) แล้วละก็ค่าใช้จ่ายจะต้องบานปลายเป็นแน่แท้ ฮ่าๆๆ หลังจากใช้เวลาเกือบหกชั่วโมงบนเครื่องบิน ในที่สุดก็ถึงเสียทีนะกรุงโตเกียว ซึ่งกว่าข้าพเจ้าจะลงจากเครื่องผ่าน ตม. ออกมาได้นั้นเวลาก็ได้ล่วงเลยมาจนเกือบจะห้าทุ่มแล้ว ทำให้ข้าพเจ้าต้องรีบแบบสุดตัวเพื่อที่จะไม่ให้ตกรถไฟที่จะเดินทางไปยังที่พัก โดยข้าพเจ้ารีบกึ่งเดินกิ่งวิ่งแล้วตรงดิ่งไปหาเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ก่อนเป็นลำดับแรกเพื่อสอบถามวิธีการเดินทางไปยังที่พัก และการซื้อตั๋วรถไฟ โดยข้าพเจ้าเลือกซื้อตั๋วรถไฟผ่านตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติที่สนามบินฮาเนดะเป็นแบบ บัตรเติมเงิน (Suica IC Card) ซึ่งเป็นของบริษัทรถไฟ JR East ที่ให้บริการในแถบโตเกียวและรอบๆ โตเกียว โดยบัตร Suica IC Card นี้สามารถใช้จ่ายได้ทั้งรถไฟ รถบัส เรือและร้านค้าต่างๆ ที่ร่วมรายการเท่านั้น! ซึ่งท่านทั้งหลายสามารถใช้บัตรนี้แตะที่อ่านบัตรที่มีคำว่า IC ตรงประตูอัตโนมัติแล้วเดินเข้าสถานีรถไฟได้เลย นอกจากนั้นท่านยังสามารถหาซื้อบัตร IC Card ได้จากตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติที่ตั้งอยู่ ณ สถานีรถไฟ สนามบินนาริตะและสนามบินฮาเนดะได้เลย สะดวกมากๆ
หลังจากข้าพเจ้าซื้อตั๋วเสร็จเรียบร้อยผ่านตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติที่สนามบินฮาเนดะแล้ว ข้าพเจ้าต้องกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์เป็นอย่างยิ่งที่ได้ให้ข้อมูลการเดินทางไปยังที่พักของข้าพเจ้าเป็นอย่างดี เพราะไม่อย่างนั้นแล้วข้าพเจ้าอาจจะไปไม่ทันรถไฟรอบสุดท้ายเป็นแน่แท้ ใช้เวลาไม่นานในการเดินทางจากสนามบินฮาเนดะมายังที่พัก ซึ่งข้าพเจ้าได้จองที่พักผ่าน booking.com เอาไว้ที่ King’s Hotel เป็นห้องแบบดอมมิทอรี่ (Dormitory) ในราคาที่น่าคบหาเป็นยิ่งนักเพียง 500 บาท/คืน เท่านั้น!
หลังจากที่ข้าพออกมาจากสถานีรถไฟแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้สัมผัสถึงความเย็นยะเยือกของอากาศอันหนาวเย็น (เพิ่งรู้สึกถึงความหนาว ว่างั้นแหละ ฮ่าๆๆ) และแน่นอนว่าข้าพเจ้าเดินทางมายังประเทศญี่ปุ่นในช่วงที่กำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาว และข้าพเจ้าพลาดไปหนึ่งอย่างคือไม่ได้เช็คสภาพอากาศ และก็ไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวมาเลยแม้แต่ตัวเดียว ฮ่าๆๆ แต่ไม่เป็นไรเพราะอุณหภูมิ ณ ขณะนั้น ร่างกายของข้าพเจ้ายังพอรับไหว ข้าพเจ้าเดินออกจากสถานีมาเรื่อยๆ โดยไม่แน่ใจว่าเดินมาถูกทางหรือไม่ เพราะข้าพเจ้ามัวแต่ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศรอบๆ โอ้วว… ช่างโรแมนติกยิ่งนัก ฮ่าๆๆ แต่เดินไปมาผู้คนก็เริ่มน้อยลง อากาศก็ช่างหนาวเย็นอะไรปานนั้น ในที่สุดสายตาของข้าพเจ้าก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงในวัยทำงานท่านหนึ่งเดินผ่านมาพอดี ข้าพเจ้าเลยตัดสินใจถามทางไปยังที่พัก ซึ่งหลังจากที่ข้าพเจ้ายื่นมือถือให้ดูชื่อของที่พักพร้อมทั้งบอกออกไปว่าข้าพเจ้าไม่สามารถดูแผนที่ได้เลยเนื่องจากไม่มีเน็ต และข้าพเจ้าต้องขอขอบคุณอีกครั้งกับความช่วยเหลือของท่านนั้นที่ได้ช่วยเหลือข้าพเจ้าเป็นอย่างดีโดยการเปิดแผนที่พร้อมทั้งพาข้าพเจ้าเดินมายังที่ตั้งของที่พักอีกด้วย ข้าพเจ้าได้แต่กล่าวขอบคุณ แล้วรีบเดินตรงดิ่งไปยังที่พักทันทีทันใด ในที่สุดก็ถึงเสียที ข้าพเจ้ากล่าวทักทายพนักงานโรงแรมพร้อมทั้งทำการจ่ายเงินค่าที่พักเป็นที่เรียบร้อยและก็ได้เวลาพักผ่อนเสียที ราตรีสวัสดิ์สำหรับการเดินทางอันแสนยาวนานของข้าพเจ้าในวันนี้...
