29 เม.ย. 2021 เวลา 11:30 • อาหาร
Chapter 2: Absinthe (Part 1: The Green Fairy)
สวัสดีครับ กลับมาเจอกันอีกครั้งกับ Night Class นะครับ สำหรับคนที่เพิ่งเคยเข้ามาครั้งแรก ก็ขอยินดีต้อนรับสู่ Night Class โดย จารย์จุล ครับ ผมจะขอพาคุณผู้อ่านสู่วิชาภาคค่ำ วิชาที่ถูกขับเคลื่อนในยามราตรี ศาสตร์แห่ง Cocktail และวัฒนธรรมของการดื่ม
1
วันนี้เราจะมาทำความรู้จักสุราอีกชนิดหนึ่งนะครับ ที่จริงผมเคยเกริ่นไว้ตั้งแต่ตอนที่แล้วว่าวันในอนาคตจะเขียนเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าวันนั้นได้มาถึงแล้วครับ ใช่ครับ วันนี้ผมจะมาเขียนถึงนางฟ้าสีเขียว หรือ Absinthe กันครับ โพสท์นี้เป็นแค่ครึ่งแรกนะครับ เรื่องนี้ค่อนค่างยาวพอสมควร ผมเกรงว่าถ้าจัดเต็มๆ มันจะยาวเกินไป
1
Absinthe มีประวัติศาสตร์อันตื่นเต้นและยาวนาน แต่ก่อนที่เข้าวิชาประวัติศาสตร์ เรามารู้จัก absinthe กันก่อนดีกว่าครับ absinthe คือสุรากลั่น ที่มีสีเขียวอมเหลือง และชื่อ Green Fairy หรือนางฟ้าสีเขียวก็มาจากสีเขียวของ absinthe นี้เอง แต่ไม่ใช่ว่า absinthe ทั้งหมดที่จะเป็นสีเขียวเท่านั้น อาจจะเป็นสีใสหรือสีอื่นๆได้เช่นกัน และโดยทั่วไปจะมีแอลกอฮอล์อยู่ที่ระหว่าง 45%-75% ซึ่งถือว่าสูงมากถ้าเทียบกับสุราประเภทอื่น ซึ่งส่วนมากจะอยู่ที่ 40% ถึง 40 กลางๆ และถ้ามากกว่า 50% จะถูกเหมารวมว่าเป็น High Proof Spirit หรือเหล้าที่มีแอลกอฮอล์แรง
Absinthe มีรสชาติของสมุนไพรและเครื่องเทศ แต่รสชาติที่เด่นชัดคือ​ Green Anise (ประเภทของโป๊ยกั๊กชนิดหนึ่ง) และที่มาของสีเขียวมาจากพืชชนิดนี้ นอกจากนั้นยังมี Fennel (ยี่หร่าหวาน) และจะมีความขมเบาๆของ Wormwood (โกฐจุฬา) สมุนไพรและเครื่องเทศ 3 อย่างนี้เปรียบดังสามทหารเสือในอาณาจักรของ Absinthe เลยทีเดียว แต่อัศวินโต๊ะกลมก็ไม่ได้มีแค่สามทหารเสือใช่ไหมครับ? ผู้ผลิตสามารถใส่สมุนไพรอื่นลงไปเพิ่มได้ เช่น Hyssop (พืชตระกูลมิ้นท์), Lemon Balm (พืชตระกูลเดียวกับมิ้นท์ที่มีกลิ่นเลม่อน), โป๊ยกั๊ก, อบเชย, เมล็ดผักชี, เมล็ดลูกจันทร์ และอื่นๆอีกมากมาย
หลายๆครั้งรสชาติของ absinthe จะถูกอธิบายว่ารสชาติคล้ายหรือเหมือน Licorice (ชะเอม) ซึ่งมันก็ไม่ผิด เพราะเวลาที่เราอธิบายรสชาติ เราใช้ประสบการณ์การดมหรือชิมมาเป็นเครื่องมือในการอธิบาย แล้วแต่ละคนประสบการณ์ก็ไม่เหมือนหรือเท่ากัน แต่ผมแค่อ้างอิงเฉยๆว่าในการทำ absinthe ตาม tradition แล้ว เขาไม่ได้ใส่ ชะเอมลงไป ถึงแม่ว่าจะไม่ได้ใส่ลงไป แต่การอธิบายรสชาติที่ไม่ได้มีอยู่ในนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดนะครับ เพราะมันขึ้นอยู่กับประสบการณ์การดมหรือการชิมล้วนๆ ดังนั้น ถ้าใครบอกว่า absinthe มีกลิ่นเหมือนชะเอมก็อย่าไปล้อเค้าละกันครับ
เวท​มนตร์​สีเขียว
