30 เม.ย. 2021 เวลา 04:46 • หนังสือ
📚 รีวิวหนังสือ The Power Of Ignorance ”พลังแห่งความไม่รู้” จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนโลก 📚
The Power Of Ignorance ❓
How Creative Solutions Emerge When We Admit What We Don’t Know
เขียนโดย Dave Trott
……………..
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มใหม่ล่าสุดของ Dave Trott นักเขียนมากความสามารถที่เขียนหนังสืออันโด่งดังอย่าง “The Predatory Thinking” หรือ “One Plus One Equals Three” โดยทั้งสองเล่มนี้มีแปลไทยแล้วนะครับ
ใครที่เคยอ่านหนังสือของ Dave Trott ก็จะพอทราบครับว่าเค้าจะเขียนเน้นในการเอาเรื่องราวแปลก ๆ ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยมาเล่าเป็นตอนสั้น ๆ โดยแต่ละตอนก็จะมีข้อคิดโดยเค้าจะเน้นหนักไปในเรื่องของการคิดแบบสร้างสรรค์ หรือ “creative thinking” ว่ามันเปลี่ยนโลกหรือทำให้เกิดเรื่องที่ไม่น่าเชื่อได้ยังไง
1
เนื่องจากผู้เขียนทำงานเป็น creative director แล้วก็ copywriter ด้วย ก็เรียกได้ว่าคร่ำหวอดอยู่ในวงการโฆษณาเค้าจึงมีการโยงแนวคิดต่าง ๆ ไปเปรียบเทียบกับวงการโฆษณาอยู่เรื่อย ๆ
ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าบางเรื่องเล่าของเค้านี่เค้าไปหามาจากไหนกัน เพราะเป็นเรื่องที่แปลกมากและเราไม่เคยได้ยินมาก่อน เรียกได้ว่าเค้าเป็นคนที่หาข้อมูล ประวัติศาสตร์ต่าง ๆ มาเป็นอย่างดีเพื่อมาเล่าเรื่องเหล่านี้ในหนังสือของเค้า
1
💡 โดยธีมหลักของหนังสือเล่มนี้จะมาพูดในเรื่องของ “ความไม่รู้” ที่หลายคนอาจจะไม่เชื่อว่า ความไม่รู้นี่แหละครับเปลี่ยนโลกเรามามากมาย!
“You must empty your mind before it can accept anything new”
คุณต้องทำจิตใจคุณให้ว่างก่อนที่จะพร้อมเรียนรู้หรือเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ครับ 🧘🏻‍♂️
……………..
“The answer asks the question” ❓
👉🏻 คงมีหลาย ๆ ครั้งที่เรารู้สึกอายหรือรู้สึกว่าเรานี่โง่จัง ดูไม่ฉลาดเลยเวลาเราจะถามคำถามอะไรที่เป็นเรื่องง่าย ๆ แต่มันเป็นเรื่องที่เราไม่รู้ ถูกมั้ยครับ?
ผู้เขียนเล่าว่ามีเหตุการณ์เมื่อปี 1942 ที่สหราชอาณาจักรแพ้สงคราม ทำให้ต้องทำการฝึกฝนเพื่อหาวิธีทำลายเรือดำน้ำของฝั่งตรงข้ามให้ได้ โดยเค้าได้เชิญทั้งนาวิกโยธินทั้งหลายทั้งที่มีประสบการณ์เยอะ ๆ รวมไปถึงนาวิกโยธินสตรี (หรือที่เรียกว่า “Wrens”) ที่แทบไม่มีประสบการณ์เลยมาร่วมฝึก
เนื่องจากนาวิกโยธินสตรีเหล่านั้นแทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเรือดำน้ำเลยทำให้มีคำถามมากมาย เมื่อเจ้าหน้าที่นาวิกโยธินพยายามหาคำตอบเพื่อที่จะตอบสตรีเหล่านั้นทำให้เค้าได้มองกลับไปเห็นวิธีการต่อสู้หลาย ๆ อย่างที่เค้ามองข้ามไปแต่แรก หากเค้าไม่ได้ถูกถามจากสตรีเหล่านั้นเจ้าหน้าที่นาวิกโยธินก็คงไม่ได้คิดวิธีการโจมตีเรือดำน้ำในวิธีการใหม่ ๆ ได้
1
📍 ผู้เขียนได้สรุปให้ฟังว่า “การถามคำถามนั้นไม่ได้เป็นอะไรที่โง่เขลาเลยแต่มันยังช่วยทำให้เราคิดอะไรใหม่ ๆ ได้ด้วยซ้ำ”
……………..
