4 พ.ค. 2021 เวลา 01:00 • สิ่งแวดล้อม
ปัญหาขยะพลาสติก คุกคามชีวิตช้างในประเทศศรีลังกา
ประชากรช้างในประเทศศรีลังกา กำลังเผชิญกับภัยคุกคาม “ใหม่” ที่น่าเป็นห่วง จากปัญหาการจัดการขยะที่ด้อยประสิทธิภาพในประเทศ
ในช่วง 2-3 ที่ผ่านมา มีช้างป่าอย่างน้อย 6 ตัวที่ยืนยันผลชันสูตรว่าตายเพราะ “ขยะพลาสติก”
แต่ที่ยังไม่ยืนยัน หรือยังไม่ได้รับการตรวจสอบ และที่ “กิน” เข้าไปแล้วยังไม่ตายนั้น คาดว่าคงมีอีกหลายตัว จึงมีความเป็นไปได้ว่าผลกระทบนั้นอาจรุนแรงเกินจำนวนตัวเลขที่กล่าว
มูลเหตุของปัญหาเกิดขึ้นจากการสร้าง “แหล่งทิ้งขยะ” ไว้ใกล้กับพื้นที่อุทยานแห่งชาติ
แต่แหล่งทิ้งเหล่านั้น ไม่ได้มีการบริการจัดการที่ดีนัก
ที่ทิ้งขยะรอบเขตอนุรักษ์สัตว์ป่าส่วนมากเป็นที่ทิ้งแบบเปิด ไม่ได้ทำการฝังกลบในทันที แต่ละวันจะมีขยะจำนวนมากถูกนำมากองทิ้งไว้เป็นภูเขาเลากา ไม่ต่างอะไรกับอนุสาวรีย์แห่งความสกปรก
จากข้อมูลของ earthday.org ระบุว่า ศรีลังกาเป็นประเทศที่ก่อมลพิษทางพลาสติกใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก - เหตุเพราะสร้างขยะมาก แต่มีประสิทธิภาพการจัดการต่ำ
ที่ผ่านมา ยังเคยมีรายงาน “ภูเขาขยะถล่ม” ทับบ้านเรือนผู้คนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้แหล่งทิ้งขยะ เป็นเหตุให้มีประชาชนเสียชีวิต 33 ราย บ้านเรือนได้รับความเสียหายกว่า 100 หลัง สะท้อนความไร้ประสิทธิภาพจนทำให้มีชีวิตต้องถูกสังเวยอย่างน่าอนาถ
จากปัญหาความตายของช้าง รัฐบาลประเทศได้ลงมือแก้ไขโดยการสร้างรั้วไฟฟ้า ป้องกันไม่ให้ช้างเข้าไปคุ้ยหาอาหารในแหล่งทิ้งขยะ - ซึ่งสามารถกันได้เพียงชั่วเวลาหนึ่ง
ตามมาด้วยวิธีขุดบ่อรอบแหล่งทิ้งขยะ แต่ก็นำไปสู่การจัดการที่มากขึ้น ทั้งเรื่องการขุดและช่วยช้างที่ตกลงในบ่อ และยังไม่มีรายงานความคืบหน้าว่าจะแก้ปัญหาใหม่ต่อไปอย่างไร
นอกจากนี้ รัฐบาลได้สั่งห้ามนำเข้าและห้ามผลิตพลาสติกที่ย่อยสลายทางชีวภาพไม่ได้ (ตั้งแต่ปี 2017) และในปีนี้ ยังได้เริ่มมาตรการห้ามประชาชนใช้พลาสติกแบบซิงเกิ้ลยูส
แต่ข้อบังคับทั้งสองเรื่อง มีผลลัพธ์ทางปฏิบัติไม่น่าประทับใจสักเท่าไหร่
ในรายงานปัญหาเรื่องขยะของประเทศ ยังกล่าวถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสัตว์ป่าชนิดอื่นๆ เช่น กวาง นก และสิ่งมีชีวิตในทะเล ที่ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน
เมื่อพลาสติก (ที่ย่อยสลายไม่ได้) เข้าไปสู่ร่างกายของสัตว์ จะก่อให้เกิดความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร ระบบการขับถ่ายผิดปกติ เกิดการอักเสบตรงลำไส้และเป็นแผลที่ผนังลำไส้ เนื้อตายในบางส่วน​