Day 3 (15-OCT-2018) - Kawagoe, Sitama - ข้าพเจ้าตื่นแต่เช้าตรู่และออกเดินทางจากที่พักเพื่อที่จะเดินทางไปยังเมืองที่อยู่ใกล้ๆ โตเกียวที่มีชื่อว่าไซตามะนั่นเอง โดย “เมืองไซตามะ” เป็นจังหวัดหนึ่งที่อยู่ในภูมิภาคคันโต ตั้งอยู่ติดกับทางตอนเหนือของกรุงโตเกียว เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 39 ของประเทศ และมีประชากรโดยประมาณ 7 ล้านคน
โดยตามประวัติศาสตร์แล้วเมืองไซตามะแห่งนี้ได้มีการเข้ามาอยู่อาศัยของผู้คนเมื่อประมาณ 30,000 ปีก่อน จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่ยุคต่างๆ เรื่อยมาจนกระทั่งในยุคเอโดะได้เกิดการพัฒนาเมืองขึ้นมากมาย ทำให้เมืองที่อยู่ติดกับเอโดะอย่างไซตามะก็ได้ถูกพัฒนาไปด้วยเช่นกัน ไซตามะในยุคของการพัฒนานั้นมีทั้งถนนหลายสายตัดผ่าน รวมไปถึงการวางท่อชลประทานมากมาย ต่อมาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองภายในจังหวัดเกิดขึ้นในสมัยของยุคเมจิ และหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลง ก็ได้มีการรวบรวมเมืองต่างๆ ขึ้นมาเป็นจังหวัดไซตามะ และได้กลายเป็นเมืองหลักทางด้านอุตสาหกรรม จนมีจำนวนประชากรเพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง
"บรรยากาศเมืองคาวาโกเอะ"
ข้าพเจ้าได้สอบถามเส้นทางไปยังเมืองคาวาโกเอะ จังหวัดไซตามะกับพนักงานของที่พักเป็นที่เรียบร้อย โดยพนักงานของที่นี่ก็ได้ให้การต้อนรับและบอกทางเป็นอย่างดีโดยการจดโพยให้ข้าพเจ้าว่าจะต้องนั่งรถไฟไปลงที่สถานีไหน ซึ่งในตอนแรกข้าพเจ้าก็มิทราบได้ว่าทำไมข้าพเจ้าถึงได้โพยมาเป็นภาษาญี่ปุ่น ฮ่าๆ จนข้าพเจ้าต้องบอกว่าขอภาษาอังกฤษให้กูเถอะ ฮ่าๆๆ กูคนไทยจากสยามประเทศโว้ยย
ฮ่าาๆๆๆ (อันหลังนี่ไม่ได้พูด ได้แต่คิดในใจ ฮาา) และพนักงานก็ได้ทำการเขียนซับภาษาอังกฤษให้ข้าพเจ้าแล้วยื่นกลับมาใหม่ด้วยรอยยิ้มอันสดใส ข้าพเจ้าคารวะด้วยความซาบซึ้งใจแล้วเดินจากไป
เมื่อมาถึงสถานีรถไฟข้าพเจ้าก็เพิ่งจะได้เห็นแบบเต็มๆ ตานี่แหละว่ามันโคตรจะ
อลังการงานสร้างเลย แค่แผนที่ก็กินขาดแล้ว ฮ่าๆ จะเยอะไปไหนเนี่ย! แต่ถึงกระนั้นอย่างนึงที่ข้าพเจ้าเห็นก็คือความตรงต่อเวลาของรถไฟ ไม่เพียงเท่านั้น! ความตรงต่อเวลาของคนญี่ปุ่นก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยิ่งนัก เมื่อข้าพเจ้าได้ขึ้นมาบนรถไฟข้าพเจ้าก็รับรู้ได้ถึงความสะอาด สะอาดทั้งกลิ่นและตู้รถไฟ สะดวกสบายมากๆ นั่งมาได้ไม่นานนักข้าพเจ้าก็เดินทางมาถึงเมืองคาวาโกเอะแห่งจังหวัดไซตามะแล้ว โดยแผนของวันนี้คือเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ ถ้าเมื่อยก็พัก ฮ่าๆๆ ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะไปที่ไหนบ้าง เพียงแต่อยากเดินดูบ้านเรือน ถนนหนทาง และผู้คนเพียงเท่านั้นเอง
"บรรยากาศเมืองคาวาโกเอะ"
สำหรับสถานที่แรกที่ข้าพเจ้าแวะพักนั่นก็คือร้านอาหาร เนื่องจากข้าพเจ้ายังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย และหิวมาก (ก แปดสิบล้านตัว ฮาา) ข้าพเจ้าเดินไปเรื่อยๆ จนได้เจอกับร้านอาหารเล็กๆ อยู่ร้านนึงที่ข้าพเจ้าสังเกตุว่าคนน้อย ข้าพเจ้าเลยเดินตรงดิ่งเข้าไปเพราะข้าพเจ้าไม่ชอบคนเยอะๆ และในขณะที่ข้าพเจ้าได้ย่างกรายเข้าไปในร้านนั้น ก็ได้ยินเสียงต้อนรับแบบสไตล์ญี่ปุ่นที่เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้วกับประโยคที่กล่าวว่า อิรัชชะอิมาเสะ! เสียงดังฟังชัดที่เปล่งออกมาว่าเราพร้อมแล้วที่จะให้บริการลูกค้าทุกท่านที่ได้เดินเข้ามาในร้านของเรานั่นเอง และนี่เป็นอีกหนึ่งอย่างที่เรียกได้ว่าเป็นเสน่ห์ของร้านอาหารญี่ปุ่นทุกที่บนโลกใบนี้ เป็นเสน่ห์ที่สะท้อนออกมาให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะให้บริการจริงๆ ข้าพเจ้าขอคารวะหนึ่งจอก
ข้าพเจ้ามิได้สั่งอาหารเลิศหรูอันไดเพราะข้าพเจ้าอยากกินข้าวกับไก่ทอด ฮ่าๆ แต่ว่าในเมนูที่ข้าพเจ้าเห็นไม่มีสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการ คุณป้าเจ้าของร้านคงสังเกตุเห็นแล้วว่าข้าพเจ้าได้แต่พลิกเมนูไปมาจึงได้เดินมาแนะนำเมนูให้ข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็ได้บอกกลับไปว่าข้าพเจ้าอยากกินข้าวกับไก่ทอด เป็นอันว่าคุณป้าก็โอเคเซเยสหันไปบอกพ่อครัวว่าทำไก่ทอดให้อีนี่หน่อย ฮ่าาๆๆ ข้าพเจ้าก็ได้แต่กล่าวขอบคุณกลับไป และคุณป้าก็ชวนคุยนิดหน่อยโดยถามข้าพเจ้าว่า “มาคนเดียวเหรอ” ข้าพเจ้าก็ตอบกลับไปว่า “มาคนเดียวจ้า” แล้วถามต่อว่ามาจากที่ไหนล่ะ อเมริกา