Absinthe มีลักษณะเด่นเฉพาะตัวอยู่ คือ เมื่อเท absinthe ออกจากขวดแล้วจะมีสีใส แต่เมื่อไรก็ตามที่เราผสมน้ำเข้าไป จากสีใส จะกลายเป็นสีขุ่น ซึ่งจะไม่ค่อยเกิดขึ้นในสุราชนิดอื่น เราเรียกมันว่า Louche Effect ตามที่ผมค้นคว้าเพิ่มเติมมา Louche Effect เกิดจากเครื่องเทศจำพวก anise ครับ, เครื่องเทศในตระกูล anise จะมีสารอยู่ชนิดหนึ่งที่ชื่อ Anethol หลักๆคือ มันเป็นสารที่ทำให้รสชาติและกลิ่นเฉพาะของ anise สารนี้ สามารถละลายได้ในแอลกอฮอล์ และแอลกอฮอล์เป็นตัวกักน้ำมันธรรมชาตินี้ไว้ แต่สารนี้มันไม่สามารถที่จะละลายในน้ำได้ และน้ำเป็นตัวดึงเอาน้ำมันนี้ออกมา ในเมื่อน้ำมันและน้ำที่จะไม่สามารถละลายเข้าหากันได้อย่างสมบูรณ์ มันเลยเกิดปฏิกิริยาที่ทำให้น้ำดูขุ่น
ยาและปาร์ตี้
ที่มาของชื่อ Absinthe มีแนวโน้มมาจากคำในภาษากรีกคำว่า ‘Apsinthion’ ซึ่งแปลว่า Undrinkable หรือดื่มไม่ได้ ซื่งตั้งแต่สมัยก่อน ชาวยุโรปนิยมเอา wormwood มาผสมในไวน์ (ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โพสแรกของผม, Vermouth) ที่เค้าเรียกมันอย่างนี้เพราะรสชาติขมของมันที่มาจาก Wormwood และเริ่มมาจากการใช้เป็นยา ในปี 1769 ที่เมือง Nucantel ที่ประเทศ Switzerland ได้มีการโฆษณา เป็นครั้งแรก เค้าเคลมว่าสามารถรักษา โรคลมชัก โรคเก๊าท์ นิ่วในไต และใช้ระหว่าง สงครามฝรั่งเศส-แอลจีเรีย ในปลายช่วงศตวรรษที่ 17 เพื่อช่วยรักษาโรคมาลาเรีย โรคท้องร่วง แม้กระทั่งผสมน้ำเพื่อฆ่าเชื้อโรค
จนกระทั่งในปี 1757 แพทย์ฝรั่งเศสชื่อ Henriette Henriod ขายสูตรให้กับ Major Henri Dubied และไม่นาน Major Henri ก็เปิดโรงกลั่นชื่อ Dubied Père et Fils in Couvet ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ กับลูกชายของเขา Marcellin และลูกเขย Henry-Louis Pernod และด้วย Marketing สกิลของเขา เขาเปลี่ยน ภาพลักษณ์ของ absinthe จาก ยาแพทย์แผนโบราณ จนกลายเป็น เครื่องดื่มในงานปาร์ตี้ ในปี 1805 ก็เปิดโรงกลั่นที่สอง ที่เมือง Pontarlier ประเทศ France ภายใต้ชื่อบริษัท Maison Pernod Fils
เวลาได้ประจวบเหมาะที่ทหารฝรั่งเศสกลับมาจากสงคราม พวกทหารขอให้คาเฟ่ บาร์ ซาลูน (ชื่อที่นิยาเรียกสำหรับบาร์สมัยก่อน) เอา absinthe มาขาย เพราะมันเป็นสิ่งที่ทหารชอบดื่ม มันเลยกลายเป็นเครื่องดื่มสำหรับ Patriot หรือผู้รักชาติ รวมกับการที่มีการผลิตที่ยิ่งใหญ่ เลยทำให้ราคาของ absinthe นั้นถูกลงมาก มันจึงกลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมภายในเวลาไม่นาน
นางฟ้าสีเขียว
ตอนนี้เรามาอยู่กันที่ศตวรรษที่ 19 กันแล้วครับ และช่วงนี้เป็นช่วงที่ absinthe ถึงจุดพีคมากที่สุด absinthe เป็นสิ่งที่นำเทรนที่สุดในยุโรป โดยเฉพาะนครปารีส คนดังต่างๆมากมายเลือกที่จะดื่ม absinthe เช่น​ Pablo Picasso, นักเขียน James Joyce, Van Gogh, Oscar Wilde, หรือไม่ว่าจะเป็น​ ปาป้า​ Ernest Hemingway​ ที่สร้าง​ cocktail ที่ใช้​ Absinthe​ ที่ชื่อ​ Death in the Afternoon ประกอบไปด้วย​ absinthe​ และแชมเปญ​
