7 พ.ค. 2021 เวลา 02:32 • ไลฟ์สไตล์
♡ความรัก♡ ในแบบของ
✿ "โจน จันได" ✿
.
.~~(◍•ᴗ•◍)❤
cr: Pinterest
คำกล่าวของคุณ โจน จันได ที่มันใช่ในความรู้สึกของผม เขาพูดว่า
"ความรัก" เกิดจากการร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน โดยไม่มีอคติ
(ต้องไม่มีอคติด้วยนะเออ)
ก่อนที่เราจะไปคุยกันเรื่อง ความรัก ผมอยากตั้งคำถามลอยๆสักคำถามว่า
" ในวันหนึ่งๆเพื่อนๆมีเวลาอยู่กับคนที่รักแบบเห็นหน้าเห็นตากันตัวเป็นๆสักกี่ชั่วโมงครับ? "
1
แล้วอีกสักคำถามหนึ่งนะ เป็นคำถามที่ชวนให้ลองคิดเล่นๆ ไม่ต้องรีบตอบก็ได้นะครับ
" ว่างานที่เพื่อนๆทำอยู่ทุกวันนี้นั้น เป็นงานที่ทำแบบแยกขาดจากกันโดยสิ้นเชิงกับคนรักหรือร่วมกันทำคนละไม้คนละมืออย่างใกล้ชิดติดสีข้างกันครับ
1
ประเด็นที่อยากจะชวนเพื่อนๆคุยก็คือ การที่เราได้ใช้ชีวิตร่วมกันจริงๆในแบบที่คุณโจน จันได ได้พูดไว้ในรายการเจาะใจว่า
ถ้าคนเราจะต้องทำงานหนักตลอดทั้งชีวิต เพียงเพื่อให้ได้เงินมามากๆ
เพียงเพราะว่าเราต้องการความมั่นคงในชีวิต เพื่อจะได้มีบ้าน ได้มีรถ ได้มีเงินเก็บอย่างที่เราต้องการมากๆ (ซึ่งก็ไม่รู้เท่าไหร่ถึงจะเรียกว่ามาก)
1
เราต้องทำงานหนักมาก ถึงแม้เราจะเหนื่อย เราจะเบื่อ แต่เราก็ต้องทนฝืนใจทำไป ประเด็นก็คือว่า
1
แม้แต่ "ความรัก" เราก็จะทำให้มีขึ้นไม่ได้ในสถานการณ์ที่ต้องทำงานหนักตลอดเวลา
1
"ความรัก" ในความหมายของคุณโจน จันไดลึกซึ้งมากนะครับ
คุณโจน อธิบายถึงความรักนั้นว่าเป็นความรักจริงๆที่เราให้กันได้ทุกเวลา ทุกวินาทีของชีวิต ไม่ต้องมาอ้างว่าไม่ว่าง ไม่มีเวลาเพราะต้องทำงาน
1
เพื่อนๆลองนึกถึงพล็อตหนังฝรั่งที่อารมณ์ประมาณว่า ลูกต้องขึ้นเวทีแสดงในงานประจำปีของโรงเรียน แต่พ่อกับแม่ก็ยุ่งเกินกว่าจะปลีกตัวมาดูได้ ทำให้ลูกไม่มีสมาธิในการแสดง แล้วเกิดลืมบทที่ต้องพูด แล้วพ่อกับแม่ก็โผล่มาในตอนกำลังเข้าได้เข้าเข็มพอดี(ใช้คำถูกมั้ยเนี่ย) ทำให้ลูกมีกำลังใจแสดงต่อจนจบ แล้วก็จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง
สงสัยคุณโจน จะไม่ชอบโมเมนต์ที่ต้องลุ้นจนวินาทีสุดท้ายแบบนี้ พ่อกับแม่อาจจะต้องแอบโดดงานเพื่อมาดูลูกเพราะอยากให้กำลังใจลูกสุดที่รัก
นี่เป็นเหตุผลให้คุณโจน จันได้อยากออกจากระบบการทำงานในเมืองมาใช้ชีวิตอิสระเป็นเกษตรกรเพราะอยากให้เวลาทั้งหมดกับคนที่เขารักจริงๆ
เขาเชื่อว่าความรักต้องการเวลาที่ต้องอยู่ด้วยกันใช้ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขกันโดยไม่มีอคติ
เราอาจจะอ้างว่าเรารักลูกเราจึงส่งลูกไปอยู่โรงเรียนดีๆ เราส่งลูกไปเรียนพิเศษเพื่อจะให้เขาสอบติดมหาวิทยาลัย เราส่งลูกไปเรียนว่ายน้ำ เรียนร้องเพลง เรียนเปียโน เรียนศิลปะการป้องกันตัว และเรียนสารพัดวิชา โดยให้เหตุผลว่าลูกจะได้ช่วยเหลือตัวเองได้ในยามคับขัน
เด็กสมัยนี้ถูกยัดเยียดให้เรียนเยอะมากตามความต้องการของสังคม พ่อแม่ก็ต้องการให้ลูกของตนทัดเทียมกับลูกของคนอื่น อะไรที่คิดว่าดีก็พร้อมจะทั้งผลักทั้งดัน
แล้วเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันกับลูกล่ะมีเหลือสักเท่าไร เรามักจะอ้างว่าที่เราทำงานหนักทุกวันนี้ก็เพื่อลูก แล้วเราเคยถามลูกบ้างไหมว่าเขามีความสุขหรือเปล่า
