5 พ.ค. 2021 เวลา 02:00 • บันเทิง
ค่อม ชวนชื่น | อ่านหนังสือไม่ออกแม้แต่ตัวเดียวสู่นักแสดงตลกผู้ยิ่งใหญ่
.
ไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตนี้จะได้ยินคำว่า “ไอ้สัส” ออกอากาศทางช่องฟรีทีวี โดยไม่มีใครติดใจเอาความ ถ้าไม่ใช่ “ค่อม ชวนชื่น” ผมมองไม่ออกจริง ๆ ว่าจะมีใครพูดประโยคดังกล่าวออนแอร์ได้
นั่นเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งในความมหัศจรรย์มากมายที่ “นักแสดงตลกผู้ยิ่งใหญ่” เคยฝากฝังเอาไว้บนโลกก่อนสิ้นลมหายใจ
ดาราตลกมีอยู่เกลื่อนฟ้า แต่ดาวฤกษ์ที่ส่องแสงเด่นอย่างที่ “อาคม ปรีดากุล” อาจแค่มีดวงเดียว ?...
เพราะการแสดงเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมแบบน้าค่อม ผมคิดว่ามีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถทำอะไรเช่นนี้ได้
หลายคนจดจำ ไดอะล็อกบทพูด, กิริยาท่าทาง และคาแรกเตอร์ “ค่อม ชวนชื่น” ยามเล่นหนังตลกได้มากกว่าพล็อตภาพยนตร์เรื่องนั้นเสียอีก
บทบาทของ “น้าค่อม” ในจอเงิน มักแสดงเป็นคนที่พูดจาฉะฉาน เสียงดังฟังชัด มีจังหวะจะโคนในการเล่นตลกขั้นเซียน
กล่าวคือ น้าค่อม เป็นคนที่แสดงไม่เยอะ แต่เข้าเป้าทุกเม็ด คำพูดคำจา น้ำเสียง สีหน้าท่าทาง บวกกับคาแรกเตอร์ที่มักถูกจับให้แสดงเป็นคนคุยโวโอ้อวด รวมกันแล้วกลายเป็นความเฉพาะตัวที่คนอื่นก็ทำแบบแกไม่ได้
แต่ใครเล่าจะรู้ว่า “ชีวิตจริง” หลังผู้กำกับสั่งคัต ? ดาราตลกขวัญใจมหาชนนามว่า “ค่อม ชวนชื่น” แท้จริงอ่านหนังสือไม่ออกแม้แต่ตัวเดียว
เซ็นลายเซ็นให้แฟนคลับ บางครั้งยังเขียนชื่อตัวเองผิด และตัวตนของเขาก็ไม่ใช่คนมึงมาพาโวยแบบที่เห็นในภาพยนตร์
ตรงกันข้ามเขาเป็นคนที่ติดดิน เรียบง่าย ถ่อมตน พูดไม่เก่ง ประพฤติตนดี ดังที่เพื่อนร่วมงานทั้งหลายพูดถึงเขาตามหน้าสื่อ ในวันที่น้าค่อมหมดลมหายใจ
ทุก ๆ การแสดงอันน่าทึ่งที่มาจาก “น้าค่อม” จึงล้วนเกิดจากความตั้งใจ และเพียรพยายามของชายคนนี้
ถึงแม้ไร้ศึกษา อ่านเขียนไม่ได้ แต่ก็กลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ในวิถีทางอาชีพ “ศิลปินตลก”
อาคม ปรีดากุล มีพื้นฐานชีวิตมาจากครอบครัวยากจน
ไม่ทันรู้เดียงสา เขาออกจากโรงเรียนตั้งแต่ป.1 จึงไม่มีความรู้ติดตัว อ่านหนังสือและเขียนไม่ได้ เข้าโรงลิเกตามคุณพ่อแม่ ฝึกหัดอาชีพเต้นกินรำกิน ที่บางคนในยุคก่อนดูถูกดูแคลน
การเป็นคนที่ไม่มีต้นทุนด้านการศึกษา ทำให้ “น้าค่อม” ต้องดิ้นรนตั้งแต่เด็ก หาเลี้ยงปากท้องด้วยการแสดงลิเก เล่นเป็นตัวโจ๊กบ้าง บางทีก็ไปตีกลอง ตีตะโพน ทำทุกอย่างที่คณะเรียกใช้ แลกค่าตอบแทนไม่กี่บาทต่อวัน
