6 พ.ค. 2021 เวลา 09:39 • ปรัชญา
กลยุทธ์การวางแผนชีวิต....ด้วยหลักโหราศาสตร์ เวอร์ชั่นใหม่ !
3
จิ้งจก  :  ลุง...เราจะใช้โหราศาสตร์ในการวางแผนชีวิตได้ไหม ?
หลอดไฟ  :  ได้สิ ทำไมจะไม่ได้  มีประโยชน์มากด้วย อย่างน้อยเราก็ควรรู้ว่าปีนี้ เราดวงเป็นอย่างไร  ควรระวังอะไร และกำลังจะอยู่ในครรลองชีวิตแบบไหนในปีนี้
จิ้งจก : ที่ว่าปีนี้ของลุงหมายถึง ?
หลอดไฟ  :  ก็วันเกิด ชนวันเกิดในหนึ่งปียังไงหล่ะ
จิ้งจก :  มันมีประโยชน์ยังไงอยากรู้มากเลยไอ้การดูดวงปีต่อปีนี่ ลุง ?
หลอดไฟ :  ประโยชน์นะมีแน่ ไม่ต้องไปดูอะไรที่กว้างไกลอะไรมาก  เอาแค่ปีนี้ ต้องระวังดาวอะไร และดาวอะไรให้คุณ
ถ้าอยู่ในวัยทำงานยิ่งมีประโยชน์ เพราะจะได้รู้ว่า  ปีนี้ดาวตัวเรา  ดาวเดช   ดาวมนตรี  ดาวศรี อยู่ในจุดที่ดีไหม หรืออยู่ในจุดที่เสื่อม
ส่วนดาวที่ต้องเหน็ดเหนื่อยอย่างดาวอุตสาหะ อยู่ในจุดที่เหนื่อยแล้วให้คุณไหม  ดาวกาลกิณีมีกำลังหรืออ่อนกำลัง  สัมพันธ์กับเรื่องไหน ก็เรื่องนั้นแหละที่ต้องพิจารณา
1
อย่างดาวพุธเจ้าชะตาเสีย  ก็ต้องระวังเรื่องการพูดจา การสื่อสารอะไรออกไปอย่าใจร้อนมีสติให้มากไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาตามมา
ดาวกัมมะเสียก็ต้องระวังความผิดพลาด ความเครียดเกี่ยวกับงานที่รับผิดชอบ  อุตสาหะเสียก็ต้องระวังความคิด นโยบายงานต่างๆที่คาดหวัง อย่าหมายสูงเกินไปนัก  นี่แค่ทักษากาลโยค ยังมีศาสตร์อื่นอีกหลายศาสตร์ นะ
จิ้งจก :  แล้วจะดูกับหมอคนไหน แล้วศาสตร์ไหนดีหล่ะลุง
หลอดไฟ :  หมดดูที่ดีก็มีที่ร้ายก็มากก็เหมือนในวิชาชีพอื่นๆ นั่นแหละ ไม่ใช่ว่าจะดีไปทุกคน
ยิ่งหมอดูเป็นอาชีพ ที่อาศัยความเชื่อความศรัทธา ก็อยู่ในข่ายที่คนส่วนใหญ่กังวลมาก เพราะอาจสร้างภาพ ทำ PR  ทำการตลาดได้หลายรูปแบบ  เพราะเขามีเจตนาให้เราเชื่อศรัทธา
ตัวคนดูก็ไม่รู้หรอกว่าหมอคนไหนดีไม่ดี  ก็ต้องลองผิดลองถูกกันดู  ถ้าค่าดูแพงมากก็ถอย
นอกจากมีคนแนะนำต่อๆกัน  ส่วนพวกหมอดูที่ดีก็ไม่ได้วัดที่ค่าดูหรอกนะ
บางทีค่าดูไม่ได้แพงอะไรเลย แต่ท่านก็มีความจริงใจที่จะดูให้ เป็นที่ปรึกษาให้
บางคนไปเรียนศาสตร์ที่ดูโก้แก๋  มีระดับ ดูยากยิ่งนักที่จะเข้าใจ  เรียนกันมาไม่นานก็ออกมาเป็นหมอดู ตั้งราคาหลักพันกันเลยทีเดียว  เพราะเป็นศาสตร์ระดับโลก เขาว่ากันนะ คือทั่วโลกเขาใช้ศาสตร์นี้พยากรณ์
