1 พ.ค. 2021 เวลา 16:39 • นิยาย เรื่องสั้น
"บางกอกจ๋า ข้าลาแล้ว"
1
ก่อนตะวันรอน ตอนที่ 5 : บางกอกจ๋า ข้าลาแล้ว
บทประพันธ์ โดย : งามดอกบัว
(ภาพจากเว็บไซต์ : www.canva.com)
ณ สถานีรถไฟหัวลำโพง กรุงเทพ ฯ
“แดง ! ขาว ! ทางพี้" ต้อยน้องสาวคนเล็กของแม่เดอลาและตาคำ  กำลังโบกไม้โบกมือเรียก  ขาวและแดงสองพี่น้องที่เดินทางมาจากนครปฐม  เพื่อให้มาสมทบกับตนและพี่น้องชาวบ้านดอนผักหวานที่ยืนรอกันอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
แดงและขาวหันไปตามทิศทางของเสียงเรียก  ผมทรงฟาร่าตามสมัยนิยมของสองศรีพี่น้องสยายไปตามแรงหันหน้าของเจ้าตัว  และแรงลมที่พัดผ่านเข้ามาภายในอาคารผู้โดยสารของสถานีรถไฟหัวลำโพง
1
ทั้งคู่จำเสียงเล็กแหลมนี้ได้ดี  จะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากต้อยนั่นเอง
1
ต้อยอยู่ไหนคนรู้หมดเพราะเธอชอบมากับเสียง  บุคลิกช่างแตกต่างจากพี่น้องคนอื่น ๆ อย่างชัดเจน  เธอจะพูดเป็นต่อยหอยแทบทุกครั้ง  ด้วยความที่เป็นลูกคนสุดท้องเธอจึงมักเอาแต่ใจ  คนในครอบครัวตามใจเธอตลอด  เพราะขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับเธอ
1
แม้แต่ชื่อหลานสาวต้อยยังบังคับคำ  พี่ชายให้ตั้งชื่อเหมือนเธอเลย  จะได้ดูเหมือนแฝด  ที่สำคัญพวกเธอยังเกิดรุ่นราวคราวเดียวกันด้วย  ถึงจะเป็นน้าหลานกันก็ตาม
🍀🍀
เหมือนกับหลาย ๆ ครอบครัวที่มีลูกคนสุดท้องอายุรุ่นเดียวกับหลาน  เพราะว่าลูกคนโตอายุห่างจากลูกคนเล็กอยู่มาก  บางคนสิบกว่าปีหรือเกือบจะยี่สิบปีเลยก็มี
ถึงแม้ว่าต้อยจะปากไวไปหน่อย  แต่ข้อดีเธอก็มีเยอะเหมือนกัน  ต้อยเป็นคนรักพี่รักน้อง  รักเพื่อนฝูง  ถ้ามีปัญหาอะไรต้อยมักออกหน้าก่อนเสมอ  จนบางครั้งก็กล้าเกินหญิง  แต่เดอลาก็ชอบน้าต้อยคนนี้มาก  เพราะน้าต้อยมักจะมีขนมและเสื้อผ้าสวย ๆ มาฝากเดอลาเสมอ  ตามประสาเด็ก ๆ ที่ชอบของขวัญของฝาก
2
“เอ้า ! กินน้ำกินในก่อน พากันมาแต่ไกล" ต้อยคว้ากระติกน้ำดื่มโพลาริส  ที่อยู่ในกระเป๋าเป้สะพายสีแดงแจ๋ใบเก่งของตัวเอง  ส่งให้แดงดื่ม  จะได้ดับกระหายหลังจากที่วิ่งหน้าตาตื่นมาหาเพื่อน ๆ ด้วยความดีใจ
อึ้ก ! อึ้ก ! อึ้ก !  แดงเร่งดื่มน้ำจนทำให้ตัวเองจุก
“พอแล้ว กินหยังหลายแท้แบ่งหมู่นำแน" ต้อยเตือนพลางโบ้ยหน้าไปยังขาว  ที่ยืนอ้าปากรอดื่มน้ำต่อจากแดง  จนปากแห้งแล้ว