“Don’t outplay them, out-think them” ⚽️
หลายคนที่เป็นแฟนฟุตบอลอาจจะจำการแข่งขันนัดสำคัญระหว่างทีมสโมสรลิเวอร์พูลจากอังกฤษกับสโมสรบาร์เซโลน่าจากสเปนเมื่อปี 2019 ในการแข่งขันรายการยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก โดยการแข่งขันนัดแรกนั้นลิเวอร์พูลบุกไปแพ้บาร์เซโล่น่าที่สเปนก่อนด้วยสกอร์ถึง 0-3 ทำให้ความหวังในการเข้ารอบของลิเวอร์พูลนั้นค่อนข้างริบหรี่เพราะต้องกลับมาเล่นในถิ่นตัวเองเพื่อชนะบาร์เซโลน่าที่เรียกว่าเป็น “ทีมจากต่างดาว” ให้ได้ถึง 4-0 ถึงจะเข้ารอบต่อไปได้
3
ซึ่งก่อนการแข่งขันสโมสรลิเวอร์พูลมีการศึกษาคู่แข่งอย่างละเอียดเพื่อวางแผนและหาจุดอ่อนของทีมยักษ์ใหญ่จากสเปนให้ได้ โดยสตาฟโค้ชได้สังเกตเห็นว่า นักเตะของบาร์เซโลน่ามักจะมีการโต้แย้งหรือเถียงกรรมการอยู่เป็นประจำหากเค้าเสียประโยชน์ ซึ่งเป็นการกดดันกรรมการที่ลังเลให้ตัดสินให้ทีมตัวเองได้ประโยชน์ได้บ่อยครั้งทีเดียว
เมื่อเห็นเช่นนั้นทีมงานจึงไปบอกผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูลว่าช่วงเวลาที่นักเตะเข้าไปโต้แย้งกรรมการนี่แหละเป็นจุดที่ทำให้นักเตะจากแดนสเปนไม่มีสมาธิกับการเล่น จึงควรวางแผนโจมตีเร็วในจังหวะเหล่านี้ ทำให้ทางทีมลิเวอร์พูลทำการซ้อมเล่นเร็วรวมไปถึงการเตรียมซ้อมให้ ”เด็กเก็บลูกฟุตบอล” ที่ข้างสนามนั้นเตรียมลูกฟุตบอลไว้คืนให้นักเตะลิเวอร์พูลเล่นต่ออย่างรวดเร็วเวลาลูกออกไปเพื่อที่จะโจมตีทีมคู่แข่ง
และในวันแข่งจริงสิ่งที่ทุกคนบอกว่ามันคือปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น ลิเวอร์พูลนำบาร์เซโลน่าไป 3-0 และขอยิงเข้าอีกแค่ประตูเดียวก็จะได้เข้ารอบต่อไป
👉🏻 สุดท้ายลิเวอร์พูลมาได้ประตูที่ 4 จริง ๆ จากจังหวะเล่นเร็วจากลูกเตะมุมที่เด็กเก็บบอลรีบเอาลูกบอลกลับมาให้นักเตะลิเวอร์พูลเล่นเร็วและได้ประตูชนะบาร์เซโลน่าเข้ารอบไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
📍 หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องโชคช่วยแต่ไม่รู้ว่าเบื้องหลังนั้นคือการทำงานที่ละเอียดและมองเห็นจุดที่คนอื่นมองไม่เห็นของสตาฟโค้ช ซึ่งอันนี้แหละครับเค้าบอกว่าเป็น “Genius”
1
“Talents hit a target no one else can hit, Genius hits a target no one else can see”
1
……………..
“Mona Lisa” 💁‍♀️
เชื่อมั้ยครับว่าภาพวาด “โมนาลิซ่า” ที่ทุกคนรู้จักและโด่งดังที่สุดในโลกนั้นโด่งดังเนื่องมาจากความไม่รู้...🤨
ภาพวาดภาพนี้เป็นภาพวาดภรรยาของนักธุรกิจชาวอิตาเลียนคนหนึ่งที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ภาพก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย ซึ่งภาพนี้ได้ถูกนำไปแสดงในพิพิธภัณฑ์ Louvre ที่ประเทศฝรั่งเศส โดยเป็นภาพที่วางระหว่างภาพวาดขนาดใหญ่ 2 ภาพ โดยแรกเริ่มก็ไม่ได้มีใครสนใจเลย
แต่เมื่อมีการโจรกรรมเกิดขึ้นในพิพิธภัณฑ์ Louvre ภาพวาดภาพนี้ได้ถูกขโมยไปด้วยขนาดที่ไม่ใหญ่เกินไปที่ขโมยจะเอาออกไปได้ด้วยการซ่อนไว้ในเสื้อโค้ท
1
จนกระทั่งวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่ก็มาสังเกตเห็นว่ามีภาพวาดขนาดเล็กหายไป ซึ่งภาพวาดอันอื่นที่โด่งดังมากมายยังอยู่ครบ เค้าแลยคิดว่า แสดงว่าภาพวาดอันนี้ต้องมีมูลค่ามากแน่ ๆ ขโมยถึงเอาแต่ภาพวาดอันนี้ไป!
