29 เม.ย. 2021 เวลา 07:58 • ท่องเที่ยว
ครั้งแรกในชีวิตกับการเดินขึ้นภูกระดึง
เราขึ้นภูกระดึงเมื่อวันที่ 10-11 มีนาคม 2564 ค่ะ
ก่อนที่อุทยานจะปิดพอดีเลยยยย
คือพี่ที่รู้จักชวน นี่ก็ใจง่าย ลางานแล้วไปเล๊ยยยย
ทริปนี้เริ่มต้นในตอนกลางคืนของวันที่ 9 มีนาคม 2564 ค่ะ
เดินทางโดย รถทัวร์ของบริษัท ซันบัส
ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง หมอชิต2 - ผานกเค้า (ไป-กลับ) คนละ 1,266 บาท
รถทัวร์เป็นแบบ รถVIP ค่ะ (นี่คือการนั่งรถทัวร์ครั้งแรกของเราเลย)
เบาะนั่งสบายมากกกกก ปรับนอนได้ มีผ้าห่มให้คนละ 1 ผืน
แล้วก็จะได้ขนมกับน้ำคนละ 1 ชุดค่ะ ถ้าหลับตลอดทาง น้ำ 1 ขวดอาจจะพอนะ
แต่ถ้าจะให้ดี พกไปเพิ่มอีก 1-2 ขวด แล้วแต่ว่าเป็นคนกินน้ำเยอะหรือน้อยนะ
เพราะขาไปเราหลับเลยคิดว่าพอ แต่ขากลับมันหลับๆตื่นๆ ก็กินน้ำบ้าง
แต่กลายเป็นน้ำขวดเดียวไม่พอจ้า นั่งคอแห้งไปตลอดทางเลย T^T
บรรยากาศในรถ
Set ขนม+น้ำที่ได้จากรถทัวร์
สิ่งแรกที่ควรทำในการนั่งรถทัวร์ไปก็คือ "นอน" ค่ะ
เพราะเมื่อไปถึงที่ผานกเค้า เราอาจกินข้าวเช้า แล้วก็นั่งต่อไปที่อุทยานภูกระดึง
เพื่อเดินขึ้นเขา เพราะฉะนั้นต้องพยายามนอนให้พอนะ
บริเวณ ผานกเค้า ที่ลงจากรถทัวร์
แต่ก็คือการนอนบนรถก็ยากนะสำหรับเรา
เพราะว่าเวลามีคนลงทีก็คือตื่นค่ะ หลับๆ ตื่นๆ ไปตลอดทาง T^T
ส่วนพี่อีกคนที่ไปกับเรา เขาบอกว่าคนนั่งข้างหลัง นางฟังคุยโทรศัพท์ แล้วก็ต่อด้วยการฟังคลับเฮ้า มีการถามคำถาม เสียงดังในระดับหนึ่ง
ก็คือ พี่เขาเลยไม่ได้นอนไปตลอดทางเลย T^T
บริเวณที่ลงรถทัวร์ ผานกเค้า
ตรงจุด ผานกเค้า ก็คือจะมีร้านอาหารเจ๊กิมค่ะ เราก็แวะทานอาหารเช้าที่นี่ก่อน
ส่วนรถสองแถวทางด้านซ้ายมือ จะเป็นรถที่พาเราไปยังอุทยานภูกระดึงค่ะ
ซึ่งวันที่เราไปมีแค่กลุ่มเรา 3 คน คนขับรถให้เหมาไป คนละ 100 บาท
รวมเป็น 300 บาทค่ะ
อาหารร้านเจ๊กิมมันจะออกไปทางหวาน แต่หวานติดลิ้นอะ อธิบายไม่ถูก
ก็ถือว่ากินเพื่ออยู่ค่ะ ไม่งั้นจะไม่มีแรงเดินขึ้นเขา แต่ที่อุทยานก็มีร้านค้านะ
ไปกินที่นู่นเลยก็ได้ค่ะ
ติดต่อเจ้าหน้าที่และยื่นบัตรประชาชน ต่างๆ
ตู้กดบัตรเข้าอุทยานภูกระดึง
ก่อนที่จะเข้าไปด้านในของอุทยานเราต้องมาจ่ายเงินค่าเข้าด้านหน้าก่อนนะ
คนละ 40 บาทค่ะ เจ้าหน้าที่ก็จะให้มากดที่ตู้ข้างๆนะ
ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติภูกระดึง
พอมาถึงปุปก็เดินเข้าไปข้างในเลยค่ะ