“ลืมคาว ๆ มันเมื่อยเนาะ" แดงตอบพร้อมสีหน้าเจื่อน ๆ รู้สึกผิดกับพี่สาวนิด ๆ ก่อนจะส่งขวดน้ำให้ขาวดื่มต่อ
2
🍀🍀
“มาเหมิดไป๊บานนิ  สิได้ขึ้นรถขึ้นลา  รถไฟใกล้สิออกแล้ว"  เขื่อนชายหนุ่มรูปหล่อหน้าคม  ที่แอบซุ่มดูเหตุการณ์อยู่เอ่ยขึ้นจากอีกมุมนึงของม้านั่ง  ภายในสถานีรถไฟหัวลำโพง
ต้อยจำเสียงนั้นได้ดี  เสียงของเขื่อนชายหนุ่มที่เธอแอบหลงรัก  และเธอก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขื่อนเองก็ชอบพอเธออยู่
2
สองปีกว่าแล้วที่ต้อยไม่ได้เห็นหน้าเขื่อน  ตั้งแต่เขาติดทหารเกณฑ์  ต้องไปรับใช้ชาติไกลถึงแดนใต้  มาคราวนี้เขื่อนเปลี่ยนไปมาก  รูปร่างที่สูงโปร่งเมื่อก่อนกลายมาเป็นชายหนุ่มรูปร่างบึกบึนดูแข็งแรง ภายใต้เสื้อยืดคอกลมของทหารที่เขื่อนสวมใส่อยู่นั้น  ไม่สามารถปกปิดมัดกล้ามกำยำของเจ้าตัวได้เลย
จนต้อยเผลอส่งยิ้มให้  แต่พอเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอแอบงอนเขาอยู่เพราะขาดการติดต่อไปเลย  จดหมายสักฉบับก็ไม่มี  ต้อยจึงรีบหุบยิ้มและเบือนหน้าไปที่อื่นทันที
1
เขื่อนเห็นท่าทางของต้อย  ก็แอบยิ้มกับตัวเองอย่างพอใจ  เขารู้ว่าต้อยงอน  นั่นก็แสดงว่าเธอยังแอบมีใจกับเขาอยู่
1
“เป็นได๋หมอ ลงใต้ไปตั้งสองปีบ่คิดฮอดพุสาวทางพี้บ่"  บ่าวเชิดเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขื่อนแซวเพื่อน  เพราะรู้ดีว่าเขื่อนเองก็แอบชอบพอต้อยอยู่ไม่น้อย
“พุสาวทางได๋ เขาสิเหลียวเบิ่งเฮาหมอ" เขื่อนตอบเพื่อนแต่สายตาเหลือบมองไปทางต้อย  พร้อมกับส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้
“สิจีบกะจีบ  เงิบงาบยุนั่นตลาดวายเหมิดเด้อ” แดงยุส่งหลังจากที่เห็นหนุ่มสาวคู่นี้ไม่ยอมลงเอยกันสักที  ทำเอาหญิงสาวที่ดูแก่น ๆ หน้าแดงขึ้นมาทันที
1
“มาเด้อไผสิมา  บ่มากะอยู่เป็นยามเฝ้าสถานีรถไฟโลด" ต้อยรีบตัดบท  และคว้ากระเป๋าเป้สะพาย  พร้อมถุงเลก้าวขึ้นโบกี้รถไฟไป
ทุกคนรีบกุลีกุจอหอบข้าวหอบของวิ่งตามต้อยขึ้นไปด้วย  เพื่อจะได้หาที่นั่งติด ๆ กัน  เพราะกว่าจะถึงสถานีปลายทาง  คงต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วโมง
🍀🍀
สมาชิกชาวดอนผักหวานเกือบทุกคนหาที่นั่งบนรถไฟได้เรียบร้อยแล้ว  จะมีก็แต่ยายเผื่อนกับตานายสองผัวเมียที่ยืนงงกับหมายเลขตั๋วโดยสารของตัวเอง