2
แม่นไม่แม่นก็ต้องพิสูจน์กันเอาเอง  แต่ด้วยความยากหรือความละเอียดหรืออย่างไรไม่ทราบหลายคนก็บ่นว่าเสียดายตังส์
ความสำเร็จของหมอดู ไม่ว่าระดับไหน วัดกันที่ไหนรู้ไหม   วัดกันที่คนที่มาดูแล้วกลับมาดูอีกไหม  หรือแนะนำเพื่อนๆเขามาดูไหม
นี่หล่ะตัวตัดสินว่าหมอดูท่านนั้นมีคุณภาพ  ซึ่งแน่นอนว่าหมอดูที่เก่งๆ เขาจะไม่ต้องทำการตลาด หรือทำ PR อะไรมากนัก  เพราะไม่รู้จะไปทำๆไม ในเมื่อลูกค้าก็มีมาตลอด
1
แสดงว่าพวกที่ทำการตลาดอยู่ทุกวันนี้ อาจไม่มีลูกค้า  แต่ก็อย่าไปมองเขาในแง่ร้ายเกินไป   เขาอาจยังไม่เป็นที่รู้จัก ก็ต้องทำตลาดในรูปแบบที่พอทำได้ไปก่อน
สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามกลไกตลาดนั่นแหละ    แต่หมอส่วนหนึ่งก็เหมือนพ่อค้าแม่ค้าบางกลุ่มคือเน้นหากินกับขาจร ตีหัวเข้าบ้าน
ไม่ได้สนใจ ใส่ใจ หรือมีความจริงใจอะไรกับผู้มารับบริการ  บางคนวางตัววางมาดเขื่องว่าเป็นกูรู เป็นเอ็กซเปิด  ตั้งตัวเป็นครูอาจารย์ก็ไม่น้อย
ทั้งที่จริงๆแล้วเป็นเพียงพวกเอ็กซปูด เท่านั้นเอง ก็มีให้เห็นมากมาย  การจะดูหมอบางครั้งจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคนดูก็กลัวเสียเวลา เสียความรู้สึก
แต่ก็เอาเถอะ ลุงจะมีข้อคิดให้เล็กน้อย ในการดูหมอ  คือ
1.    หาหมอที่คน แนะนำให้  เพราะเขาดูแล้วก็คงต้องดีระดับหนึ่ง  แต่ถูกใจเราหรือไม่ก็ต้องลอง
2.    หากต้องดูหมอโดยไม่มีใครแนะนำ  ก็ดูความน่าเชื่อถือ  พวกราคาถูกผิดปกติ เช่น ต่ำกว่า 300 ก็ต้องระวัง สิ่งที่จะตามมาคือ เรียกเก็บค่านู้นนี่เพิ่ม  คือหาเงินนั่นแหละ
3.    การดูหมอ ต้องไม่คาดหวังว่าเขาเป็นผู้วิเศษอะไร  เราต้องบอกข้อมูลเขาด้วย เพราะหลักวิชาของเขาทั้งความหมายภพ และดาวนั้นกินความกว้างมาก
ต้องดูที่บริบทของเรื่อง หมอดูจึงตีกรอบขมวดเรื่องให้ได้ใกล้เคียงอันเป็นประโยชน์กับตัวเราเอง
4.    สิ่งที่ได้ในการดูหมอว่าคุ้มหรือไม่  ดูจากสิ่งที่เขาแนะนำให้คำปรึกษา ที่สำคัญต้องอยู่ในหลักทางโหร ไม่ใช่มโนให้ความปรึกษาด้วยความเก๋าหรือความรู้สึกของตัวเอง
หลักโหราศาสตร์ต้องมาก่อน แนวคิดประสบการณ์ชีวิตของตัวหมอดูนำมาประกอบเพื่อขยายความเท่านั้น
จิ้งจก : ลุง....แล้วค่าดูที่เหมาะสมควรเป็นเท่าไหร่หล่ะ ?