เนื่องจากตอนที่เราไปคนน้อยมากกกกกกกกก (คนเดินขึ้นวันนั้นทั้งหมด 15 คนค่ะ)
เหมือนไปอุทยานร้างเลยอะ ร้านไม่ค่อยเปิดหรือไม่เปิดเลย
เงียบกริบมากจ้าาาาา
ที่ไปทิ้งสัมภาระต่างๆ ให้ลูกหาบแบกขึ้นภูกระดึงค่ะ
อย่างแรกที่ทำคือเอากระเป๋าต่างๆ ไปให้ลูกหาบชั่งกิโลเพื่อแบกขึ้นค่ะ
เงินไปจ่ายตอนอยู่ด้านบนเลยค่ะ
ก่อนจะขึ้นก็ไปซื้อน้ำเปล่าสำหรับพก แล้วก็เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยค่ะ
เส้นทางการขึ้นเขา
ทางขึ้นภูกระดึง
ก่อนจะขึ้น เราต้องมีการวัดอุณหภูมิ และ ลงชื่อ กับจำนวนคนในกลุ่มของเราค่ะ
หลังจากนั้นเราก็จะไปเลือกไม้เดินขึ้นเขากันค่ะ
ไม้เท้าคือสำคัญมากนะ ทั้งตอนขึ้นและลงค่ะ
ของเราขาลง ไม่ได้เอาไม้เท้าลงมา ชีวิตลำบากมากค่ะ T^T
ตอนที่เราเดินขึ้นมันประมาณ 7 โมงเช้าค่ะ ก็เย็นๆสบาย
แต่พอเริ่ม 9-10 โมง เริ่มร้อนละค่ะ ก็คือเดินช่วงเช้าก็ดีกว่านะ
ใครกลัวดำ ก็หาใส่บางๆ มาคลุมได้นะ แต่นี้ตอนคลุมรู้สึกเวลาลมพัดมามันไม่เย็น
ก็เลยถอดเสื้อออก ปรากฏกลับบ้านมาแขนดำไปเลยจ้า แขนคือทูโทนเลย
เส้นทางการเดินขึ้นเขา
การขึ้นภูกระดึง ส่วนตัวเราคิดว่าทางดีมากเลยนะ
บางช่วงมีบันไดให้ ทางเรียบดีงามมาก
แต่เอาจริงๆ ช่วงเดินขึ้นบันไดเหนื่อยกว่าทางราบปกติ
ตามทางเขาจะมีถังขยะตั้งไว้ให้นะ เพราะฉะนั้นอย่าทิ้งขยะตามทางเดินนะคะ
น้ำแข็งใส จากซำแรก
ทางเดินขึ้นเขา
อย่างที่เราบอกว่าตอนเราไป คนน้อยมาก
นานๆถึงจะเจอคนเดินสวนมาค่ะ เงียบเหงามากกกกกกก
และที่สำคัญร้านค้าตามซำต่างๆ ปิดเยอะมาก เปิดแค่ช่วง 3 ซำแรกเท่านั้น!!!
ซึ่งโชคดีมากที่ซื้อผ้าเย็นจากซำแรกไว้ มันช่วยได้เยอะมากกกกกกกกก
ทั้งคลายร้อน เช็ดเหงื่อ ใครไปแล้วไม่ได้เอาผ้าขนหนูไป แนะนำให้ซื้อเลยค่ะ
อาหารกลางวัน (ผัดขี้เมาหมู 50 บาท)
เราเดินแบบเหนื่อยก็พักนะ พอพักไปแปปนึง ก็เดินต่อค่ะ
พักถี่มาก พักไปทั้งหมด 17 ครั้ง 555555 (สถิติตามนาฬิกาของพี่ที่ไปด้วย)
และเราก็ใช้เวลาในการขึ้นภูกระดึงไปทั้งหมด 3 ชั่วโมง 40 นาที
หรือก็ประมาณ 4 ชั่วโมงค่ะ
ป้าย Check-in ด้านบนค่ะ
พอมาขึ้นด้านบนปุป อย่างแรกคือขอพักก่อนค่ะ เหนื่อยมากกกกกก
แล้วก็มาถ่ายรูป Check-in กันสักนิดหนึ่ง 5555555
รถกระบะของเจ้าหน้าที่ ที่ไว้ขนดิน ขนทราย
จากจุดป้าย Check-in ต้องเดินต่อเพื่อเข้าไปยังจุดกางเต้นท์นะคะ
ซึ่งเราไม่ต้องเดินจ้า อย่างที่เราบอกว่าตอนไปคนน้อยมาก