บ่าวเชิดเห็นสองผัวเมียยืนเก้ ๆ กัง ๆ เลยรีบเข้าไปกระซิบตานาย  ว่าตนกับเขื่อนขอสลับที่นั่ง  จะได้ช่วยเขื่อนจีบต้อยด้วย  แต่แท้จริงแล้วเชิดเองก็หมายตาขาวไว้เหมือนกัน  กะว่าจะใช้เวลาเดินทางบนรถไฟนี่แหละกระชับความสัมพันธ์ให้มากขึ้น
“เห็นอกเห็นใจแนเถาะน้านาย  บักเขื่อนมันมักสาวต้อยมาแตโดนแล้ว  ให้เขาได้เว้ากันแนเนาะอ้ายเนาะ”  เชิดทำเสียงอ้อนตานายอย่างกับเด็กน้อยอ้อนขอขนมหวาน
“สูนิเนาะยากผู้เฒ่าผู้แก่” ตานายแกล้งบ่นให้เชิด  และยอมเปลี่ยนตั๋วโดยสารแต่โดยดี
“เรียบร้อยแล้วหมอ  สถานีปลายทางดอนผักหวานซิตี้” บ่าวเชิดตบไหล่เขื่อนเพื่อนเกลอ ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ พร้อมกับเสยผมจอนวางมาดหล่อแบบหนุ่มบางกอก
1
“มาดเพิ่นนั่น  เพิ่นคึสิว่าเพิ่นหล่อคักเนาะ” ขาวที่นั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามคู่กับต้อย  พูดประชดบ่าวเชิด
“กะแน่หล่ะเนาะ  บ่าวส่าบ่าวลือในดอนผักหวานกะว่าแมนอ้ายกับบักเขื่อนนิหล่ะ  แมนบ่หมอ”  บ่าวเชิดหันไปขอแรงเสริมจากเขื่อน
ชายหนุ่มไม่ตอบ  แต่กลับอมยิ้มพร้อมส่งสายตาหวานให้กับต้อยที่นั่งอยู่เก้าอี้ริมหน้าต่างฝั่งตรงข้าม  ทำเอาหญิงสาวอายหน้าแดงต้องหลบสายตาคมของชายหนุ่มเป็นรอบที่สอง
1
🍀🍀
“ลูกอม  ยาดม  ยาหม่อง บ่จ้า ? ปิ้งไก่ ตับไก่ บักม่วง มันเภา กะมีเด้อจ้า  เอาบ่ ?” หนึ่งในแม่ค้าขายของกินที่สถานีรถไฟหัวลำโพง  ร้องโฆษณาสินค้าตัวเองมาแต่ไกล
3
“เอาปิ้งไก่กับข้าวเหนียวจ้ายาย” ต้อยตะโกนเรียกซื้อไก่ปิ้งและข้าวเหนียวกับแม่ค้า  ผ่านทางหน้าต่างรถไฟเป็นการแก้เขิน  นึกในใจว่าจะทำอย่างไรกว่าจะถึงสถานีรถไฟปลายทางบ้านเกิด  ตนจะต้องทนรู้สึกอึดอัดกับสายตาของชายหนุ่มตรงหน้าแบบนี้ไปอีกกี่ชั่วโมง
“เอาปิ้งตับกับมันเภานำแนจ้า” ขาวสั่งของกินเพิ่มเผื่อแดงด้วย
“ทอได๋จ้า” ต้อยถามแม่ค้าพร้อมกับก้มหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์
“สิบห้าบาทนาง”  แม่ค้ายื่นถุงของกินทั้งหมดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างรถไฟให้ต้อย
“นี่ครับยายสิบห้าบาทพอดีบ่ได้ทอนยาก” เขื่อนยื่นเงินค่าของกินที่สาว ๆ สั่งจากแม่ค้า  พร้อมกับรับถุงมายื่นให้กับต้อยที่ทำหน้าเหวออยู่