อ่านไม่ออกก็ไม่เป็นไร อาศัยตั้งใจฟังเวลาคนเขามาต่อบท เอาความมานะและขยันเข้าสู้
สุดท้าย “ค่อม ชวนชื่น” กลายเป็นคนที่ใคร ๆ ต่างร่ำลือว่า “จำแม่น” สมัยนั้นต่อให้บทร้องรำลิเกยาวแค่ไหน เขาก็สามารถจำและนำไปแสดงได้หมด ราวกับอ่านท่องจำมาเป็นอย่างดี
ช่วงชีวิตตอนเด็กจนถึงวัยหนุ่ม “น้าค่อม” ไม่เคยรู้จักคำว่าสบาย ตามคำบอกเล่าของเพื่อนสนิท “โน๊ต เชิญยิ้ม” ที่เคยลำบากด้วยกันมานานหลายปีสมัยเป็นวัยรุ่น
เขาสองคนรู้จักกันตั้งแต่ตอนยังไม่มีชื่อเสียง จนกระทั่งเพื่อนรัก "บำเรอ ผ่องอินทรีย์" ที่มีพื้นเพเป็นนักแสดงลิเกเหมือนกัน ผันตัวเปลี่ยนสายไปเด่นดังเป็น “ดวกตลกคาเฟ่” ยุคบุกเบิก และร่วมก่อตั้งคณะ “เชิญยิ้ม”
ขณะที่ “อาคม ปรีดากุล” โอกาสดีสุดของเขา คือการย้ายมาเล่นลิเกให้กับคณะชื่อดัง “พงษ์ศักดิ์ สวนศรี” แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวยังไม่สุขสบาย เขาได้ค่าตอบแทนวันละ 150 บาทเท่านั้น เมื่อสมัย 30-40 ปีก่อน
โน๊ต เชิญยิ้ม เคยชักชวนให้เพื่อนรักมาเล่นตลกคาเฟ่ด้วยกัน เพราะมั่นใจในศักยภาพ รู้นิสัยใจคอ รู้ทางตลกกันเป็นอย่างดี แต่กลับเป็นฝ่าย น้าค่อม ที่เกรงใจและไม่เคยคิดว่าตัวเองสามารถเล่นให้คนขำได้ เขาตอบปฏิเสธโอกาสนั้น
นั่นคือความถ่อมตนของน้าค่อม ที่มีมาแต่ไหนแต่ไร แม้แต่วันที่เขาดังมีชื่อเสียงล้นฟ้า นักข่าวไปสัมภาษณ์ก็ยังตอบคำเดิม “ผมไม่ใช่คนเก่ง”
ในตอนที่ ค่อม ปฏิเสธ โน๊ต ครอบครัวเขายังมีความเป็นอยู่ลำบากแต่เจ้าตัวก็ไม่หวังเดินทางลัด เพียงเพราะมีเพื่อนเป็นตลกดัง ยังคงประกอบอาชีพ นักแสดงลิเก จนอยู่อายุล่วงเลยมาถึงวัยแตะหลัก 3
“จิ้ม ชวนชื่น” อดีตนักแสดงลิเกรุ่นน้องที่เห็นมาตั้งแต่เด็ก เพราะเป็นญาติกัน ก็เป็นคนอีกคนที่เห็นแววความเป็น “ดาวตลก” ของน้าค่อม
หลังจากเขาได้ฟอร์มทีมทำตลกคาเฟ่ “คณะชวนชื่น” มาได้สักระยะ ก็ต้องการสมาชิกเข้ามาเสริมอีก
เขาขับรถไปถึงอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อทาบทาม ตัวโจ๊กประจำคณะลิเกพงษ์ศักดิ์ สวนศรี ให้มาเล่นตลกคาเฟ่
ครั้งแรก น้าค่อม แบ่งรับแบ่งสู้ด้วยเหตุผลเดิมคือ ไม่คิดว่าตัวเองเล่นตลกได้ จึงบอกจิ้มขอเวลาตัดสินใจก่อน 2-3 วัน
ผ่านไป 3 วัน ยังไม่ได้คำตอบ “จิ้ม ชวนชื่น” อดรนทนไม่ไหว ขับรถไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ช่วงบ่ายวันนั้นเขาตระเวนถามคนในเมือง “รู้ไหมครับ ? ลิเกพงษ์ศักดิ์ คืนนี้แสดงที่ไหน ?”