และทางอุทยานมีรถที่ไว้ใช้ขนดิน ขนทราย เข้าออกอยู่แล้ว
ก็เลยติดรถของทางเจ้าหน้าที่เข้าไปที่จุดกางเต้นท์ค่ะ
พอมาถึงต้องมาติดต่อบ้านพักก่อนค่ะ
ซึ่งจริงๆ คือเราจองบ้านพักไว้ แต่ทางเจ้าหน้าที่ติดต่อมาว่า
บ้านพักที่จอง มีการพ่นยา ตอนเรามาติดต่อ เราก็นึกว่าเขาได้มีการให้ข้อมูลกับตรงที่ติดต่อไว้แล้ว ปรากฏว่า ได้เป็นบ้านพักที่จองไว้ที่มีการพ่นยาฆ่าแมลงค่ะ
บ้านพักหลังที่จองไว้
ตอนที่เข้าไปในบ้านพัก ประตูคือเปิดไว้อยู่แล้วค่ะ
ในบ้านคือกลิ่นยาฆ่าแมลงหนักมากกกกกกกกกกกก อยู่ไม่ได้อะ
แล้วน้ำประปาในบ้านคือกลิ่นเหมือนมีสัตว์ตายอะ เหม็นมาก
พี่ที่ไปด้วยเลยแอบลองไปเปิดน้ำที่บ้านอื่น ปรากฏว่าน้ำปกติ แต่บ้านนี้ไม่ปกติ
ก็เลยไปติดต่อ ตรงศูนย์นักท่องเที่ยวใหม่
บ้านพักหลังใหม่
ปรากฏเขาไม่ยอมให้เปลี่ยนค่ะ แล้วก็บอกว่าน้ำประปาเป็นแบบนี้อยู่แล้ว
ซึ่งเราแอบไปเปิดบ้านอื่นแล้วไง มันไม่มีกลิ่นเหม็นอะไรเลย
แล้วก็คือ เจ้าหน้าที่ที่ประจำตรงนั้น พูดจาไม่ดีเลย พูดจาแย่มาก
ทั้งที่เราไม่ได้พูดจาไม่ดี หรือขึ้นเสียงอะไรทั้งนั้นเลย
ที่นี่ก็เลยลองโทรไปเบอร์ที่ ก่อนหน้านี่โทรมาแจ้งเรื่องบ้านพักค่ะ
ภายในบ้านพัก
สรุปแล้วก็คือได้เปลี่ยนค่ะ พนักงานที่โทรมาแจ้งเรื่องบ้านพัก
ได้โทรไปหาพนักงานที่ประจำตรงศูนย์นักท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่เลยยอมเปลี่ยนให้
ซึ่งไม่งั้นก็ต้องเถียงอีกนานมาก เพราะนางไม่ยอมให้เปลี่ยน และพูดจากแย่ๆใส่ตลอด ความรู้สึกตอนนั้นแบบไม่สนุกแล้วอะ
ทำไมฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยยยยยยยยยย
ลืมบอก บ้านพักที่เราจอง 3 วัน 2 คืน 2,520 บาท พักได้ 6 คนค่ะ
(ปกติคืนละ 1,800 บาท ซึ่งรวม 2 คืนต้อง 3,600 บาท แต่ว่ามีส่วนลด 1,080 บาทให้ด้วยค่ะ เราจองผ่านเว็ปไซด์ของอุทยานนะ)
พอได้บ้านพักปุป ก็คือนอนเลยค่ะ ตื่นอีกที 4 โมงเย็นกว่าๆเลย
จะขี่จักรยานไป หล่มสัก ปรากฎว่า มันเย็นเกินกว่าจะให้ขี่จักรยานไปแถวนู่น
เจ้าหน้าที่ก็ให้ขี่ไปตรงผาหมากดุกแทนค่ะ
จักรยานเสือภูเขา
เนื่องจากเวลามันเหลือน้อยมากในการปั่นจักรยาน
เจ้าหน้าที่เลยคิดคันละ 60 บาทค่ะ ลดราคาให้
ที่ปั่นจักรยาน เพราะพี่ที่ไปด้วยบอกว่าปั่นจักรยานดีกว่า จะได้ไม่ต้องเดิน
ประหยัดเวลากว่า อะไรแบบนี้
ฉันไม่เคยมา พี่บอกอะไรดี ฉันก็เชื่อหมดจ้า
ทางในการปั่นจักรยาน
อยากแนะนำทุกคนตรงนี้เลยว่า อย่าปั่นจักรยานค่ะ !!!!!!!