อย่างไรก็ตาม ต่อการแก้ไขปัญหาที่ทำมา นักอนุรักษ์และภาคประชาชนมองว่าการดำเนินงานต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ และยังไม่มีการเจาะลึกถึงการป้องกันไม่ให้ช้างออกมาหากินนอกป่า
ตามรายงานจากสื่อหลายแห่งกล่าวตรงกันว่า มีช้างไม่ต่ำกว่า 100 ตัว ไม่ยอมกลับเข้าป่า พวกมันมีพฤติกรรมที่เหมือนกับช้างเลี้ยง คือ เฝ้ารอคนมาให้อาหาร หรือในที่นี้ก็คือรอรถขนขยะและรถไถเข้ามาในที่ทิ้งขยะ
ด้วยพฤติกรรมของช้างที่เปลี่ยนไป จึงทำให้การแก้ไขปัญหาต้องมองไปไกลมากกว่าการล้อมรั้วป้องกัน
ขณะเดียวกัน ด้วยพฤติกรรมการออกมาหาอาหารนอกป่า (ที่มีมากกว่า 100 ตัวตามแหล่งทิ้งขยะ) ยังนำไปสู่ปัญหาการกระทบกระทั่งระหว่างคนกับช้าง จนกลายเป็นเหตุโศกนาฏกรรมเศร้าขึ้นกับทั้งสองฝ่าย
ในขณะที่ช้างกลุ่มหนึ่งออกจากป่ามาคุ้ยเขี่ยหาอาหารในกองขยะประทังชีวิต ยังมีช้างอีกกลุ่มที่บุกรุกพื้นที่ทำเกษตรกรรมของประชาชนจนก่อให้เกิดความเสียหายทั้งด้านทรัพย์สินและชีวิต
ผลลัพธ์ของเรื่องที่ว่านี้ มีบทสรุปเพียงอย่างเดียวคือความตาย
ในปี 2019 มีช้างถูกฆ่า 407 ตัว และในปี 2020 มีช้างตาย 318 ตัว เหตุเพราะได้รับสารพิษ (ถูกวางยา) และถูกยิง
ขณะที่รายงานการเสียชีวิตของประชาชนในปีที่ผ่านมา มีทั้งหมด 112 ราย
ซึ่งข้อสรุปที่ว่า เหตุใดช้างจึงออกมาหาอาหารนอกป่า (จนกลายเป็นปัญหา) ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนหรือถูกกล่าวถึงในวงกว้างมากนัก
ในประเทศศรีลังกา ช้างถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ คนในประเทศเชื่อว่าสีผิวที่คล้ำของช้างเป็นสัญลักษณ์ของเมฆฝน คนในศรีลังกาจึงใช้ช้างเพื่อแห่ขอฝน ส่วนเรื่องทางกฎหมาย การฆ่าช้างถือเป็นความผิดทางอาญา
แต่สำหรับประชาชนชายขอบที่ยากจนค้นแค้น ความโกรธเคืองนั้นมีพลังอำนาจเหนือกฎหมาย
ความตายจากการกระทบกระทั่งว่าแย่แล้ว พอมาเจอเรื่องขยะก็ยิ่งย้ำให้แย่ยิ่งขึ้นไปอีก
ป.ล. ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ประเทศศรีลังกาเคยมีประชากรช้างอาศัยอยู่ในป่ากว่า 19,000 ตัว แต่ปัจจุบันคาดว่าเหลืออยู่ประมาณ 7,000-7,500 ตัว
อ้างอิง
Loops Agency : https://bit.ly/3ufy8el
Political Animal Lobby : https://bit.ly/3gXjaWi
The Jakarta Post : https://bit.ly/3efh9TR
Photo : Tilaxan Tharmapalan ชนะเลิศรางวัล Royal Society of Biology (RSB) ประจำปี 2020
โฆษณา