1
เมื่อข่าวการโจรกรรมเผยแพร่ออกไป ทำให้คนมากมายอย่างเห็นภาพวาดภาพนี้ว่ามันคือภาพวาดอะไรกันถึงมีค่าขนาดนี้ หลังจากนั้นก็ทำให้ภาพวาดที่มีชื่อว่า “โมนาลิซ่า” โด่งดังและมีผู้คนกล่าวถึงและอยากเข้ามาดูเป็นอย่างมาก
ผู้เขียนบอกว่าทุกวันนี้มีคนมากกว่า 6 ล้านคน! ไปยังพิพิธภัณฑ์ Louvre เพื่อดูภาพวาดอันนี้ครับ
💡 มนุษย์เรานั้นมักจะต้องการหรืออยากได้อะไรที่เราไม่มีหรือหาได้ยากครับ อันนี้เค้าเรียกว่า “scarcity heuristic”
ทุกวันนี้เราเจอเหตุการณ์แบบนี้เยอะมากครับ ร้านอาหารที่คนต่อคิวจำนวนมาก อะไรที่คนมุงดูต่อกันจำนวนมาก เรามักจะคิดว่ามันต้องดีแน่ ๆ เลย อาหารร้านนั้นต้องอร่อยสุด ๆ แน่ ๆ เลยถูกมั้ยครับ แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อครับ? คนก็จะไปต่อคิวกันต่อไปเรื่อย ๆ จนคนที่ผ่านไปมาเห็นก็อยากจะต่อคิวด้วยไปเรื่อย ๆ ครับ
1
……………..
“Experts” 🧑🏻‍🔧
หลายคนคงรู้จัก “เหตุการณ์นิวเคลียร์ระเบิดที่เชอร์โนบิล (Chernobyl)” เป็นอย่างดีนะครับว่าเป็นมหันตภัยนิวเคลียร์ระเบิดที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้
แต่มีอีกเหตุการณ์หนึ่งครับที่เกือบจะใกล้เคียงกันคือเหตุการณ์ที่ “Windscale” ที่สหราชอาณาจักรครับ 🇬🇧
ผู้เขียนเล่าว่าตอนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ “Windscale” นั้นมีทีมงานคนหนึ่งได้ยกประเด็นเรื่องอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ใช้สำหรับกรองและกันสารกัมมันตภาพรังสีในกรณีที่มันเกิดรั่วขึ้นมาก่อนที่จะปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศหรือเรียกว่า “filter” และได้ยกประเด็นไปปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายต่างบอกว่า เตาปฏิกรณ์ (reactor) นั้นได้ถูกออกแบบบได้ปลอดภัยดีแล้ว มันไม่จำเป็นต้องมี filter อีก อีกทั้งมันยังมีราคาที่สูงและทำให้เสียเวลาในการก่อสร้างด้วย 🏭
แต่ John Cockcroft ที่เป็นผู้อำนวยการของหน่วยงานนี้ก็ได้โต้แย้งและได้สั่งให้ติดตั้ง filter ขนาดใหญ่สองตัวบนปล่องระบายของโรงไฟฟ้า โดยถูกล้อเลียนว่าเป็น “Cockcroft Follies” คือประมาณว่าติดอะไรก็ไม่รู้ขนาดใหญ่ที่ไม่มีประโยชน์
👉🏻 ใครจะไปเชื่อหละครับว่าในปี 1957 ดันเกิดการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสีออกมาจริง ๆ ซึ่งมีสาร Iodine-131 ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์อย่างมาก แต่ filter ทีได้ถูกติดตั้งไว้สามารถดักจับสารกัมมันตภาพรังสีไว้ได้ถึง 95% ทำให้เหตุการณ์ครั้งนั้นผ่อนจากหนักเป็นเบาโดยไม่มีคนเสียชีวิตเลย มีเพียงคนที่ได้รับสารกัมมันตภาพรังสีที่ต้องคอยระวังผลกระทบเพียง 37 คน เทียบกับเหตุการณ์ที่เชอร์โนบิลที่มีคนเสียชีวิตทันทีถึง 47 คน และได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนั้นจำนวนมหาศาล
📍 จะเห็นได้ว่า John Cockcroft ที่ภายหลังได้รับการแต่งหลังเป็น Sir John Cockcroft นั้นเลือกที่จะเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองมากกว่าที่จะเชื่อผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้น ซึ่งทำให้เรารู้ว่าบางทีเราก็รู้ดีกว่าผู้เชี่ยวชาญก็เป็นได้
💡 นอกจากนี้เค้ายังบอกอีกว่าในการจ้างหรือปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้น ให้เราปรึกษาว่าทำอย่างไร (how) มากกว่าจะปรึกษาว่าจะทำอะไร (what) เราควรจะรู้ดีที่สุดว่าเราควรจะทำอะไรมากกว่าจะไปถามคนอื่นครับ
2
……………..