ทางที่ปั่นมันเต็มไปด้วยรากไม้ หินต่างๆ แล้วบางช่วงเป็นทราย
การปั่นจักรยานบนพื้นแบบนี้คือก้นมันกระแทกกับเบาะเยอะมาก มันเจ็บมาก
แล้วการปั่นตรงพื้นที่เป็นทรายมันจะหนักมาก คือขาเราจะยิ่งใช้เยอะเกินไป
มันล้ามาก คือแนะนำว่าไม่ควรปั่นเป็นอย่างยิ่งเลยค่ะ
ซึ่งตอนที่ปั่นตอนเย็นวันนี้ ขามันใช้เยอะมากจากการปั่นจักรยานค่ะ
แต่ด้วยความที่ระยะทางมันไม่ได้ไกลมาก แล้วอีกวันพี่ที่ไปด้วยบอกให้ปั่นไปหล่มสัก เราก็เลย เออได้
ซึ่งถ้ารู้เรื่องทางการจะไม่ปั่นเด็ดขาดเลยค่ะ ค่าเช่าก็แพง เสี่ยงตายอีกตังหาก
หมูกระทะ 1 ชุด ราคา 500 บาท
ตอนเย็นก็ปิดท้ายด้วยหมูกระทะะะะะะะะะะ
นี้คือพ้อยหลักของการมาเดินขึ้นเขาของเราเลย 555555
หมูกระทะท่ามกลางอากาศเย็นๆ คือ the best!!!!
ไม่รู้ว่าเพราะหิวหรือว่าอะไร แต่ก็คืออร่อยค่ะ 55555
หมูกระทะจะเยียวยาทุกอย่างเองค่ะ
กินเสร็จก็อาบน้ำนอน พรุ่งนี้เตรียมลงเขา ^^
(ตอนแรกเราจองมา 3 วัน 2 คืนนะ แต่เดือนมีนาคม มีช้างป่า ทำให้จุดท่องเที่ยวปิดไปหลายจุดมาก ก็คือไม่มีอะไรทำ ก็เลยตัดสินใจว่า ลงเขาแล้วไปเชียงคานดีกว่า)
อาหารยามเช้า
อาหารเช้าเราเลือกร้านที่ไม่มีคนเข้าค่ะ ในหัวตอนนั้นคือคิดว่าอยากกระจายรายได้
แบบกินร้านอื่นที่ไม่ซ้ำกับร้านเมื่อคืน
ปรากฏว่า ก็คือเข้าใจละว่าทำไมร้านเมื่อคืนขายดีอยู่ร้านเดียว
เพราะร้านนี้รสชาติเป็นแบบเค็มนำ แล้วก็เค็มตาม 555555
ไม่เป็นไรค่ะ กินเพื่ออยู่
เค็มไม่ไว้จนสั่งขนมปังปิ้งเพิ่มละกัน T^T
จักรยานที่ได้วันที่ 2 เป็นแบบล้อใหญ่
กินข้าวเสร็จ เตรียมตัวให้เรียบร้อย ก็พร้อมไปปั่นจักรยานก่อนกลับค่ะ
เงื่อนไขในวันนี้คือต้องปั่นให้เสร็จก่อนบ่าย2 เพราะทางอทุยานห้ามลงเขาหลังบ่าย 2 ค่ะ
ทางเจ้าหน้าที่เลือกจักรยานแบบล้อใหญ่กว่าเมื่อวาน เพราะจะได้ยึดเกาะดีขึ้น
ราคาเช่า คันละ 410 บาท
บอกเลยว่านี้คือการตัดสินใจที่ผิดพลาดมาก และเสียดายเงินมาก
ส่วนตัวคิดว่าค่าเช่าจักรยานแพงนะ แต่ทุกคนในกลุ่มจะขี่ก็ต้องตามน้ำ
ทางในการปั่นยิ่งกว่าเมื่อวานค่ะ ขุรขระกว่าเดิม ทุกอย่างมันแย่มาก
แล้วบางช่วงมันลาดลง คือจักรยานพุ่งแรงมาก ข้างก็คือเป็นเหวลงไป
เสี่ยงตายมากแก จังหวะนั้นอะ คิดเลยนะว่าตกไป ถ้าตายพ่อแม่จะรู้ไหม
ใครจะทำงานแทนฉันวะ ที่ทำงานจะรู้ใช่ไหมว่าฉันไปแล้ว
หัวคิดแต่เรื่องนี้เลยค่ะ ตอนนั้นคือรู้สึกเสี่ยงตายจริงๆ
เราอะรู้สึกว่าไม่โอเคมากๆละตอนปั่น แล้วอย่างที่บอกว่าบางช่วงมันเป็นทราย
คือเป็นการปั่นที่หนักมาก เหนื่อยมาก ร้อนมาก