3
“เอาไป  หิวบ่แมนบ่” เขื่อนเร่งให้ต้อยรับถุงไก่ปิ้งไป  ส่วนอีกถุงก็ส่งให้ขาวเพื่อนสนิทของต้อย
“บ่าวเขื่อนหนิ  บ่ได้หล่อแต่หน้าตั้วนิ  ใจกะหล่อนำ  ขอบใจเด้อ” ขาวส่งยิ้มและรีบขอบคุณเขื่อน  พร้อมกับรับถุงของกินที่เขาส่งให้
“บ่แมนบ่าวเขื่อนพุเดียวเด้อหล่อหน่ะ อ้ายกะหล่อเด้อ  เงินอ้ายคึกันที่ซื้อตับนั่น" พูดจบ บ่าวเชิดก็หัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างพอใจ
“แซ่บบ่น้อปิ้งตับปิ้งไก่เฮามื้อหนิอิหนู" ขาวกระซิบกับต้อยพลางหัวเราะคิกคัก
“จังว่านั่นหล่ะ" ต้อยกระซิบพร้อมกับหัวเราะผสมโรงกับขาว
ทุกคนกินข้าวมื้อเย็นบนรถไฟอย่างเอร็ดอร่อย  ต่างก็ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันจนพอสมควร  รวมถึงของฝากที่แต่ละคนตั้งใจจะนำไปมอบให้กับครอบครัว
1
และของฝากที่คิดว่าจะถูกใจคนที่บ้านมากที่สุดนั่นก็คือ วิทยุ แต่ที่ฮือฮาที่สุดคงจะเป็นของบ่าวเชิด  เพราะเป็นวิทยุเทป  ที่สามารถเล่นเทปเพลงได้ด้วย  คราวนี้แหละบ้านดอนผักหวานของเราจะไม่เงียบเหงาอีกต่อไป  เชิดคิดในใจ
3
(ภาพจากเว็บไซต์ : www.pixabay.com)
🍀🍀
“เอามือมา  มีแนวให้" เขื่อนเอ่ยกับต้อยเบา ๆ แต่ก็ไม่สามารถเล็ดลอดสายตาของสองหนุ่มสาวเชิดกับขาวได้
“แมนหยังอีก" ต้อยแกล้งทำเสียงรำคาญ  แต่หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำแล้ว  ไม่รู้ว่าชายหนุ่มจะมามุขไหนอีก
“เอามือมา" ชายหนุ่มทำเสียงดุ
“จักหยังดอก" หญิงสาวทำท่าอิดออดแต่ก็ยื่นมือไปรับแต่โดยดี
ตอนรับมาเธอก็รู้ว่าคงเป็นลูกอม  พอแบมือดูก็เป็นลูกอมจริง ๆ แต่เป็นลูกอมฮาร์ทบีทที่หนุ่ม ๆ สาว ๆ สมัยนี้ใช้สื่อรักกัน
1
ยังไม่ทันที่ต้อยและเขื่อนจะได้พูดอะไร บ่าวเชิดที่แอบมองอยู่ก็พูดขึ้นมาก่อน
“กูว่ากูลิเกแล้ว มาพ้อมุขมึงหนิกูยอมเลยวะหมอ ฮ่า ฮ่า" เชิดหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างพอใจกับความสำเร็จของเพื่อนเกลอที่กล้าบอกรักต้อยผ่านมุขลูกอมฮาร์ทบีทสื่อรัก
1
“ซื้อได้บ่มุขหนิหมอ สิเอาไปจีบสาว" บ่าวเชิดพูดทีเล่นทีจริงกับเพื่อน  เพราะตนก็อยากจะบอกรักขาวอยู่เหมือนกัน  เห็นพูดเก่งหน้าหม้อไปเรื่อย  แต่เอาเข้าจริง ๆ บ่าวเชิดก็ไม่รู้จะเริ่มจีบสาวเจ้าแบบไหนเหมือนกัน