“Oxford Dictionary” 📕📘📕
ปี 1879 John Murray ได้มีความคิดที่จะทำ dictionary ขึ้นมาครับ ที่มีชื่อว่า “Oxford Dictionary”
แต่ความยากมันอยู่ที่เค้าต้องเอาหนังสือทุกเล่มที่มีมาจดคำศัพท์ทุกคำเพื่อรวบรวมทำ Dictionary ซึ่งเป็นงานช้างมาก ๆ ทำให้เค้าต้องประกาศหาอาสาสมัครที่คอยมาช่วยอ่านหนังสือแล้วจดคำศัพท์ที่เจอทั้งหมด ถึงจะมีคนอาสามาช่วยทำมากมายจากที่ประกาศไปแต่ก็ดูเหมือนความหวังที่จะทำสำเร็จนั้นดูริบหรี่เหลือเกิน
จนกระทั่งเค้าได้รับจดหมายและพัสดุตอบกลับจากดอกเตอร์ W.C. Minor ซึ่งได้ส่งสิ่งที่เค้าจดรวบรวมคำศัพท์ปริมาณมหาศาลกลับมาหาเค้าด้วยความน่าทึ่งที่ว่ามันเยอะมากจนไม่น่าเชื่อว่าต้องใช้เวลาขนาดไหนถึงจะทำได้ขนาดนี้
ซึ่งภายหลัง John ได้มารู้ว่าดอกเตอร์ Minor นั้นเป็นผู้ป่วยทางจิตที่เป็นฆาตกรที่เคยก่ออาชญากรรมมาแล้ว 😱
2
สิ่งที่ไม่น่าเชื่อคือการที่เค้ามีอาการทางจิต มีอาการหมกมุ่น มีเวลามากมายเนื่องกจากเค้าอยู่ในคุกที่ไม่มีอะไรทำ กับกองหนังสือจำนวนมากมาย นอกจากนี้เค้ายังเป็นคนที่มีการศึกษาที่ดีมากทำให้เค้าเป็นคนที่เหมาะกับการทำงานจดคำศัพท์นี้มากที่สุด
1
โครงการทำ Oxford Dictionary คงไม่มีทางที่จะสำเร็จได้หากปราศจากความหมกมุ่นของอาชญากรอย่างดอกเตอร์ Minor
1
📍 ผู้เขียนได้กล่าวสรุปไว้ว่า “ความคิดที่ดี ๆ นั้นไม่ได้ขึ้นกับว่ามาจากใครหรอก เราควรตัดสินความคิดจากคุณภาพของความคิดนั้น ๆ ไม่ใช่จากที่มาของมัน”
2
“A good idea doesn’t care who has it”
……………..
“Brevity equals clarity” 👍🏻
ผู้เขียนได้บอกว่าในทุกวันนี้น้อยครั้งนักที่คนเรามักจะตอบหรือพูดอะไรสั้น ๆ เช่น ใช่ หรือ ไม่ใช่ เรามักจะบรรยาย สาธยายด้วยบริบทอื่นอีกมากมาย
ผู้เขียนบอกว่าตัวเค้านั้นมักจะพบว่าการพูดเยอะนั้นตรงกันข้ามกับการกระทำเลยครับ คือพูดเยอะมักทำน้อย
1
เค้าเล่าเรื่องราวสงครามครั้งหนึ่งที่ Spartans ต้องสู้รบกับกษัตริย์ Phillip II ของมาเซโดเนีย ในขณะที่เมืองส่วนใหญ่ของกรีกยอมแพ้แทบจะหมดแล้ว กษัตริย์ Phillip II ได้ส่งข้อความขู่ให้กองกำลังของ Sparta ยอมจำนนเสียโดยดีดังนี้ครับ
“If I win this war, you will be slaves forever. You are advised to submit without further delay, for if I bring my army into you land, I will destroy your farms, slay your people and raze your city”
ฝั่ง Spartan ตอบกลับไปด้วยคำ ๆ เดียวว่า
“If”
หลังจากนั้นกษัตริย์ Phillip II ก็ไม่กล้าที่จะบุก Sparta ตลอดสงครามครั้งนั้นเลยครับ
📍 ประมาณว่า “พูดน้อยแต่ต่อยหนัก” ครับ สั้น ๆ อาจมีความหมายที่ชัดเจนมากกว่าการใช้คำพูดยาว ๆ
1
……………..
“Customer Disservice” 👨🏻‍💻
หลายคนอาจจะรู้จัก ปืนสไนเปอร์ (sniper) จากในหนังพวกสงครามกันนะครับ เค้าบอกว่าปืน Barrett M107 เป็นปืนสไนเปอร์ที่ดีที่สุดในโลก 💥
กองทัพของสหรัฐอเมริกา 🇺🇸 นั้นได้ใช้ปืนชนิดนี้ในสงครามที่อัฟกานิสถาน มีครั้งหนึ่งที่ปืนดันขัดยิงไม่ได้ขณะกำลังมีการยิงปะทะกันอยู่เลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ทหารไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด
ทันใดนั้นมีทหารหนุ่มคนหนึ่งคิดในสิ่งที่คาดไม่ถึง คือ เค้าโทรหาบริษัทผู้ผลิตปืนครับ ซึ่งก็คือ “Barrett Firearms Manufacturing” ซึ่งเค้าได้คุยกับแผนก customer service 📞
โดยคนที่แผนก customer service ที่ชื่อ Don Cook พยายามถามถึงปัญหาที่เกิดขึ้น โดยทหารหนุ่มคนนั้นเองก็ไม่แน่ใจหรอกครับว่าจะทางบริษัทจะช่วยได้รึเปล่าแต่เหมือนเค้าจะไม่มีทางเลือกแล้วในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนั้น
1
แต่ Don Cook เจ้าหน้าที่ให้บริการสามารถวิเคราะห์จากปัญหาที่ได้รับฟังและแนะนำวิธีแก้ไขจนปืนสามารถใช้ยิงได้ โดยกระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที!