หลอดไฟ  :  ค่าดูหมอ หรือค่าครูที่เขาใช้เรียกกัน  เราต้องเข้าใจก่อนว่าทุกวิชาชีพเขาก็มีต้นทุน
หมอดูนับว่าน่าเห็นใจไม่น้อย เพราะต้นทุนของเขาคือ ตำหรับตำรา ซึ่งค่อนข้างราคาแพงถึงแพงมาก  และใช่ว่าตำราเพียงเล่มสองเล่มจะเป็นอันยุติ
หมอดูแต่ละคนมักมีตำราเต็มบ้าน  ความรู้ที่ใช้จริงก็ได้เล่มนั้นบ้างเล่มนี้บ้าง  ต้องไปเรียนตามสมาคมฯ  ซึ่งก็ได้แค่ความรู้ทั่วไป อยากได้ลึกๆก็ต้องเข้าหาอาจารย์เป็นศิษย์รักติดตามกันหลายปี
บางทีหลงตามมานานอาจารย์ก็ก็ไม่คายเคล็ดลับความจริงสักที ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมันไม่มีมากกว่านี้ศิษย์หลงเพ้อไปเอง
หรือถึงมีเขาก็ไม่คายของจริงให้เพราะอาจเคยเจอศิษย์เนรคุณเลยเข็ดเท่านั้นเอง
ถามว่าครูบาอาจารย์ที่เก่งและดีๆมีบ้างไหม ก็ตอบว่ามีซึ่งก็มีเหมือนทุกวงการคือมีน้อยถึงน้อยมาก แล้วแตาวาสนาศิษย์ เคยได้ยินไหม "เมื่อศิษย์พร้อมอาจารย์โผล่" ปรัชญาเซ็น
ถามว่าศิษย์พร้อมคือยังไง ศิษย์ที่มีคุณธรรมหรือเป็นสายขาวมีความจริงใจและมีจริตทางนี้ย่อมมีวาสนาได้เจอครูเก่งและดีแน่นอนเมื่อถึงเวลาไม่ว่าจะเป็นครูที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน !
แต่ก่อนถึงเวลานั้นครูท่านอาจอยากให้ศิษย์รักได้เจออุปสรรคบ้างได้รู้ได้เห็นสันดานคนในเส้นทางสายนี้ไม่ว่าเพื่อนไม่ว่าพวกกูรูเอ็กซเปิดเอ็กซปูดรวมถึงพวกเอ็กซตูดไว้บ้าง
ครูที่เป็นคู. อาจารย์ที่เป็นอาจาน. ศิษย์ที่ดีควรรู้ว่ามีอยู่จริง มายาคติเหล่านี้เป็นสื่งที่ต้องรู้และเข้าใจเพราะคนมีหลายรูปแบย เพราะเส้นทางสายนี้มันคาบเกี่ยวดีชั่วได้ง่าย
กิเลสตัณหามันพลุ่งพล่านได้ง่าย ถ้าไม่มีหิริโอตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาป มาค่อยรั้งจิต เพราะเส้นทางสายนี้ผสมผสานอยู่ในความจริงความเชื่อและความศรัทธา
ลาภสักการะมันมี คนที่มีอำนาจโมหจริต โลภจริตครอบงำมันมี
ครูโหรโบราณส่วนใหญ่จึงมักเป็นผู้มีหิริโอตัปปะกันเป็นส่วนมาก. ส่วนนึงก็กลัวครูโหรที่ไม่มีตัวตนลงโทษ
ส่วนหนึ่งก็มักถือศีลบำเพ็ญเพียร อันมีทานศีลภาวนาเป็นพื้นอยู่แล้ว ส่วนลาภสักการะเป็นเรื่องน้ำใจของผู้มาดูเพราะกำลังแต่ละคนไม่เท่ากัน
ศิษย์อาจารย์ย่อมต้องเคมีกันจึงสานต่อความสัมพันธ์กันได้ คืออยู่กันแล้วไม่เครียด อันนี้สำคัญ. คนที่เคมีเข้ากับใครง่ายถือว่าโชคดี