เหรอ จีนเหรอ? ข้าพเจ้าก็ได้แต่ตอบกลับไปว่ามาจากประเทศไทยจ้า คุณป้าก็ทำหน้าแบบนึกคิดว่าเอ๊ะประเทศไทยเหรอ แล้วคุณป้าก็พยักหน้าแล้วถามว่าไทยเหรอ ทำท่าแบบนึกไม่ออกว่าที่นั่นคือสถานที่แห่งใดบนโลกใบนี้ ฮ่าๆ แล้วคุณป้าก็เดินจากไป... และในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้กินแล้วข้าวกับไก่ทอดที่หน้าตาดูดีมาก โอววว… นี่แค่ไก่ทอดกับข้าวนะ ทำไมใส่ใจได้ถึงเพียงนี้ :)
หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว ข้าพเจ้าก็เริ่มออกเดินทางต่อไปโดยการเดินไปเรื่อยๆ ข้าพเจ้าคิดว่าจะไปเดินเล่นที่ย่านเมืองเก่าอย่าง “คาวาโกเอะ (Kawagoe) หรือ ลิตเติ้ลเอโดะ (Little Edo)” ที่ซึ่งเป็นเมืองเก่าในสมัยเอโดะ เป็นยุคที่ถูกปกครองภายใต้ตระกูลโทคุกาว่า ซึ่งหลังจากสิ้นสุดการปกครองของโทคุกาว่าก็ได้มีการปรับปรุงบ้านเมืองให้มีความเป็นเอโดะสมัยใหม่ แต่ก็ดันมาเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ทำให้บ้านเรือนเสียหายเป็นอย่างมาก ต่อมาจึงได้มีการเปลี่ยนมาสร้างบ้านเรือนแบบ “คุระ (Kura)” คือการใช้ดินและหินในการสร้างอาคารแทนการใช้ไม้ซึ่งเกิดการเผาไหม้ได้ง่ายกว่านั่นเอง
ในปัจจุบันบ้านเรือนในเมืองคาวาโกเอะเป็นการสร้างแบบคุระเกือบทั้งหมด รวมไปถึงยังคงเอาไว้ซึ่งการตกแต่งแบบสมัยเอโดะ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าต่างๆ รวมไปถึงสินค้าและอาหารการกินก็จะยังคงมีกลิ่นอายของความย้อนยุคเอาไว้นั่นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างมันช่างเข้ากันไปหมดเสียนี่กะไร
"บรรยากาศเมืองคาวาโกเอะ"
ข้าพเจ้าเดินถ่ายรูปชมนกชมไม้มาเรื่อยๆ โดยคิดว่าเดี๋ยวค่อยถามทางเอาก็แล้วกันว่าจะเดินไปที่ย่านเมืองเก่าคาวาโกเอะได้ยังไง จนในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้เป้าหมายในการถามทางแล้ว เป็นพี่ผู้หญิงหน้าตาใจดีคนนึงยืนอยู่ ข้าพเจ้าเลยตรงดิ่งเข้าไปถามทางเพื่อที่จะเดินทางไปที่คาวาโกเอะ พี่เค้าก็บอกเส้นทางเป็นอย่างดีแต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าใช่สถานที่ที่ข้าพเจ้าต้องการจะเดินทางไปหรือไม่ ข้าพเจ้าก็โชว์แผนที่ให้ดูแล้วพี่สาวท่านนี้ก็บอกว่าเดินไปทางนี้แหละ จากนั้นข้าพเจ้าก็ได้แต่กล่าวขอบคุณแล้วเดินจากมา... ข้าพเจ้าเดินไปได้สักพักก็ได้ยินเสียงแตรรถอยู่ด้านหลังของข้าพเจ้า พอหันไปมอง เอ้า! พี่สาวใจดีคนนั้นนี่หว่า พี่สาวใจดีคนนั้นเปิดกระจกลงแล้วบอกให้ข้าพเจ้าขึ้นมาสิเดี๋ยวจะไปส่งเพราะยังไงก็จะขับรถผ่านพอดี ข้าพเจ้าก็ดีใจจะมีคนไปส่ง ฮ่าๆ และไม่นานนักพี่สาวคนใจดีก็พาข้าพเจ้ามาส่งยังสถานที่แห่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จักเช่นกันว่าคือที่ไหน แต่คิดว่าไม่น่าจะใช่ย่านเมืองเก่าที่ข้าพเจ้าถามถึงอย่างแน่นอน พอมาถึงข้าพเจ้าก็กล่าวขอบคุณแล้วเดินไปดูว่าที่แห่งนี้คือแห่งหนใดกันแน่
ในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้คำตอบว่าที่นี่เป็นวัดโบราณเก่าแก่วัดหนึ่งที่มีชื่อว่า “วัดคิตาอิน (Kitain Temple)” ที่มีอายุกว่า 1,200 ปี โดยแต่เดิมวัดนี้มีชื่อว่า “วัดเซยะซัง มุเรียวชูจิ คิตะอิน (Seiyasan Muryoshuji Kitain)” ถูกสร้างขึ้นโดยหลวงพ่อเท็นไค โชโจ (Tenkai Sojo) เมื่อปี ค.ศ. 830 ซึ่งเป็นยุคเอโดะ โดยวัดแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นวัดประจำตระกูลโทคุกาว่าเลยก็ว่าได้ เนื่องจากท่านโชกุนโทคุกาว่า อิเอยาสุ (Tokugawa Leyasu) ท่านมีความเลื่อมใสต่อเจ้าอาวาสเป็นอย่างมาก และต่อมาวัดแห่งนี้ก็ได้เกิดความเสียหายเป็นอย่างมากในเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ในช่วงปี ค.ศ.1638 และถูกทำลายอีกครั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี ค.ศ. 1923 ทำให้ปัจจุบันนี้ยังคงหลงเหลืออาคารไว้เพียงบางส่วนให้ได้ชมเท่านั้นประกอบไปด้วยวิหารหลัก เจดีย์แดง และสวนหินที่ถือได้ว่าเป็นไฮไลต์ของที่นี่เลยก็ว่าได้ เพราะเป็นสวนหินที่มีพระพุทธรูปหินแกะสลักซึ่งมีอิริยาบทแตกต่างกันถึง 500 รูปกันเลยทีเดียว!