นี่แหละครับที่เค้าเรียกว่า “customer service” 👍🏻
เค้าบอกว่าคนอเมริกันนั้นมักจะโทรหา customer service เมื่อพบปัญหาในสินค้าและการใช้งาน ซึ่งมักจะได้รับบริการที่ดี ต่างกับในอังกฤษที่ผู้เขียนบอกว่ามักจะโทรไปไม่ติดบ้าง สายไม่ว่างบ้าง
ผลการสำรวจของ American Express บอกว่าลูกค้ายินดีที่จะจ่ายค่าบริการเพิ่มขึ้นหากได้รับบริการที่ดีขึ้น
📍 ดังนั้นให้เราให้ความสำคัญกับการบริการลูกค้าครับเพราะมันสำคัญพอ ๆ กับการผลิตสินค้าที่ดีหรือราคาที่ดีกับลูกค้าเลยครับ
1
……………..
“You can’t not have a brand” 👚👕
มีใครทราบบ้างมั้ยครับว่า แบรนด์เสื้อผ้ารวมไปถึงสินค้าอื่น ๆ ด้วยที่มีชื่อว่า “Muji” เริ่มจากการที่ไม่ต้องการมีแบรนด์ครับ เราจะสังเกตเห็นว่าในสินค้าของเค้าจะค่อนข้างเรียบง่าย ไม่มีโลโก้ของแบรนด์ประทับอยู่เลย หรือพูดแบบตามสไตล์ของแฟชั่นที่เค้าเรียกว่า “Minimalism”
💡 แบรนด์ “Muji” นั้นมาจากชื่อเต็มคือ “Mujirushi Ryohin” ซึ่งแปลว่า “brandless quality goods” ก็คือสินค้าคุณภาพดีที่ไม่มีแบรนด์นั่นเอง โดยคอนเซ็ปของเค้าคือ การไม่ต้องมีแบรนด์สินค้าซึ่งทำให้ลูกค้าไม่ต้องมาจ่ายราคาสินค้าที่รวมค่าแบรนด์ของสินค้าไปด้วย ดังนั้นในป้ายสินค้าเค้าจึงแปะแค่คำว่า “Muji” ที่แปลว่า “no brand” นั่นเอง 😲
ซึ่งสินค้าของ “Muji” นั้นกลายเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากทั่วโลกเลยทีเดียว ทำให้การไม่มีแบรนด์นั้นกลายเป็น “premium brand” ไปเลย
📍 ซึ่งเค้าบอกว่าจริง ๆ แล้วแบรนด์มันก็คือภาพจำของสินค้านั้น ๆ ที่คนเราจำได้นั่นเอง เราไม่จำเป็นต้องไปป่าวประกาศว่าแบรนด์ของเราคืออะไร เป็นอะไร เพราะสุดท้ายคนที่จะตัดสินว่าแบรนด์ของเราคืออะไร เป็นอะไรนั้นก็คือลูกค้าเองครับ
“Products build brands, brands don’t build products”
1
……………..
“A solution is just a new problem” 🌴
Sten Gustaf Thulin เป็นวิศวกรชาวสวีเดนที่คิดค้นถุงพลาสติกเข้ามาใช้แทนถุงกระดาษที่ใช้กันในสมัยก่อนและเป็นเหตุให้ต้องตัดต้นไม้ไปจำนวนมาก
นับถึงปี 2018 ถุงพลาสติกปริมาณมากถึง 1 ล้านล้านถูกใช้ในทุก ๆ วันและมีจำนวนน้อยกว่า 1 % เท่านั้นครับที่ได้รับการนำกลับไปรีไซเคิล ซึ่งเราทราบกันดีว่าขยะพวกนี้เป็นปัญหาใหม่ของโลกเรา
เมื่อไม่นานมานี้เราก็จะเห็นการรณรงค์ให้ใช้ถุงผ้าที่สามารถใช้ซ้ำแทนถุงพลาสติกใช่มั้ยครับ แต่เราทราบมั้ยครับว่ามีองค์กรที่ให้ข้อมูลว่าถุงผ้าคอตตอนนั้นอันตรายต่อโลกเรามากกว่าถุงพลาสติกเสียอีกในมุมมองของ climate change ปริมาณน้ำที่ต้องใช้ รวมถึงมลภาวะทางอากาศและสารพิษที่เกิดขึ้น!