อะไรสนุกกว่ากันถ้าได้ไปเตะฟุตบอลกับพ่อหรือได้ไปหัดว่ายน้ำด้วยกันทั้งครอบครัว
ความจริงชีวิตมันก็ง่ายๆแค่นี้ ชีวิตต้องการความสุข ชีวิตต้องการความสนุก ความเพลิดเพลิน จำเริญใจ
แต่ดูเหมือนชีวิตการทำงานเพื่อแลกกับค่าจ้างเพื่อเอาเงินไปซื้อความสุขอีกต่อหนึ่งมันจะไม่ค่อยสนุกสักเท่าไรนัก
อาจจะมีคนเถียงว่าก็ทำงานที่ตนรักสิ จะได้มีความสุขในการทำงาน มันค่อนข้างจะเป็นทฤษฎีหน่อยนะครับ ในชีวิตจริงนั้นอาจจะหาเจ้านายที่ปล่อยให้เราทำงานแบบสบายใจมีความสุขโดยไม่มากดดันได้ยากสักหน่อย
เราต้องยอมรับว่าเขาจ้างเราแล้วย่อมต้องการผลตอบแทนที่คุ้มกับค่าจ้างที่เขาจ่าย ถ้าเลือกได้ทุกคนก็คงอยากใช้ชีวิตที่เลือกเองได้ว่าจะทำอะไร หรือจะไม่ทำอะไร
1
แต่ถ้าออกมาจากระบบงานแล้วมันจะติดนิสัยรักสบายนะครับ จะให้กลับไปสู่ระบบตอกบัตรเข้างานแบบเดิมมันจะทำใจยากแล้ว
คนที่อยู่ในสังคมเกษตรกรรมสมัย 30-40 ปีที่แล้ว ชีวิตอยู่กับไร่กับสวน สามีภรรยาต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน แม้ภรรยาจะมีหน้าที่หุงหาอาหาร ทำงานบ้าน แต่ก็ยังต้องเป็นกำลังเสริมให้สามี
เพราะงานในไร่ในสวนมีมากมายหลายอย่าง ทั้งงานปลูกพืช บำรุงดูแล และงานเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งต้องช่วยกันคนละไม้ละมือให้เสร็จโดยเร็ว
คำว่า "ผัวหาบ เมียคอน" จึงเป็นภาพชัดของการร่วมแรงร่วมใจกันของคู่สามีภรรยาที่ช่วยกันทำงาน
1
การช่วยกันแบ่งเบาภาระซึ่งกันและกัน ยามเหนื่อยก็เหนื่อยด้วยกัน ยามได้ผลผลิตได้ผลตอบแทนก็มีความสุขร่วมกัน
ชีวิตที่ผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน ทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน แล้วความรักก็เกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติของความผูกพัน
คนสมัยก่อนจะใช้ชีวิตคู่ยืนยาวจนแก่จนเฒ่า ไม่ค่อยเลิกรา อย่าร้างกันง่ายๆก็อาจเป็นเพราะสาเหตุนี้
1
ความจริงแล้วในชีวิตของคนเราไม่ได้ต้องการอะไรที่ซับซ้อนมากมาย แต่บรรทัดฐานของสังคมผลักดันให้เราต้องมีนั่น มีนี่มากมาย
2
กดดันให้เราต้องทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ เพื่อให้มีเงินเดือนเท่านั้นเท่านี้
แล้วทำตัวเป็นเหมือนเครื่องจักรที่ออกไปทำงานหาเงินมาซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงเอามาเติมให้เครื่องจักรสามารถทำงานต่อไปได้ เป็นอย่างนี้ทุกวัน จนกว่าเครื่องจักรนั้นจะพัง ก็คือตายไปในที่สุด
อันนี้คุณโจน จันได พูดเปรียบเทียบไว้ในรายการเจาะใจ มันโดนใจเลยเก็บเอามาเล่าให้เพื่อนๆฟังกัน
ประเด็นที่จำไม่ลืมเลยสำหรับคำพูดของคุณโจน จันได ที่คิดว่าเราน่าจะเอามาปรับใช้ในชีวิตได้คือคำพูดที่ว่า
"ชีวิตมันควรจะเป็นอะไรที่ง่ายๆถ้าทำไปแล้วรู้สึกว่ามันยาก แสดงว่ามันผิดแล้วล่ะ"
2
ขอขอบคุณผู้ที่ให้แนวคิดในการเขียนและในการใช้ชีวิต
: คุณโจน จันได และ
: คุณดู๋ สัญญา คุณากร
: รายการเจาะใจ
ขอขอบคุณผู้ให้แรงบันดาลใจในการเขียนบทความนี้
: พี่ปู เจ้าของเพจทำอาหารชื่อดัง PUPAN
สวัสดีวันศุกร์ที่สุขครับ
โฆษณา