จนสุดท้าย เราล้มไปเลยค่ะ เพราะรากไม้มันเยอะมาก สละยานทันที
แล้วเอามือยันตอนล้ม ได้แผลมา และมือที่เจ็บลามไปทั้งแขน
ล้มปุป เราบอกทุกคนว่า ปั่นต่อไปเลย เราจะปั่นกลับไปรอตรงจุดลงเขา 55555
จุดนั้นคือคิดว่าตัวเองไปต่อไปได้ละ เราต้องแยกละ เพื่อเซฟร่างกายตัวเอง
เพราะวันนี้ยังต้องเดินลงอีกนะ ก็เลยแยกเลยค่ะ
พอนั่งรอที่จุดลงอยู่ พี่อีก 2 คนที่ไปด้วยก็โทรมาบอกให้เราเดินลงไปก่อนได้เลยค่ะ
เพราะจะได้เดินชิลๆ ไม่ต้องรีบเดิน เพราะกว่าจะปั่นกลับมาน่าจะอีกนาน
เราก็เลยเดินคนเดียวชิลๆค่ะ แต่ก็คือมันเดินในป่าคนเดียว เงียบมาก ไม่มีคนเลย
ประสบการณ์มากๆ 555555
อาหารกลางวันของฉันนนนน
อยากบอกว่าขาลงเร็วกว่าขาขึ้นอีกค่ะ คือเราเดินแบบไม่พักเลย
มาที่ซำแรกที่มีจุดขายอาหารเลย แล้วกินเสร็จนั่งรอพี่อีก 2 คน
แล้วก็เดินต่อยาวๆ ถึงข้างล่างเลยค่ะ
ปรากฏว่า พี่ 2 คนที่ปั่นจักรยานไปต่อ เขาบอกว่าเขาคิดผิดมากค่ะที่ไปต่อ
เพราะทางคือแย่กว่าเดิม เสี่ยงตายกันสุดๆ
(ทางที่ปั่นจักรยานต้องเป็นทางที่เลียบเขาค่ะ)
แต่ก็คือพวกเราไปดูกุหลาบพันปีกันมาค่ะ ก็เลยถ่ายรูปมาฝาก ^^
ก็เป็นการเดินขึ้นภูกระดึงครั้งแรกของเรา ที่แบบก็สนุกนะ
แต่อาจจะเรื่องช่วงเวลาที่ผิดมั้ง แต่คนเยอะเราก็ไม่ชอบอีก 55555
ต่อไปนี่คือคำแนะนำจากเราค่ะ
+ ถ้าเป็นคนชอบกินน้ำเย็นแบบเรา ติดกระติดน้ำไว้ด้วยก็ดีค่ะ แวะเติมน้ำแข็งได้ตามซำต่างๆ
+ ผ้าเย็นที่ขายตามซำ คือไอเท็มที่คุณควรเสียตังซื้อ มันได้ใช้จริงๆ
+ ถ้าไปหน้าร้อนความพกอุปกรณ์คลายร้อนต่างๆ ไปด้วย
+ ของทุกอย่างที่ติดกับตัวเรา ควรมีน้ำหนักเบา
+ สำหรับเราตอนที่ไปกล้องไม่ค่อยได้ใช้เลยค่ะ ใช้มือถือถ่ายอย่างเดียวเลย
+ สิ่งที่ควรเตรียมไปให้เยอะ คือ เงิน ค่ะ ทุกอย่างบนนี้แพง (แต่ก็เข้าใจนะ มันเอาขึ้นมาลำบากมาก)
+ ของใช้ทุกอย่างควรมีขนาดแบบพกพา และน้ำหนักเบา เลือกแต่ของที่จำเป็น (อันนี้คือกระเป๋าใส่เสื้อผ้าที่ให้ลูกหาบนะ) เพราะตอนขึ้นไป มันจะอยากพักมากกว่ามานั่งทาครีมหลายๆตัว และอีกอย่างคือประหยัดค่าจ้างลูกหาบในการแบกกระเป๋าขึ้นด้วย (อันนี้ความคิดส่วนตัวนะ แต่ถ้าใครยังอยากเอาของไปเผื่อ และเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา เอาไปก็ได้ค่ะ)
ทริปนี้ก็คือจบที่ก้นเจ็บ มือเจ็บ ขาเจ็บจากการปั่นจักรยาน
แล้วก็เนื้อตรงนิ้วเท้าพองทั้ง 2 ข้าง 555555
บาดเจ็บกันไปค่ะ
สุดท้านนี้ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ :)
โฆษณา