👉🏻 เมื่อมีการเปรียบเทียบอายุการใช้งานกันระหว่างถุงกระดาษ ถุงผ้าคอตตอนและถุงพลาสติกกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนั้นพบว่า ถุงกระดาษต้องมีการใช้ซ้ำ 7 ครั้ง ส่วนถุงผ้าคอตตอนต้องใช้ซ้ำถึง 327 ครั้ง ถึงจะไม่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเท่าถุงพลาสติก 😱
📍 จะเห็นได้ว่าไม่ว่าเราจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นโดยการเปลี่ยนจากการใช้ถุงกระดาษมาเป็นถุงพลาสติกหรือเปลี่ยนไปใช้ถุงผ้ามันก็เกิดปัญหาใหม่อีกแง่มุมหนึ่งขึ้นมาเสมอ และนี่แหละครับคือโลกแห่งความเป็นจริง
……………..
“Meat VS Metal”
พูดถึงการตั้งค่า password ของเราในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆ ในปัจจุบันเราจะเห็นว่ามีการบังคับให้เราใส่อักขระซึ่งประกอบด้วย ตัวอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ (Capital Letter), สัญลักษณ์ (symbol), ตัวเลข (number) อย่างน้อยหนึ่งตัวถูกมั้ยครับ และ password มักจะต้องเปลี่ยนทุก ๆ 90 วัน หรือ 3 เดือน 💻
ก็ดูเหมือนว่าการตั้งค่า password ลักษณะนี้ก็น่าจะแข็งแรงมากและก็ยากที่ใครจะสามารถแกะ หรือ hack ได้ถูกมั้ยครับ 👨🏻‍💻
แต่รู้มั้ยครับว่าเราคิดผิดโดยสิ้นเชิง การตั้ง password แบบนี้ยากจริง ๆ ครับที่มนุษย์จะคาดเดาได้แต่มันดันไม่ยากสำหรับ AI ครับ 😲
ยกตัวอย่าง เช่น password ที่ตั้งว่า “Tr0ub4dor&3” นั้นโดนแกะได้ภายในเวลาเพียงแค่ 3 วันโดยคอมพิวเตอร์ เพราะเค้าบอกว่าการเขียนโปรแกรมมาเพื่อแกะอักขระลักษณะนี้นั้นง่ายมาก เพราะมีรูปแบบที่ชัดเจน (ใช้ตัวเลข 0 แทน o หรือใช้ 4 แทน for เป็นต้น)
แต่การตั้งแบบสุ่ม ๆ ไปเลยเป็นคำที่จำได้ง่าย ๆ แม้จะเขียนด้วยตัวอักษรตัวเล็กทั้งหมด แถมไม่มีทั้งตัวเลขและสัญลักษณ์เช่น “correcthorsebatterystaple” นั้นใช้เวลาถึง 500 ปีที่คอมพิวเตอร์จะแกะได้นะครับ เพราะไม่มี logic ใดมาจับรูปแบบมันได้ แม้ว่ามันเป็นคำที่ง่ายที่มนุษย์จะเดาได้มากกว่า
1
📍 เค้าบอกว่านี่แหละครับเป็นจุดอ่อนของมนุษย์เราที่เรามักจะชื่นชอบหรือตื่นเต้นไปกับอะไรที่ซับซ้อนและใหม่มากกว่า อะไรที่เราดูว่ามันยากเราจะคิดว่ามันเป็นอะไรที่เจ๋งมาก ๆ เหมือนกับการที่คนเราตั้งกฎเกณฑ์การตั้ง password ที่ดูซับซ้อนและยากที่มนุษย์จะเดาออกได้ แต่ได้หลงลืมไปว่าจริง ๆ แล้วมนุษย์นั้นไม่ได้มานั่งเดา password เพื่อที่จะ hack เองหรอกแต่ใช้ AI ช่วยต่างหาก...🤖
“Machines are very good at what machines do but not very good at what humans do”
……………..
“Who’s minding the store” ✈️
มีเรื่องราวของเครื่องบินตกที่เกิดขึ้นในปี 1972 เนื่องจากเมื่อนักบินจะเอาเครื่องลงแล้วต้องเข้าเกียร์ล็อคเพื่อลงจอดแต่ไฟบอกสถานะดันมีปัญหาไม่ติดขึ้นมา เค้าเลยจะปรับโหมดการบินเป็นโหมด autopilot แล้วทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งตาแก้ปัญหาของไฟสถานะที่ไม่ติดดวงนั้น แต่ดันไม่มีใครดูว่าตอนนั้นเค้าลืมปรับโหมดการบินเป็น autopilot ในไม่ช้าเครื่องก็ตก...😱
ถัดมาในปี 1977 เกิดเหตุการณ์คล้าย ๆ กันคือ ไฟสถานะมีปัญหาแบบเดิมครับ นักบินเลยปรับเข้าโหมด autopilot คราวนี้เข้าโหมดที่ต้องการเรียบร้อย แต่การที่ทุกคนไปสนใจการแก้ปัญหาไฟสถานะนั้นทำให้ลืมดูไปว่าเครื่องนั้นบินต่ำเกินไป แล้วก็สายเกินไป สุดท้ายเครื่องก็บินไปชนภูเขา 🥲
ปีถัดมาในปี 1978 ก็เกิดเหตุการณ์คล้าย ๆ กันอีก คราวนี้นักบินก็ใช้โหมด autopilot บินวนไปเพื่อแก้ไขปัญหาเดิมแต่ดันลืมดูว่าน้ำมันของเครื่องกำลังจะหมด เนื่องจากบินวนนานทำให้ใช้น้ำมันมากกว่าปกติที่เติมไว้ สุดท้ายเครื่องก็ตก...😢
โศกนาฏกรรมเหล่านี้มีสิ่งที่คล้ายคลึงกันมาก ๆ ที่ผู้เขียนอยากเล่า คือ ทุกคนดันไปสนใจกับปัญหาของไฟสถานะที่ไม่ติดโดยมองข้ามสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “การบังคับและควบคุมเครื่องบิน” ซึ่งในภายหลังทั้งสามเหตุการณ์นั้นผลการพิสูจน์บอกว่าเกียร์ลงจอดเข้าที่แล้ว ปัญหาคือแค่ไฟสถานะไม่ติด
💡 เค้าเลยบอกว่าเราได้บทเรียนสำคัญสองเรื่องจากเหตุการณ์นี้ครับคือ
1. เราต้องให้ความสำคัญกับงานที่สำคัญและใหญ่ที่สุดก่อน
1
2. เหตุการณ์ที่เกิดล่าสุดไม่ใช่เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุด
1
……………..