ครูอาจารย์ส่วนมากก็ใจดีแม้แต่เพื่อนดีๆถูกอัธยาศัยกันส่วนใหญ่เขามีอะไรดีอะไรที่ใช่ที่พิสูจน์มาแล้วเขาก็บอกกัน
ครูอาจารย์หรือเพื่อนบางคนแม้ไม่เก่งขนาดทะลุจอก็มากด้วยน้ำใจ. และขณะเดียวกันศิษย์ก็จะเจอพวกรู้มากรู้จริงเก่งแต่ไม่บอกใครก็มี พวกอวดเก่งแบบเก่งจริงและไม่เก่งก็มี
ถ้าศิษย์ศึกษาแนวคิดเทคนิควิชาต่างๆก็จะเข้าใจคนเหล่านั้น ไม่ว่าทางโหงวเฮ้งเขาก็มีลักษณะให้เห็น คนสายปฏิบัติและได้สภาวะแล้วมองป้าดเดียวก็รู้แล้ว. ..เขาเป็นเช่นนั้นเอง
ในทางลายมือ แค่ดูโครงสร้างรูปมือก็พอจะรู้นิสัยใจคอแล้ว โหราศาสตร์ เห็นรูปดวงก็รู้แล้ว เป็นต้น
บุญกรรมวาสนาแต่ละคนได้ส่งสัญลักษณ์รูปลักษณ์ สภาพแวดล้อมวงตระกูลและอนุสัยแต่ละคนมาแล้ว "กรรมกำหนด" ไว้แล้ว
แม้คนเกิดวันเวลาเดียวกันทั้งโลกทีเดียว5,000คนชีวิตก็จะไม่เหมือนกัน เพราะนอกจากดวงชะตา ยังมีรูปลักษณ์ นรลักษณ์
สิ่งแวดล้อม ชาติตระกูล ล้วนเป็นตัวแปรสำคัญ. และสิ่งที่ติดตัวมาจากอดีตชาติก็คือนิสัยสันดานที่อยู่ภายใน
1
เราจึงเห็นคนทุกระดับชั้นยากดีมีจนสวยหล่อหรือไม่น่ามองล้วนมีจิตใจแตกต่างกัน บ้างมีน้ำใจ
ใจดี ใจกว้าง ใจนักเลง บ้างใจแคบ แล้งน้ำใจ คิดเอาแต่ได้ เยอะไปหมดทุกเรื่อง จุกจิก จู้จี้ขี้ถาม
บ้างก็หลงง่ายใครพูดจูงไปไหนง่าย มีโมหจริตโลภจริตเป็นพื้น หมดตัวเสียตัวเสียหายบ่อยจนไม่อยากจำ
บ้างหัวร้อนง่ายขี้ยั้วขี้โมโห เก็บอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ มีโอกาสสร้างเรื่องสร้างปัญหาให้กะตัวเองและคนรอบข้างได้ตลอด
เรื่องเล็กทำเป็นเรื่องใหญ่ความอดทนอดกลั้นไม่ต้องถามหา เจอคนดีมีปัญญาเขาก็จะเลี่ยงคนพวกนี้ และดูจะเป็นน่าสงสารมากเพราะช้าเร็วชีวิตก็จะต้องประสบความวิบัติ พินาศฉิบหายวอดวายไปเมื่อไปสร้างเหตุ
เมื่อไปเจอสายพันธ์หัวร้อนเหมือนกัน เรื่องจัญไรก็จะปรากฎ สงสารแต่คนในครอบครัวที่ต้องเดือดร้อนไปด้วยเท่านั้น
บ้างก็โหดเหี้ยมอำมหิต ฆ่าได้ ทำร้ายคนไม่มีทางสู้ได้อย่างไม่มีความละอายใจ
ซึ่งคำว่าโหดเหี้ยมอำมหิตนี้ก็ต้องแยกไปอีกว่า โหดแบบต้องมีอารมณ์ หรือแบบใช้สมองวางแผนการณ์ เรื่องนี้สายลายมืออาจารย์ปรีชา แดงบุปผาจะรู้ดี
เหล่านี้เห็นได้ในโหราศาสตร์และศาสตร์พยากรณ์ต่างๆ เมื่อศึกษาก็จะเข้าใจคนง่ายขึ้น และไม่แปลกใจที่ทำไมคนนั้นๆจึงมีจริตนิสัยแบบนั้น