“วัดคิตาอิน (Kitain Temple)”
ข้าพเจ้าเดินเล่นรอบๆ บริเวณวัดและได้เข้าไปดูด้านในซึ่งเป็นในส่วนของพิพิธภัณฑ์ที่ได้เก็บเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของวัดแห่งนี้เอาไว้ และข้าพเจ้าก็มีโอกาศได้เข้าไปใช้ห้องน้ำของที่นี่ บอกได้เลยว่าทุกอย่างเป็นระบบเซ็นเซอร์ตั้งแต่การเปิดปิดฝาชักโครกไปจนถึงการกดชักโครก ข้าพเจ้าแทบไม่ต้องใช้มือจับส่วนใดของชักโครกเลยแม้แต่น้อย โอ้วว… ข้าพเจ้าถูกใจสิ่งนี้ยิ่งนัก! :) และสนใจใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งว่าวิวัฒนาการของส้วม ณ ดินแดนแห่งนี้มีความเป็นมาเช่นใดกันหนอ ถึงได้มีความทันสมัยและสะอาดมากๆ เช่นนี้
โดยข้าพเจ้าจะพาทุกท่านย้อนกลับไปพบกับวิวัฒนาการของ “ส้วมญี่ปุ่น” ที่น่าสนใจมากๆ โดยเริ่มตั้งแต่ในสมัยโจมงก็ได้มีการคิดค้นทำส้วมแบบหลุมขยะรูปเกือกม้าเอาไว้ โดยลักษณะจะคล้ายๆ กับส้วมหลุมบ้านเรา ต่อมาในสมัยนาราห้องน้ำก็ได้ถูกพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น โดยจะเป็นห้องน้ำที่มีลักษณะแบบที่ต้องราดน้ำลงไป หรือก็คือส้วมซึมที่ต้องนั่งแบบยองๆ นั่นเอง นอกจากนั้นห้องน้ำยังได้ถูกพัฒนาให้สามารถกักเก็บมูลเอาไว้ได้อีกด้วย เพราะช่วงนั้นอีกหนึ่งอาชีพที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่งนั่นก็คือ “การซื้อขายอุจจาระ” นั่นเอง เพราะเชื่อกันว่ามูลคนนั้นสามารถนำมาทำเป็นปุ๋ยชั้นดีได้เลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นมูลที่ได้จากเศรษฐีผู้มีอันจะกินนั้นก็จะยิ่งมีราคาสูงขึ้น เพราะเชื่อว่าเจ้าขุนมูลนายกินดีอยู่ดี ดังนั้นมูลที่ได้มาก็จะต้องเป็นมูลที่มีคุณภาพดีด้วยเช่นกัน :) ต่อมาช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ความนิยมในการซื้อขายอุจจาระก็ลดลง เพราะมีการรณรงค์เรื่องสุขอนามัยที่ดีมากยิ่งขึ้นรวมไปถึงตอนนั้นได้เริ่มมีการใช้ปุ๋ยเคมีกันมากขึ้นแล้วนั่นเองจ้า
สำหรับห้องน้ำแบบส้วมซึมของญี่ปุ่นนั้นจะนั่งยองหันหลังให้กับประตูเพราะคน
ญี่ปุ่นเป็นคนขี้อาย >< แต่สำหรับบ้านเราก็จะนั่งหันหน้าออกทางประตูเพราะเราเป็นคนเปิดเผย ฮ่าๆ ซึ่งชาวต่างชาติจะเรียกห้องน้ำของญี่ปุ่นที่มีลักษณะเช่นนี้ว่า “ห้องน้ำแบบดั้งเดิม Traditional Japanese Toilet” หรือ “Japanese-Style Toilet” แต่คนญี่ปุ่นจะเรียกว่า “วะชิกิ (Washiki)” นั่นเอง และในปัจจุบันห้องน้ำส่วนใหญ่จะเป็นห้องน้ำแบบชักโครก ซึ่งห้องน้ำประเภทนี้ได้ถูกพัฒนาเป็นแบบตะวันตก (Western Style Toilet) และนิยมใช้กันมากหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยคนญี่ปุ่นจะเรียกห้องน้ำแบบชักโครกนี้ว่า “โยชิกิ (Yoshiki)” นั่นเองจ้า
หลังออกมาจากวัดคิตาอินแล้ว ข้าพเจ้าก็เดินชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ จนไปพบกับถนนเส้นหนึ่งที่มีทั้งร้านค้า ร้านอาหารและร้านขายของฝากเต็มตลอดทั้งเส้นทาง และข้าพเจ้าก็ไปสะดุดตากับร้านข้ายมันม่วงร้านหนึ่ง โดยร้านนี้เราสามารถชิมมันม่วงฟรีได้เลย ข้าพเจ้าเลยเดินไปลองชิมและก็ซื้อติดไม้ติดมือกลับมาด้วย โดยเจ้าของร้านเป็นคุณลุงใจดีท่านหนึ่งก็ได้เชิญให้ข้าพเจ้าได้เข้าไปนั่งพักในร้านพร้อมทั้งเสิร์ฟน้ำชาให้ข้าพเจ้าหนึ่งจอก ช่างจิตใจดียิ่งนัก แล้วข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาศนั่งสนทนากับคุณลุงเล็กๆ น้อยๆ ถามไถ่ว่ามาจากไหนหรือ ข้าพเจ้าบอกว่ามาจากประเทศไทยแล้วคุณลุงก็บอกว่ามาจากไทยเหรอ เนี่ยลุงเคยไปเป็นอาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่นอยู่ที่จุฬาลงกรณ์ฯ นะ เมื่อหลายปีมาแล้วพร้อมทั้งไปหยิบอัลบั้มรูปมาอวดสมัยตอนที่ไปสอนภาษาญี่ปุ่นที่เมืองไทยอีกด้วย คุณลุงดูภาคภูมิใจเป็นยิ่งนัก... ไม่นานนักข้าพเจ้าก็ได้กล่าวอำลาแล้วออกเดินทางต่อไป มันม่วงอร่อยดีนะ แต่สิ่งที่ทำให้มันม่วงอร่อยอาจจะมิใช่แค่รสชาติแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นบรรยากาศและเรื่องเล่าจากคนต่างถิ่นที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้มีความกลมกล่อมมากยิ่งขึ้นนั่นเอง :)