“Do the opposite” 🔄
นักแสดงชื่อดัง Barbara Streisand นั้นมีรูปที่โดนละเมิดการถ่ายขณะอยู่ที่บ้านจากรูปถ่ายทางอากาศของโครงการ California Coastal Records Project ที่เก็บภาพถ่ายทางอากาศบริเวณริมชายฝั่ง แต่ดันไปติดรูปบ้านพักริมทะเลของ Barbara
เธอมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิของเธอ ดังนั้นเธอจึงทำเรื่องฟ้องร้องเป็นมูลค่า 50 ล้านเหรียญโทษฐานบุกรุกความเป็นส่วนตัวของเธอ
ทันใดที่เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่โต ทำให้ทุกคนอยากเห็นภาพนี้มาก ๆ ทำให้ภาพนี้ได้ถูกคนเข้าชมเป็นล้าน ๆ ครั้ง...🧐
💡 เหตุการณ์ครั้งนี้ถึงกับมีชื่อเรียกว่า “Streisand Effect” เพราะการที่เธอพยายามจะเอารูปนี้ออกไปไม่ให้ใครมาเห็นกลับส่งผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
📍 เค้าบอกว่า คนเราไม่อยากทำอะไรที่เราโดนสั่งหรือโดนบังคับให้ทำหรอกครับ แต่เรามักจะทำในสิ่งที่เราถูกห้ามครับ
“People don’t want to do what they’re told to do, they want what they’re told NOT to do”
……………..
“Nostradamus” 🔮
เค้าบอกว่ามนุษย์เรานั้นมักจะมีสิ่งที่เรียกว่า “Confirmation bias” มาก ๆ ครับ คือเราพยายามจะหาข้อมูลอะไรที่สอดคล้องกับสิ่งที่เราคิดไว้ แล้วสรุปว่ามันจริงหรือมันใช่
👉🏻 เหตุการณ์แบบนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “Texas sharpshooter fallacy” ซึ่งมีที่มาจากการที่ชาวเท็กซัสคนหนึ่งต้องการพิสูจน์ตัวเองว่ายิงปืนได้แม่นโดยการยิงไปก่อนแล้วเอาสีไปป้ายจุดที่มีรอยกระสุนทีหลัง ทำให้เค้าดูว่ายิงปืนแม่นเป้ามาก ๆ !
อีกตัวอย่างของเรื่องนี้ก็คือ เรื่องของ Nostradamus ที่เป็นนักพยากรณ์เหตุการณ์ต่าง ๆในโลกชื่อดังที่ได้ทำนายเหตุการณ์ตอนหนึ่งไว้ดังนี้
“Beats wild with hunger shall cross the rivers;
Most of the fighting shall be done by Hister,
It shall result in the great on being dragged in an iron cage,
While the Rhine child of Germany will observe”
ซึ่งภายหลังมีคนไปตีความว่านี่แหละที่นอสตราดามุสได้ทำนายเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สองที่ก่อกำเนิดโดย อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เนื่องจากเค้าเห็นคำว่า “Hister” ซึ่งต้องหมายถึงฮิตเลอร์เป็นแน่ อีกทั้งยังมีคำว่า “The Rhine child of Germany” ทำให้คนตีความยิ่งมั่นใจ ทั้งที่จริง ๆ มันคือชื่อแม่น้ำดานูบที่เค้าเขียนไว้ในประโยคก่อนหน้าเท่านั้นเอง
📍 เค้าเรียกการคิดแบบนี้ว่าการ “paint a target around the bullet holes” 🎯 คือคนเรามักจะไม่มองหาความจริงที่แท้จริง แต่มักจะมองหาสิ่งที่มาสนับสนุนความคิดของเราเองมากกว่า
……………..