แตงโมก็คือแตงโม คงไม่เป็นส้มโออย่างแน่นอน
ที่เหลือเป็นเรื่องของ สติ ที่มีสัมปชัญญะรู้ว่าอะไรมีประโยชน์อะไรไม่มีประโยชน์ แต่...สติ ไม่มีใครมีอยู่ตลอดเวลา จึงต้องหมั่นฝึกสติ ซื่งก็ไม่ยาก
จนเกินไป
แค่ในกิจวัตรประจำวันจะลุกนั่งเคลื่อนไหวก็พยายามรู้อาการดูวาโยธาตุเรากำลังไหวอยู่นะ กล้ามเนื้อส่วนนั้นๆกำลังทำงานอยู่นะ รู้สึกสบายๆเป็นธรรมชาติ
อะไรที่เผลอไปก็ผ่านไปแล้วพยายามกลับมาที่รู้เนื้อรู้ตัวหมั่นทำบ่อยๆสติจะดีขึ้นเองตามเหตุปัจจัยที่สั่งสม
อย่าไปจริงจังไปโลภอยากบรรลุอะไรมากนัก จิตที่มีแต่ความอยากมีแต่กิเลสมีแต่ความรุ่มร้อน...ไม่ได้อะไรเลย ทำสบายๆใจว่างๆ
ว่างจากกิเลสความอยากได้มาและอยากผลักไสออกไป ปล่อยวางบางเรื่องเมตตาแล้วทุกข์เพราะเราลืมนึกถึงอุเบกขาคือการวางใจเป็นกลาง
บางเรื่องมันกรรมของเขาช่วยตามกำลังตามเหตุปัจจัยอย่าให้ตัวเองเดือดร้อน
กลับมาต่อกันดีกว่า......หลุดเข้าภวังค์ไปแป๊บ :)
เหล่าศิษย์ที่ติดตามคิดว่าครูบาอาจารย์จะปล่อยวิชาที่ล้ำลึกกว่าที่สอนบ้าง  เพราะที่เรียนก็เรียนแต่พื้นฐานวนไปแล้วก็วนมา
1
ระดับสูงก็เหมือนวนๆงงๆ แต่เหมือนเรียนกันไม่จบสักที เสียเงิน เสียเวลานานหลายปี
ผลที่ได้คือความว่างเปล่ารู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง ทายไม่แม่น  ท้อเลิกกันไปหลายคน  จะว่าไปแล้วมันไม่ได้มีอะไรยากพิสดารนักหรอก
มันก็มีเพียงแค่ครูเขาไม่คายความจริงมาสอน  หรือไม่ผู้เรียนก็ไม่ได้เรียนเอาจริงเอาจังมากพอเท่านั้นเอง
ที่สำคัญต้องหมั่นค้นคว้าศึกษาด้วยตัวเองให้มากติดตรงไหนจริงๆค่อยไปถามครูอาจารย์
กว่าจะพยากรณ์ได้ต้องอ่านมากค้นคว้ามาก กว่าจะพูดออกมาแต่ละคำต้องพิจารณาพิเคราะห์ให้ถี่ถ้วน  สมองสมาธิต้องพร้อม
เหล่านี้คือสิ่งที่คนมาดูหมอไม่รู้หรือถึงรู้เขาก็ไม่ได้สนใจ  เขาสนใจว่าหมอดูช่วยอะไรเขาได้บ้าง
มีหลักการ มีความแม่น และให้คำปรึกษาได้แค่ไหนมากกว่า
ที่นี้มาถึงค่าครู  ในตลาดก็มีตั้งแต่ 300 , 500 ,1,000  - 2,000  แต่ส่วนใหญ่ก็เห็นมีที่ประมาณ 500 – 1,000 เป็นมาตรฐานนะ
บางที่คนที่มาดูเขาประทับใจใส่ซองให้เป็นหมื่นก็ยังมี เพื่อนลุงเคยเล่าให้ฟัง
จะว่าไปแล้วเรื่องที่เขาศรัทธาประทับใจ หรือให้ด้วยน้ำใจก็มีไม่น้อยถ้าเขาได้รับคำปรึกษาที่ดี