"ณ ร้านมันม่วง"
ในที่สุดข้าพเจ้าก็เดินมาถึงย่านคาวาโกเอะจนได้ ข้าพเจ้าเริ่มเห็นผู้คนหนาตามากขึ้นมีทั้งชาวญี่ปุ่น ชาวต่างชาติและชาวไทยเดินไปมาอย่างคึกคักกันเลยทีเดียว ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นยิ่งนัก เพราะความคลาสสิคของบ้านเรือนเก่าแก่ที่ตั้งเรียงรายอยู่ตลอดสองข้างทาง รวมไปถึงร้านค้าต่างๆ ก็ยังถูกออกแบบและประดับตกแต่งให้ดูกลมกลืนกันไปหมด ข้าพเจ้าบอกได้เลยว่าที่เมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่มีสเน่ห์และเท่มากๆ :)
"ย่านเมืองเก่าคาวาโกเอะ (Kawagoe)"
ข้าพเจ้าเดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ จนได้เจอกับ “หอนาฬิกาโทคิ โนะ คาเนะ (Toki No Kane)” หรือ “Time Bell Tower” ที่ว่ากันว่าเป็นหอนาฬิกาโบราณที่มีโครงสร้าง 3 ชั้น ด้วยความสูงประมาณ 16 เมตร โดยถูกสร้างขึ้นในสมัยเอโดะเมื่อช่วงปี ค.ศ. 1627-1634 ซึ่งหอนาฬิกาที่เราเห็นในปัจจุบันนั้นได้มีการสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 1894 หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่นั่นเอง และหอนาฬิกาแห่งนี้ยังได้ถูกปรับปรุงเพื่อให้สามารถรองรับต่อแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้อีกด้วย โอ้วว… คูล!
นอกจากนั้นหอนาฬิกาแห่งนี้ยังเป็นหอนาฬิการที่ใช้บอกเวลาให้กับชาวเมืองผ่านการลั่นระฆังด้านบนหอคอย ซึ่งช่วงเวลาที่ท่านจะสามารถได้ยินเสียงระฆังนั้นมีอยู่ 4 ช่วง ได้แก่ 6.00 น., 12.00 น., 15.00 น. และ 18.00 น. นั่นเองจ้า… เท่จริงๆ บ้านเมืองนี้ :)
“หอนาฬิกาโทคิ โนะ คาเนะ (Toki No Kane)”
หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ใช้เวลาละเลียดไปกับการชื่นชมความงดงามของหอนาฬิกาโบราณอย่างเต็มอิ่มแล้ว ข้าพเจ้าก็เดินถ่ายรูปต่อไปเรื่อยๆ แล้วก็ได้เห็นความคึกคักของผู้คนมากยิ่งขึ้น และอากาศก็ยังคงหนาวเหน็บเช่นเดิม ฮ่าๆๆ
"บรรยากาศย่านเมืองเก่าคาวาโกเอะ"
ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเดินทางกลับโตเกียว ข้าพเจ้าได้ยินว่าที่นี่มีแหล่งช็อปปิ้งที่เรียกว่า ตรอก “Crea Mall” ที่เป็นถนนสายเล็กๆ ที่มีร้านค้ามากมายให้เราได้ช็อปปิ้งกันเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านขายอาหารต่างๆ ร้านเสื้อผ้ามือสอง ร้าน 100 เย็น และเสื้อผ้าแฟชั่นต่างๆ มากมายให้ท่านทั้งหลายได้เลือกสรรค์ ซึ่งข้าพเจ้าก็ขอเลยขอเยี่ยมชมสักหน่อย เดินไปเดินมาก็เลยได้เสื้อมือสองติดไม้ติดมือกลับมาด้วยแล… สบายใจ :)
ตรอก “Crea Mall”
Day 4 (16-OCT-2018) - Tokyo - เช้าวันต่อมา ข้าพเจ้าก็มีโอกาศได้ลองนั่งรถเมล์ญี่ปุ่น! ซึ่งข้าพเจ้าประทับใจมากอีกเช่นกัน เป็นรถเมล์ในฝันของข้าพเจ้าที่อยากจะให้รถเมล์ไทยเป็นแบบนี้ยิ่งนัก! ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่ารถเมล์มาตรงเวลา สะอาด และสะดวกสบายมากๆ แถมขั้นตอนในการจ่ายเงินก็ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องเตรียมเหรียญใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่ใช้บัตรเติมเงิน Suica IC Card แตะตรงที่อ่านบัตรแล้วจบเลย ไม่ต้องมีคนมาเก็บเงิน ไม่ต้องรอทอนเงิน และไม่ต้องกลัวว่าจะนั่งเลยป้ายเพราะหน้าจอที่ถูกติดตั้งไว้ด้านหน้าของรถเมล์ที่มีทั้งตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษเคลื่อนไหวไปมา พร้อมทั้งเสียงแจ้งเตือนว่าสถานีต่อไปคือสถานีอะไรนั่นเอง
โอ้ววว… ช่างถูกใจข้าพเจ้าเป็นยิ่งนักแล…