จนเจอตัวน้าค่อม นอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ จึงลากพากันมาเล่นตลกด้วยกัน โดยที่ลูก-เมีย น้าค่อม ที่อยู่ จ.อ่างทอง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้เป็นพ่อ กำลังจะเปลี่ยนอาชีพ
คืนวันนั้น “น้าค่อม” มีงานแสดงที่คาเฟ่ วันรุ่งขึ้นมีงานอัดตลกม้วนวิดีโอทันที และกลายเป็น “ค่อม ชวนชื่น” ดาวตลกผมรากไทร แต่งตัวจัดจ้าน ตั้งแต่วันนั้น
ชวนชื่น เป็นคณะตลกที่มีรากฐานมาจากลิเก ในตอนนั้นพวกเขามีความแตกต่างจากตลกคาเฟ่คณะอื่น เนื่องจากแสดงตลกแบบมีพล็อตเรื่อง
ด้วยความที่รู้ใจกัน จิ้ม จึงค่อนข้างให้อิสระในการเล่นตลกกับ “ค่อม ชวนชื่น” สามารถเล่นตามท้องเรื่อง หรือบิดพริ้วแสดงตามธรรมชาติตัวเอง ไม่บังคับกัน
ค่อม อยู่กับคณะชวนชื่นมานานร่วม 30 ปี ระหว่างเส้นทาง เขามาโด่งดังมีชื่อเสียง และเป็นที่จดจำอย่างมาก จากการแสดงบนแผ่นฟิล์มที่ผู้คนชื่นชอบ
เริ่มจากคาแรกเตอร์ “จุก เบี้ยวสกุล” ในภาพยนตร์รีเมกเรื่องดัง “7 ประจัญบาน” ในปี 2002 ซึ่งเป็นผลงานหนังเรื่องที่ 2 ในชีวิตของเขา
ค่อม ชวนชื่น ยอมลงทุนโกนศีรษะเพื่อแสดงหนัง 7 ประจัญบาน และไว้ทรงสกินเฮดมาตลอด เพราะเชื่อว่าเป็นทรงผมที่ทำให้แจ้งเกิดคนไทยรู้จักกันทั่งประเทศ
หลังหมดภารกิจกับหนัง 7 ประจัญบาน ภาคแรก “น้าค่อม” ก็มีงานแสดงภาพยนตร์เข้ามาต่อเนื่อง ก่อนมาเฉิดฉายกลายเป็น นักแสดงตลกเบอร์ 1 ของวงการหนังไทย นับตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา
อาทิ แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า, โหดหน้าเหี่ยว, กองพันครึกครื้น ท.ทหารคึกคัก, น้ำ ผีนองสยองขวัญ, คุณนายโฮ, ไบค์แมน ศักรินทร์ตูดหมึก
สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ ค่อม ชวนชื่น อ่านสคริปท์ไม่ออก แต่กลับมีผลงานแสดงภาพยนตร์มากกว่า 90 นี่ยังไม่รวมงานละคร, รายการทีวีที่เข้ามาไม่หยุดหย่อน
วิธีการเดียวที่เขาใช้คือ “จำ” ทุกคนที่เคยร่วมกันต่างบอกเสียงเดียวกันว่า “น้าค่อม” ใช้การต่อบทแค่ครั้งเดียว ก็สามารถจำได้
ไม่ใช่แค่จำแม่นว่าต้องเล่นอย่างไร แต่เขายังตีบทแตกตลอด อีกทั้งยังเป็นที่คนตรงต่อเวลามา ไม่เคยมาสายแม้แต่ครั้งเดียว เป็นคนที่เดินทางมาก่อนเวลานัดหมายตลอด
น้าค่อม ให้สัมภาษณ์กับ a day บอกถึงเหตุผลที่เขาเป๊ะเรื่องเวลาอย่างมากว่า “เราไปเอาเงินเขา เราต้องตรงต่อเวลา ตรงต่อหน้าที่ สิ่งเหล่านี้คือดีที่สุด การเป็นนักแสดงถึงคุณไม่ได้เล่นดีมาก แต่ถ้าทำเวลาได้ดีเขาก็ยังจ้างคุณ”