1
ทำให้เขาไม่เสียหาย  เสียใจ  บางทีทำให้เขา เกิดความสำเร็จในงาน ในธุรกิจ  ไม่ใช่แค่การให้กำลังใจ
เขามีกำลังใจเพราะเขาศรัทธา เชื่อ เพราะหมอดูคนนั้นมีหลักการ มีการอธิบายได้มีเหตุผลน่าเชื่อถือ
เมื่อเชื่อถือแล้วปฏิบัติตามแล้ว เกิดความสำเร็จหลายคนที่เป็นคนมีน้ำใจและเห็นคุณค่าของหมอดู
ที่แนะนำประโยชน์ให้  บางคนซื้อรถ ซื้อบ้านให้ก็ยังมี ลุงเคยเห็นมาแล้วหลานเอ๋ย.....
จิ้งจก : ศาสตร์ไหนดีหล่ะ ลุง ?
หลอดไฟ : ทุกศาสตร์เขามีจุดดีของเขา. มีลีลาภาษาที่ใช้ต่างกันไป
แล้วแต่หมอดูท่านนั้นถนัดแนวไหน แต่ของอาจารย์ที่ลุงนับถือแกใช้ทักษากาลโยคพม่า และอินทภาสบาทจันทร์
เพื่อนลุงเขาใช้โหราศาสตร์สากล. เพื่อนลุงเขาใช้โหงวเฮ้งกะลายมือ. บางคนก็ใช้ไพ่ยิปซี บางคนก็ใช้ทักษายุค
1
ไม่ว่าศาสตร์ไหนตัวผู้ศึกษาก็ระดับหนึ่งสิ่งสำคัญคือแรงครูในแต่ละสายวิชาเขา ศิษย์บางคนมีพฤติวัตรดีมีศีลธรรม. แรงครูก็จะมาช่วยเสริมเขา
บางคนประพฤติตัวไม่ดีฉ้ลฉลมีเหลี่ยมคูกะผู้มาดูเด้วท่านก็จะลงโทษ ยิ่งถึงเวลาดวงชะตาขาลงท่านจะซ้ำเลย เพราะวิชาพยากรณ์นั้นมีความลี้ลับระดับนึงทีเดียวแหละ
ตำราเล่มเดียวกันครูสอนคนเดียวกันผู้เรียนเอาจริงเอาจังเหมือนกันผลพยากรณ์ยังลึกซึ้งต่างกันเลยนี่ไม่ใช่แรงครูหรือไร
ดังนั้นอย่าไปคิดว่าวิชานั้นดีกว่าวิชานี้เลย เขามีลักษณะเฉพาะตัวของเขา
เราแค่ได้ประโยชน์จากการพยากรณ์ ก็น่าจะพอแล้ว
อ้อ....อีกอย่างนะ การดูหมอเราต้องคิดเสมอว่าเราเหมือนอยู่ในบ้านที่มืดการมีตะเกียงสักดวงเพื่อเห็นอะไรบ้างก็ดีกว่าไม่เห็นอะไรเลย
เรารู้จักเตรียมร่มเมื่อรู้ว่าฝนจะตกก็ดีกว่าไม่รู้ หลายเรื่องอาจไม่ตรงตามที่หมอเขาเตือนก็ย่าไปคิดว่าหมอไม่แม่น
เรื่องร้ายๆหมอเขาก็ไม่อยากให้แม่นหรอกเพราะมีแต่ความเดือดร้อน เขาเห็นอะไรก็ว่าตามหลักวิชาเขา
การที่ไม่เป็นเช่นนั้นหรือเป็นเพียงเล็กน้อยเราต้องดีใจว่าผลบุญปัจจุบันที่เราทำไว้นั้นเขาส่งผลเราจึงไม่มีอันเป็นไปตามคำพยากรณ์
เสียงเตือนหรือแสงสว่างที่เราพอเห็นอะไรบ้างนั้นย่อมมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย อย่างน้อยเราก็จะโฟกัสมีสติกะเรื่องนั้นๆมากขึ้น
ชีวิตมันก็เท่านี้จะปล่อยไปตามเวรกรรมหรือจะบริหารจัดการเวรกรรมเราเลือกได้..เอ็งอยากปล่อยชีวิตไปตามเวรตามกรรมไหมหล่ะเจ้าจก....?