ข้าพเจ้านั่งรถเมล์ชมนกชมไม้มาเรื่อยๆ โดยใช้เวลาเพียงไม่นานนักข้าพเจ้าก็เดินทางมาถึงสถานที่แรกของวันนี้นั่นก็คือ “วัดเซนโซจิ (Sensoji Temple)” หรือ “วัดอาซากุสะ (Asakusa Kannon Temple)” ที่หลายๆ คนคุ้ยเคยกันเป็นอย่างดี ซึ่งวัดนี้เป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองโตเกียว ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณปี ค.ศ. 645 ที่มีตำนานเล่าขานว่าเมื่อประมาณช่วงปี ค.ศ. 628 มีสองพี่น้องชาวประมงได้ออกเรือเพื่อไปตกปลากัน แล้วได้พบกับองค์รูปปั้นของเจ้าแม่กวนอิมขนาดเล็กที่แม่น้ำซูมิดะ เป็นแม่น้ำในย่านอาซากุสะซึ่งสองพี่น้องพยามยามที่จะทิ้งรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมแต่ไม่สำเร็จ เพราะทุกครั้งที่พยายามจะทิ้งรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมไปนั้น รูปปั้นก็จะลอยมาหาสองพี่น้องตลอด ทั้งสองพี่น้องจึงเกิดความศรัทธาและได้นำรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมกลับมายังหมู่บ้านและได้เล่าเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ใจนี้ให้ชาวบ้านได้ฟัง ต่อมาทางหมู่บ้านก็ได้สร้างวัดขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมเอาไว้ โดยวัดแห่งนี้ได้ถูกทำลายลงเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สอง และหลังจากนั้นก็ได้มีการสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวญึ่ปุ่นนั่นเองจ้า
“วัดเซนโซจิ (Sensoji Temple)”
ข้าพเจ้าเดินดูรอบๆ บริเวณวัดเซนโซจิไปเรื่อยๆ และจากจุดที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ก็สามารถมองเห็น “โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree)” ได้อีกด้วย ซึ่งโตเกียวสกายทรีเป็นหอคอยส่งสัญญาณโทรทัศน์ที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นและสูงที่สุดในโลก! ด้วยความสูงถึง 634 เมตรกันเลยทีเดียว
ข้าพเจ้าเดินไปถ่ายรูปไปเรื่อยๆ และอย่างนึงที่ข้าพเจ้าประทับใจเป็นอย่างยิ่งนั่นคือความสะอาดของบ้านเมือง ข้าพเจ้าแทบจะไม่เห็นขยะเลยแม้สักชิ้นเดียว ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงได้รู้จักกับการจัดการขยะของเมืองโตเกียวที่เรียกว่า “โตเกียวโมเดล - Tokyo Model” ซึ่งโมเดลนี้เป็นอะไรที่เจ๋งมากๆ โดยโตเกียวโมเดลนี้เป็นรูปแบบในการจัดการขยะที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด เริ่มตั้งแต่กระบวนการแยกขยะทั้งตามบ้านเรือนและพื้นที่สาธารณะไปจนถึงการทำลายขยะแต่ละประเภทและการรีไซเคิลขยะ โดยโมเดลนี้เกิดจากความร่วมมือกันของทั้ง 23 เขตในเมืองโตเกียวนั่นเอง
นอกจากระบบการคัดแยกขยะอันยอดเยี่ยมแล้ว สิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งนั่นก็คือการกำจัดขยะ ซึ่งหลังจากการแยกขยะของชาวญี่ป่นแล้วขยะเหล่านี้ก็จะถูกส่งต่อไปยังโรงงานเผาขยะ ซึ่งเป็นโรงงานเผาขยะที่ใหญ่ที่สุดในโตเกียวที่มีชื่อว่า “ชินโกโต” โดยโรงงานแห่งนี้จะทำการเผาขยะตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับการเผาขยะนั้นก็ได้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างดีด้วยการควบคุมมลพิษทางอากาศ หรือมลพิษทางกลิ่นอย่างเข้มงวด และชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่บริเวณโดยรอบก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกลิ่นของขยะจะรบกวนชีวิตประจำวัน เพราะก่อนจะปล่อยก๊าซต่างๆ ออกสู่อากาศได้นั้นจะต้องเข้าสู่กระบวนการกำจัดสารอันตรายเสียก่อน โดยผ่านเครื่องกรองฝุ่น ส่งต่อไปยังเครื่องทำความสะอาดควัน จากนั้นก๊าซที่สะอาดแล้วถึงจะถูกปล่อยออกสู่อากาศได้ ส่วนน้ำก็จะถูกส่งเข้าสู่เครื่องบำบัดน้ำเสียก่อนที่จะปล่อยลงสู่ทะเลนั่นเอง โอ้ววว…. สุโก้ย!