“Making a better product is killing the business”
เชื่อมั้ยครับว่าการผลิตสินค้าออกมาให้ดีมากเกินไปนั้นไม่ได้ดีต่อบริษัทนะครับ…😏
ผู้เขียนเล่าเรื่องของอุตสาหกรรมผลิตหลอดไฟ 💡 ที่สมัยก่อนนั้นมีอายุใช้งานยาวนานถึง 2,500 ชั่วโมง ยอดขายในช่วงแรกก็ดีทีเดียวครับ แต่เนื่องจากอายุใช้งานที่ยาวนานมากนั้นทำให้ยอดซื้อซ้ำนั้นน้อยมาก ๆ
หลังจากนั้นทำให้บริษัทผลิตหลอดไฟชั้นนำของโลกต้องมาประชุมตกลงกันเพื่อผลิตหลอดไฟให้มีอายุใช้งานน้อยลงเหลือแค่ 1,000 ชั่วโมงเท่านั้นครับ เพื่อที่จะเพิ่มยอดขายของหลอดไฟทั่วโลก...แต่หลังจากนั้นก็มีปัญหาการควบคุมการขายที่มีการจำกัดโควตาการขายและอายุการใช้งานเกิดขี้น ทำให้การตกลงนี้ถูกยกเลิกไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
แต่สิ่งที่เราเห็นได้ชัดจากเหตุการณ์นี่เลยก็คือ การทำสินค้าออกมาดีมากไปนั้นสามารถส่งผลร้ายกับธุรกิจได้ บางทีการทำสินค้าให้มีจุดด้อยบ้างก็อาจจะดีมากกว่า ซึ่งสุดท้ายผู้เขียนเอาไปเปรียบเทียบกับวงการโฆษณาว่า ไม่จำเป็นหรอกที่ต้องทำโฆษณาที่ยอดเยี่ยมไร้ที่ติ โดยเคยมีการล้อเลียนบริษัทเอเยนซี่บางแห่งไว้ว่า คติพจน์ของบริษัทนั้นคือ
“a good ad is a sold ad”
ก็คือโฆษณาที่ดีก็คืออันที่ขายได้ ลูกค้าชอบ ก็เท่านั้นแหละครับ ไม่มีใครสนใจหรอกว่ามันจะดีเลิศไร้ที่ติขนาดไหน
📍 ซึ่งเค้าสรุปสิ่งที่น่าคิดส่งท้ายไว้ว่าทุกวันนี้เราไม่ได้ทำผลิตภัณฑ์หรือสินค้าที่ดีเลิศให้กับลูกค้าหรอกครับ เราแค่ต้องการทำเงินมากกว่า 💵
……………..
ต้องบอกว่าหนังสือของ Dave Trott นี่น่าอ่านทุกเล่มจริง ๆ ครับโดยเฉพาะคนที่ชอบเรื่องเล่าแปลก ๆ ที่มีข้อคิดแฝงที่ต้องบอกว่าคมมาก ๆ อยู่ เรื่องที่ผมหยิบมาเล่าให้ฟังนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้เท่านั้น ยังมีเรื่องอื่นที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น อยากรู้มั้ยครับว่ากระจกมองหลังรถยนต์เราถือกำเนิดมาได้อย่างไร หรือการเกิดขึ้นของการใช้ใบเหลืองใบแดงในการแข่งขันฟุตบอลนั้นมีที่มาจากไหน หรือต้นกำเนิดของหมวกคาวบอยนั้นจริง ๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคาวบอยเลย!
📌 “พลังของความไม่รู้” นั้นมีคนพูดถึงมากมาย และหนังสือหลายเล่มก็พูดถึงว่าเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้ การยอมรับว่าเราไม่รู้นั้นเป็นสิ่งสำคัญมากทีเดียวครับเพราะโลกในปัจจุบันนั้นมีข่าวสารข้อมูลมากมาย การยอมรับว่าไม่รู้นั้นทำให้เราพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ คิดเรื่องใหม่ ๆ ได้ 💡
👍🏻 เราจะพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ หรือรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาได้หากเราทำตัวเป็นแก้วน้ำใบที่ว่างเปล่าพร้อมรับสิ่งใหม่
👎🏻 ตรงกันข้ามที่หากเราทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว มันก็ยากที่เราจะเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
Adam Grant ผู้เขียนหนังสือดังอีกเล่มของปี 2021 ชื่อ “Think Again” (อ่านรีวิวหนังสือเล่มนี้ได้ที่นี่ครับ...https://www.facebook.com/TheCrazyBookReader/photos/a.103199551739657/132071362185809...) ได้เขียน status บนเฟสบุ้คส่วนตัวของเค้าเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า
“What’s more dangerous than ignorance is being ignorant of your ignorance”
ผมอ่านแล้วเห็นด้วยสุด ๆ ไปเลยครับ...
#ThePowerofIgnorance #BookReview #รีวิวหนังสือ #สิงห์นักอ่าน
ป.ล. ถ้าไม่อยากพลาดการติดตามการรีวิวหนังสือดี ๆ แบบละเอียดยิบ ฝากกด Like กดติดตามเพจ รวมถึงยังติดตามได้อีกหนึ่งช่องทางใน facebook page - สิงห์นักอ่าน
โฆษณา