จิ้งจก : แล้วเราจะบริหารจัดการดวงชะตายังไงดี เปลี่ยน ปรับดวงชะตาเหมือนกับ ปรับโหงวเฮ้งได้ไหมลุง
หลอดไฟ : ลุงมีแนวคิดจะแชร์ แต่เด้วก่อน มันจะยาวไป คนอ่านเขาชอบบ่นว่าลุงชอบเล่ายาว บางคนก็บอกว่าอ่านเพลินดี
บางคนเขาว่ามันยาวไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ ลุงพอก่อนดีกว่า ไว้คราวหน้านะจก...!
เจ้าจก.....ลุงจะพูดให้เอ็งพอเห็นภาพเอาไว้นะ
หมอดู. ไม่ใช่ผู้วิเศษ
หมอดู. ไม่ใช่คนไร้เหตุผล
หมอดู. ไม่ใช่ผู้ตัดสินชีวิตคน
หมอดู. ไม่ใช่คนหลอกลวงใครๆ
หมอดู. คือ เพื่อนคู่คิด
หมอดู. คือ เข็มทิศช่วยชี้ทางให้
หมอดู. คือ ผู้ให้ขวัญและกำลังใจ
หมอดู. คือ ผู้ช่วยให้เห็นสัจจธรรม
ดูดวงควรดูเพื่อ.....
ปรับปรุงแก้ไขชีวิตของตนเอง
ในส่วนที่บกพร่อง อันเป็นจุดบอดของชีวิต
ให้หมดไปจากชีวิต
ไม่ใช่ดูดวงเพื่อหาคำตอบที่ใจต้องการ
ว่าเมื่อไหร่ฉันจะรวย
อย่าใช้.....
วิชาโหรฯตัดสินชีวิตคนว่า
เราดีหรือเลว
ควรใช้เพียงเพื่อบอกเราว่า
ชีวิตเราจะดีหรือเลว
เพราะอะไรเป็นเหตุ
และ....
การฝึกสมาธิกรรมฐาน
เพียงวิธีเดียวเท่านั้น
ที่จะช่วยแก้ดวงชะตาได้ !
จากความคิด.....
ทำให้เกิดการกระทำ
จากการกระทำ
ทำให้เกิดนิสัย
จากจุดนี้แหละคือจุดกำเนิดของดวงชะตาคน
แก้ดวง....ต้องแก้ที่ "ความคิด"
2
บางครั้ง.....
ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้
นั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด
สำหรับหมอดู....
ครูโหรโบราณบอกเสมอ....
อย่าใช้วิชาโหรฯ...
ที่นักปราชญ์ท่านบัญญัติไว้
ในทางที่ผิดๆเพราะเห็นแก่เงินทอง
และสิ่งตอบแทนเพียงเล็กน้อย
เพราะนั้นคือ....ความหายนะที่จะเกิดกับหมอคนนั้น
และวงการหมอดู
แพทย์....
ใช้ร่างกายเพื่อตรวจหาโรค
หมอดูใช้วันเดือนปีและเวลาเกิด
เพื่อตรวจหากรรมของคน
จำไว้นะ...เจ้าจก :)
โฆษณา