นอกจากนั้นยังมีการใช้เทคนิคที่เรียกว่า “Thermal Recycle” นั่นก็คือการนำเอาความร้อนที่ได้จากขั้นตอนในการเผาขยะมาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้านั่นเอง โอ้วว….คูล! และยังไม่หมดเพียงเท่านั้น โดยในขั้นตอนสุดท้ายของการเผาขยะจะได้เป็นเถ้าที่เรียกว่า Slack ที่เกิดจากการเผาไหม้ได้ถูกนำมาอัดเป็นอิฐบล็อกและคอนกรีตเพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้าง และขยะที่ถูกย่อยจนละเอียดและผ่านกระบวนการกำจัดมลพิษแล้วยังสามารถนำไปถมทะเลเพื่อสร้างพื้นที่ใช้สอยได้อีกด้วย! โอ้ววว… โตเกียวโมเดล ไม่ธรรมดา!
ก่อนจะหมดวันนี้ข้าพเจ้าตั้งใจจะไปเดินเล่นที่ “ย่านชิบูยะ (Shibuya)” เป็นย่านที่เรียกได้ว่าเป็นแลนมาร์คที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างยิ่งของโตเกียว ซึ่งย่านที่เรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมแฟชั่นของวัยรุ่น และเต็มไปด้วยความคึกคักของผู้คนที่เดินไปมากันอย่างควักไคว่ โดยย่านแห่งแฟชั่นย่านนี้เมื่อก่อนนั้นเคยเป็นหมู่บ้านเกษตรกรรมที่ถูกล้อมรอบไปด้วยหุบเขามาก่อน! (โอ้ว.. ข้าพเจ้าก็เพิ่งรู้) ต่อมาในช่วงก่อนสงครามโลกก็ได้เริ่มมีห้างสรรพสินค้าโตโยโค หรือห้างสรรพสินค้าโตคิวในปัจจุบัน และหลังจากสงครามโลกก็เริ่มมีการสร้างหอดูดาวและโรงภาพยนตร์ และได้มีการจัดงานโตเกียวโอลิมปิกขึ้นในปี ค.ศ. 1964 ทำให้ชิบูยะกลายเป็นเมืองที่ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาในช่วงปี ค.ศ. 1970 ก็ได้มีการสร้าง Shibuya109 และ PARCO ขึ้นมาซึ่งเป็นแหล่งรวมสินค้าแฟชั่นทำให้หนุ่มสาวญี่ปุ่นได้มารวมตัวกันที่นี่ จนปัจจุบันย่านนี้ได้กลายเป็นย่านแหล่งรวมแฟชั่นของวัยรุ่นญี่ปุ่นนั่นเอง!
“ย่านชิบูยะ (Shibuya)”
Day 5 (17-OCT-2018) - Tokyo, Japan - Kuala Lumpur, Malaysia - ก่อนจะเดินทางกลับข้าพเจ้าก็อยากจะลองไปเดินเล่นยังสวนสาธารณะในโตเกียวดูบ้าง โดยข้าพเจ้าเลือกไปเดินเล่นที่ “สวนสาธารณะชินจูกุ จูโอ พาร์ค (Shinjuku Chuo Park)” ที่ว่ากันว่าที่นี่เป็นโอเอซิสใจกลางเมืองโตเกียวขนาดใหญ่ที่สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างหลากหลายกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการเดินเล่น ออกกำลังกาย หรือมาร่วมงานพิเศษต่างๆ ก็ได้เช่นเดียวกัน
ข้าพเจ้าเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อยจนไปเจอกับเด็กหนุ่มวัยใสกำลังเตะบอลเล่นกันอยู่ ข้าพเจ้าเลยหยุดนั่งดูแบบเพลินๆ ฮ่าๆๆ >< บรรยากาศดีน้าที่นี่ รู้สึกได้สูดอากาศสะอาดเข้าเต็มปอดกันเลยทีเดียว และอีกอย่างคือข้าพเจ้าสังเกตุเห็นผู้สูงอายุมานั่งจับกลุ่มกันทำกิจกรรมที่ไม่ค่อยจะได้เห็นที่บ้านเรานั่นคือ การวาดรูป และแต่ละคนก็ฝีไม้ลายมือไม่ธรรมดาคือวาดสวยกันมากๆ โอ้วว… ข้าพเจ้าถูกใจสิ่งนี้เป็นยิ่งนัก :)
“สวนสาธารณะชินจูกุ จูโอ พาร์ค"
หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ใช้เวลาเดินเล่นเพลินๆ ที่สวนสาธารณะชินจูกุ จูโอ พาร์ค แล้ว ข้าพเจ้าก็เดินไปเรื่อยเปื่อยจนหลงเข้าไปในโซนของตึกสูงอันทันสมัย ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าบริเวณนี้น่าจะเป็นส่วนของที่ทำการของรัฐบาลญี่ปุ่นนะ ซึ่งข้าพเจ้าก็เดินไปเรื่อย จนไปเจอกับแหล่งอาหารของชาวออฟฟิศ และไปสะดุดตากับร้านราเมนร้านหนึ่งก็เลยเดินเข้าไปลองชิมราเมนดู โดยที่นี่เป็นร้านเล็กๆ ที่มีวิธีการสั่งอาหารโดยการสั่งผ่านหน้าจอทัชสกรีนนั่นเอง พอเลือกได้แล้วว่าเราจะกินอะไรก็หาที่นั่งรอให้เรียบร้อย เพียงไม่นานข้าพเจ้าก็ได้ราเมนหน้าตาดูดีมากมาหนึ่งชามใหญ่ ข้าพเจ้าต้องขออภัยเนื่องจากข้าพเจ้าจำมิได้แล้วว่าเจ้าราเมนนี้มีชื่อว่าอะไร ฮ่าๆ และขอบอกเลยว่ามันอร่อยมากๆ ช่างถูกใจข้าพเจ้าเป็นยิ่งนัก ><
สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าสนใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อมีโอกาศได้เดินทางมายังประเทศญี่ปุ่นแห่งนี้ นั่นก็คืออาหารประเภทเส้นของญี่ปุ่นอย่าง “ราเมน (Ramen)” ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โดยต้นกำเนิดของอาหารประเภทเส้นชนิดนี้มีมาตั้งแต่ในช่วงที่ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมมาจากประเทศจีนที่ได้หลั่งไหลเข้ามาในญี่ปุ่นช่วงยุคเมจิ และด้วยการปรับเปลี่ยนรสชาติของราเมนให้ถูกจริตกับชาวญี่ปุ่นโดยการปรุงรสด้วยโชยุและเต้าเจี้ยวแบบญี่ปุ่นแล้วนั้น ทำให้ราเมนกลายเป็นเมนูประจำชาติและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางหลังจากที่ญี่ปุ่นเปิดการค้าเสรีอย่างเป็นทางการในสมัยของท่านโชกุนโทคุกาวะนั่นเอง
โดย “ราเมน (Ramen)” ก็คือบะหมี่น้ำนี่แหละที่มักจะกินคู่กับหมู สาหร่าย และต้นหอม ซึ่งตัวเส้นราเมนนั้นทำมาจากแป้งสาลีนวดกับไข่และน้ำ จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับเส้นบะหมี่เหลืองแต่เป็นเส้นกลม และคำว่าราเมน ramen นั้น ออกเสียงคล้ายกับคำว่า lamain ในภาษาจีนที่แปลว่า แป้งที่ถูกดึงนั่นเองจ้า ซึ่งการทานราเมนจะนิยมทานแบบร้อนที่มีน้ำซุป 4 แบบ ได้แก่ น้ำซุปเต้าเจี้ยว (Miso Soup), น้ำซุปเกลือ (Shio Soup), น้ำซุปซีอิ๊วญี่ปุ่น (Shoyu Soup) และน้ำซุปกระดูกหมู (Tonkotsu Soup) และแบบอื่นๆ อีกมากมายตามแต่สูตรเฉพาะของทางร้านจ้า
หลังจากอิ่มหนำสำราญกับอาหารกลางวันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็ว่าจะไปถ่ายรูปหอส่งสัญญาณโทรทัศน์อันเก่าแก่อย่าง “โตเกียวทาวเวอร์ (Tokyo Tower)” สักหน่อยเพื่อเป็นการส่งท้ายสำหรับทริปนี้ หอคอยโตเกียวทาวเวอร์นั้นตั้งอยู่ใจกลางเมืองโตเกียวในเขตมินาโตะ ถูกสร้างขึ้นในช่วงยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยในปี ค.ศ. 1950 ทางญี่ปุ่นกำลังมองหาสิ่งที่จะแสดงถึงความมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจของโลก และหอคอยโตเกียวก็ได้รับแรงบันดลใจมาจากหอไอเฟลของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นความตั้งใจของรัฐบาลญี่ปุ่นที่จะสร้างหอคอยให้มีความใหญ่เทียบเท่ากับหอไอเฟลนั่นเอง ด้วยความสูง ที่ 333 เมตร นั้นทำให้โตเกียวทาวเวอร์มีขนาดสูงกว่าหอไอเฟลถึง 13 เมตรกันเลยทีเดียว โอ้วว...ข้าพเจ้าชื่นชมในความตั้งใจของชาวญี่ปุ่นเป็นยิ่งนัก
“โตเกียวทาวเวอร์ (Tokyo Tower)”
เพียงไม่นานนักก็ตกเย็นเสียแล้ว และก็ได้เวลาเดินทางกลับที่พักเพื่อเก็บข้าวเก็บของเตรียมตัวเดินทางกลับประเทศไทย แค่นึกว่าจะต้องกลับแล้ว ใจมันรู้สึกหวิวๆ ยังไงก็ไม่รู้ ฮ่าๆ ข้าพเจ้ารู้สึกแบบนี้ทุกครั้งที่ได้ออกเดินทาง ซึ่งหลังจากแพ็คกระเป๋าเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางไปสนามบินฮาเนดะจ้า… แล้วพบกันใหม่ :)
การเดินทางในครั้งนี้ ข้าพเจ้าได้เห็นหลายสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้และเข้าใจเป็นอย่างดีแล้วว่าทำไมดินแดนแห่งนี้ถึงได้กลายเป็นดินแดนในฝันของนักเดินทางหลายๆ ท่าน ซึ่งสิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นนั้นมิใช่แค่ความทันสมัย และความสะดวกสบายเพียงเท่านั้นแต่เป็นเพราะระบบการจัดการบ้านเมืองอันยอดเยี่ยม ที่ยังคงความดั้งเดิมทางวัฒนธรรมอันมีเสน่ห์ของชาวญี่ปุ่นเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าบ้านเมืองจะถูกพัฒนาไปไกลแค่ไหนก็ตาม หรือแม้กระทั่งอาคารบ้านเรือนเก่าแก่อย่างย่านคาวาโกเอะ ก็ยังคงถูกอนุรักษ์เอาไว้ควบคู่ไปกับความโมเดิร์นของบ้านเมืองที่ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และสิ่งเหล่านี้ช่างส่งผลต่อความรู้สึกของข้าพเจ้าเป็นยิ่งนัก ข้าพเจ้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไมประเทศญี่ปุ่นถึงสามารถพัฒนาบ้านเมืองไปพร้อมๆ กับการอนุรักษณ์เอาไว้ได้อย่างกลมกลืน ดูไม่ขัดต่อการดำเนินชีวิต แถมยังมีกลิ่นอายของความใส่ใจ และความเอาจริงเอาจังในทุกรายละเอียดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย… :)
โฆษณา