และในช่วงนั้นก็มีวัฒนธรรม​ย่อยๆอยู่อย่างหนึ่ง​ ทุกวันตอน​ 5 โมงเย็นทุกคนจะดื่ม​ absinthe​ กัน​ เค้าเรียกช่วงเวลานั้นว่า L’heure Verte แปลเป็นภาษาอังกฤษคือ​ The​ Green hour หรือชั่วโมงสีเขียวนั่นเอง​ ฟังดูคล้ายๆกับ​ Happy​ Hour ในสมัยนี้เลย
นอกจากการเป็นสิ่ง​เทรนดี้​ที่ราคาถูก​ มีอีก​หนึ่งเหตุผลที่ทำให้​ absinthe ได้รับความนิยมมากในช่วงนั้น​ ประเทศฝรั่งเศ​สเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องไวน์มาก​ แต่ในปี 1863 ประเทศฝรั่งเศสและประเทศในบริเวรใกล้เคียงเกิดโรคระบาดในองุ่นขั้นรุนแรง​ สาเหตุนั้นเกินมาจากเพลี้ย (phylloxera)​ ที่มากับการขนส่งพืชที่มาจากอเมริกา​ เจ้าเพลี้ยพวกนี้ทำลายรากของต้นองุ่น จึงทำให้กลุ่มคนสายไวน์เพลี้ยจากเพลี้ย และทำให้ไวน์ขาดตลาดเป็นเวลานานกว่า 15 ปี​ และผู้คนหันมาดื่ม​ Absinthe​ แทน
วิธีดื่ม​ Absinthe​ สไตล์​ฝรั่งเศส
ผมต้องขอบอกไว้ก่อนนะครับว่าผมจะไม่ดื่ม​และสนับสนุนการดื่ม Absinthe​ แบบ​เพียวๆ​ และอยากให้ผู้อ่านทุกคนหลีกเลี่ยงการดื่มเป็น​ shot เช่นกันนะครับ​ โดยทั่วไป​ Absinthe​ มีแอลกอฮอล์สูงมาก​ ผมจึงแนะนำวิธีแบบดั้งเดิม​ คือการผสมน้ำเย็นครับ​ น้ำเย็นเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะเปิดรสชาติที่ซับซ้อนของ​ absinthe มีรสชาติมากขึ้น​ และส่วนตัวผมเองก็สนับสนุนให้ผู้อ่านทุกคนดื่มอย่างมีความรับผิดชอบทั้งต่อตัวเองและสังคมครับ​
การดื่ม​ Absinthe​ ที่มีคลาสแบบฝรั่งเศส​ จะต้องมีของเล่นกันหน่อยครับ​ เราควรจะมีสิ่งต่อไปนี้ (สามารถดูได้จากรูปด้านบนตามตัวเลข)
1. แก้ว​ absinthe
2. ช้อน​ absinthe
3. Absinthe​ dropper หรือ​ absinthe fountain
4. Absinthe
5. Sugar cube
ขั้นตอนในการทำ
1. ใส่​ absinthe ในแก้ว​ absinthe แก้วบางรุ่นจะมีเส้นบอกไว้ ให้เติมจนถึงเส้นขอบด้านล่าง​ (ประมาณที่​ 45 ml)
2. วางช้อน​ absinthe​ ไว้ด้านบนขอบแก้ว
3. วางน้ำตาลก้อนลงบนช้อน​ absinthe
4. ในกรณีที่​ใช้​ absinthe​ dropper ให้เอาน้ำแข็งใส่ด้านบนของ​ dropper และเทน้ำตาม​ ดูให้น้ำค่อยๆหยดลงบนน้ำตาล​ จนละลายผ่านรูของช้อน​ absinthe​ ลงไปในแก้ว และสำหรับ Absinthe fountain ใส่น้ำแข็งลงในโหล ตามด้วยน้ำ แล้วเปิดวาล์ว ให้น้ำค่อยๆหยดลงบนน้ำตาลเหมือนกับการใช้ absinthe dropper
5. เมื่อระดับน้ำในแก้วสูงถึงเส้นที่​ 2 ให้ใช้ช้อน​ absinthe​ คนให้เข้ากันแล้วดื่มตามอัธยาศัย
*ถ้าใช้แก้วที่ไม่ได้มีเส้นบอก ให้คำนวญตามสัดส่วนของ absinthe ส่วนมากจะอยู่ระหว่าง 3 ส่วน หรือ 5 ส่วนของน้ำ ต่อ 1 ส่วน absinthe ตามความแรงที่ด้องการ และน้ำตาล ถ้าใครไม่ชอบหวาน แล้วจะไม่ใส่น้ำตาลก็ได้ มันจะไม่ทำให้โลกถึงจุดจบแน่นอน
จบแล้วครับสำหรับภาคต้นของเรื่องนี้ โปรดติดตามภาคจบของเรื่องนี้เร็วๆนี้ครับ (สปอยเบาๆว่าช่วงหลังนี่พีคมาก แค่เขียนก็สนุกมากแล้ว อยากเขียนให้จบเร็วๆแล้วแชร์มาให้อ่านกันมากครับ)
เทียนสัตตบุษย์…สมุนไพรในตำรายาไทย
Absinthe: History of the Green Fairy
โฆษณา