“เวลาในวงการนี้คือเรื่องสำคัญมาก ซึ่งถ้าเราทำได้ เผลอๆ เวลาเราทำอะไรผิดพลาดนิดหน่อยเขาก็ให้อภัยเรา เพราะอย่างน้อยเราไม่เคยผิดเรื่องเวลา"
"ชีวิตคนเรามีแค่ตื่นกับนอนน่ะ ตื่นมาก็ไปทำงาน ทำงานเสร็จแล้วก็กลับมานอนให้เต็มอิ่ม”
ค่อม ชวนชื่น จึงเป็นดาวตลกที่ไม่ใช่แค่ครองใจผู้ชมทุกเพศทุกวัย แต่คนในวงการบันเทิงต่างรักใคร่ เพราะเขาเป็นคนติดดิน เรียบง่าย กินข้าวยังใช้มือเปิป ไม่เคยคิดว่าตัวเองดัง ไม่เคยให้ร้าย หรืออิจฉาใคร
มีจิตใจดี ขยันตั้งใจทำงานมาก ตรงต่อเวลา ซื่อสัตย์กับงานที่ตัวเองทำมาก ถึงขนาดที่ช่วงเคยถ่ายหนังติดต่อกันหนัก ๆ เขาโด๊ปเครื่องดื่มชูกำลัง 12-13 ขวดต่อวัน จนเคยน็อกเข้าโรงพยาบาลมาแล้ว
แม้ช่วงบั้นปลายชีวิต ค่อม ชวนชื่น บทบาทการเล่นตลกจะน้อยลงไปบ้างเมื่อเทียบกับตอนหนุ่ม ๆ หลังย้ายมาอยู่กับทีม โจ๊กเกอร์ แฟมิลี่ ร่วมกับ บอล เชิญยิ้ม, ตั๊ก บริบูรณ์, แจ๊ส ชวนชื่น, นุ้ย เชิญยิ้ม, โรเบิร์ต สายควัน
เนื่องจากอายุมากขึ้น ทะลุหลัก 6 ไปแล้ว แถมมีปัญหาสุขภาพ จึงหักโหมไม่ได้
แต่ถ้าเปิดช่องให้ น้าค่อม พูด ขยับท่าทาง หรือขยี้ ตบ มุขเมื่อไหร่ ? ก็ยังคงเรียกเสียงฮาจากผู้ชมได้เสมอ
เรียกว่าเป็นคนที่เล่นตลกน้อย แต่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพคับแก้ว ทำคนขำได้ตลอด
น่าเสียดายที่โรคระบาดมาคร่าชีวิตของ ชายวัย 63 ปีผู้สร้างแต่ความสุขให้คนไทย
น่าเสียดายที่ น้าค่อม ไม่มีโอกาสได้จัดงานศพยิ่งใหญ่ดั่งราชาตลกคนอื่น ๆ
น่าเสียดายที่ไม่มีพิธีกรรมทางศาสนาเปิดให้ มิตรรักแฟนตลกได้แห่มาร่วมไว้มาอาลัยครั้งสุดท้าย
น่าเศร้าใจที่ครอบครัวของน้าค่อม ไม่มีโอกาสแม้กระทั่งได้สั่งเสีย ร่ำลา หรือเห็นหน้าก่อนร่างเหลือเพียงเถ้ากระดูก
ผมรู้สึกไม่ต่างกับคนไทยจำนวนมากที่รู้สึกช็อกและเสียใจกับการสูญเสีย “ค่อม ชวนชื่น”
ในตอนเช้าที่ผมตื่นลืมตาขึ้นมา แต่นักแสดงตลกที่เรารัก จะไม่มีวันได้ลืมตาขึ้นมาอีกแล้ว
จากใจเลย ผมอยากให้เวลาผ่านไปสักระยะ จึงค่อยเขียนบทความเพื่อระลึกถึง ศิลปินตลกผู้ยิ่งใหญ่คนนี้
เพราะผมไม่ได้ต้องการยอดไลค์ฉับไว ยอดแชร์ถล่มทลาย
ผมจึงแน่ใจว่า บทความนี้ผมเขียนถึง น้าค่อม ด้วยใจรักศรัทธาในผลงาน และตัวตนของเขา
หลับให้สบายครับน้า ผมรักน้าจริง ๆ
.
.
.
#alongwrite #งานเขียนสนุกไม่ซ้ำจับทางไม่ได้ #สนับสนุนให้คนไทยรักการอ่าน #น้าค่อม #ค่อมชวนชื่น #ตลกไทย
โฆษณา