“เอาติ๊หล่ะ  เฮาบ่หวงดอกกับหมู่กับพวก  ว่าแต่สาวทางได๋หล่ะหมอ" เขื่อนพูดพลางหัวเราะกับเพื่อนอย่างพอใจ  แต่ก็รู้ว่าเชิดหมายถึงใคร
“หนิเดะ พุสาวเฮา” บ่าวเชิดไม่พูดเปล่า  มือก็ยื่นลูกอมฮาร์ดบีทให้กับขาวที่นั่งทำตาเหลือกด้วยความตกใจอยู่ตรงหน้า
“เป็นบ้าบ่" ขาวยังทำหน้าตาตกใจไม่เลิก  เพราะไม่คิดไม่ฝันว่าบ่าวเชิดคนกะล่อนจะมาขอเธอเป็นแฟน
1
“บ่บ้าหล่ะ มาเป็นพุสาวอ้ายเนาะ" บ่าวเชิดรีบยัดลูกอมใส่มือให้ขาวเป็นการมัดมือชก
สองหนุ่มหัวเราะอย่างพอใจกับภารกิจพิชิตรักของของตนในครั้งนี้  ทำเอาสองสาวหาเรื่องมาค่อนแคะสองหนุ่มไม่หยุด  เพื่อเป็นการแก้เขิน
🍀🍀
“พากันฟ้าวกินฟ้าวแล้วเด้อ เว้าเล่นเว้าหัวกันยุนั่น  จักนอยเขาปิดไฟบ่เห็นฮุงเด้อ” ตานายร้องตะโกนมาบอกหนุ่ม ๆ สาว ๆ ที่พูดจาเหย้าหยอกกันไม่ลดลาวาศอกให้กัน  จนเริ่มส่งเสียงรบกวนคนข้าง ๆ
“เรียบร้อยแล้วน้า" บ่าวเชิดร้องตอบตานาย
“เรียบร้อยกะพากันหลับกันนอน  ตื่นขึ้นมาสิได้ฮอดบ้านเลย" ตานายกำชับอีกรอบ
“พวกเจ้านั่นหล่ะหัวร่อเสียงดัง ถืกด่าเลยเห็นบ่" ขาวบ่นให้เชิดกับเขื่อน  หลังจากที่โดนตานายดุมา
“นอน ๆ คะเจ้าปิดไฟแล้ว" เขื่อนเอ่ย  พลางหยิบเสื้อทหารของตัวเองมาคลุมให้ต้อย  ถึงจะโดนเธอทำตาดุนิดหน่อย  แต่เธอก็ห่มเสื้อของเขาแต่โดยดี
1
🍀🍀
บนขบวนรถไฟอบอวลไปด้วยความรักและความคิดถึงบ้านของผู้คนที่โดยสารมาด้วยกัน  โดยเฉพาะชาวดอนผักหวาน
พวกเขาคือหนึ่งในความหวังของครอบครัว  ที่ยอมเสียสละความสุขของตัวเอง  เดินทางรอนแรมจากบ้านเกิดเมืองนอน  เพื่อมาทำงานแลกกับเม็ดเงินในบางกอก  เมืองศิวิไลที่ผู้คนขนานนามให้ว่า เป็นเมืองที่ไม่เคยหลับไหล
1
และรถไฟขบวนนี้นี่แหละจะพาทุกคนกลับบ้านเกิดของพวกเขา  บ้านที่เกิดความรัก เกิดความสุข  หรือแม้กระทั่งความทุกข์  บ้านที่พร้อมจะอ้าแขนต้อนรับลูกหลานทุกคนเสมอ
2
“บางกอกจ๋า  ข้าลาแล้ว”
(ภาพจากเว็บไซต์ www.canva.com)
ก่อนตะวันรอน ตอนที่ 5 : บางกอกจ๋า ข้าลาแล้ว
บทประพันธ์ โดย : งามดอกบัว
สำนักพิมพ์ : อีสานพันทาง
ก่อนจากกันในตอนนี้ผู้เขียนอยากจะขอฝากผลงานเพลงหนึ่งให้ผู้อ่านได้ฟังกันนะคะ บทเพลงนี้แล่นเข้ามาในหัวของผู้เขียนก่อนจะจบตอนนี่เอง ลองฟังกันดู แล้วพบกันใหม่ค่ะ
ด้วยฮัก จาก งามดอกบัว

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา