8 พ.ค. 2021 เวลา 02:15 • กีฬา
จากดาวรุ่งอัจฉริยะที่เกือบจะกลายเป็นกองหน้าทีมชาติอังกฤษคนต่อไป "บ๊อบบี้ ดันแคน" ไปทำผิดพลาดตรงไหน ถึงตกอับ กลายเป็นแค่ตัวสำรอง ของสำรอง ในทีมลีกล่าง วิเคราะห์บอลจริงจังจะเล่าให้ฟัง
2
ไม่มีอะไรในโลกฟุตบอลจะน่าเศร้าไปกว่า ดาวรุ่งที่ใครๆ ก็ยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะ แต่ไม่สามารถพัฒนาตัวเองไปสู่ระดับสูงได้ ก่อนสุดท้ายจะค่อยๆ กลืนหายไปกับกาลเวลา
อย่างราเวล มอร์ริสัน เป็นตัวอย่างที่ดี นี่คือนักเตะที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยอมรับว่า "มีพรสวรรค์สูงสุด" ตั้งแต่เคยเจอมาในอะคาเดมี่ แต่เพราะปัญหารุมเร้า สุดท้ายต้องปล่อยตัวทิ้ง และจนถึงวันนี้ มอร์ริสัน ก็ไม่เคยเล่นได้สมกับพรสวรรค์ที่เคยมี
อีกหนึ่งกรณีศึกษาที่สำคัญในฟุตบอลยุคปัจจุบัน คือเคสของ "บ๊อบบี้ ดันแคน"
ดันแคน เกิดในเมืองลิเวอร์พูล ในย่านไฮตัน ซึ่งเป็นย่านเดียวกับสตีเว่น เจอร์ราร์ด ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะทั้ง 2 คนเป็นญาติกัน
อย่างไรก็ตาม เส้นทางอาชีพของดันแคนไม่ได้นับหนึ่งที่ลิเวอร์พูล แต่ตอน 10 ขวบ เขาย้ายไปอยู่อะคาเดมี่ของวีแกน แอธเลติก ก่อนที่ตอนอายุ 11 ขวบ อะคาเดมี่ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้จะเห็นพรสวรรค์และ คว้าตัวไปร่วมทัพด้วย โดยดันแคน เป็นรุ่นน้องฟิล โฟเด้น 1 ปี ถือว่าโตมาในรุ่นไล่ๆกัน
ดันแคน เล่นกองหน้าตัวเป้า เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นเวย์น รูนี่ย์คนต่อไป จากส่วนสูงที่เท่ากันเป๊ะ (176 ซม.) และจังหวะจบสกอร์หน้าปากประตูที่เก่งเกินเด็ก เลี้ยงคล่อง ยิงดีทั้งสองเท้า แถมมีความเป็น Poacher เข้าฮอสได้ถูกจังหวะอีกด้วย
แมนฯซิตี้ มีการดูแลเยาวชนของสโมสรอย่างดี ในช่วงเช้าจะส่งเรียนหนังสือ ที่โรงเรียนเซนต์บี้ด คอลเลจ จากนั้นตอนเย็น นักเตะก็มาซ้อมฟุตบอลกับสโมสร ขณะที่ในการแข่งขัน ดันแคนจะลงเล่นทั้งระดับบอลนักเรียน (English Schools FA) และ บอลเยาวชนของสโมสร
ตอนอายุ 12 ปี ดันแคน ทำลายสถิติเด็กนักเรียนอายุ 12 ที่ยิงเยอะที่สุดในระดับบอลนักเรียน ลงสนาม 9 เกม ยิงไป 24 ลูก จากนั้นเขาพาทีมเยาวชนแมนฯซิตี้ได้แชมป์ Danone Cup ที่ฮอลแลนด์ พร้อมคว้ารางวัลดาวซัลโวด้วย โดยซีเนอดีน ซีดาน เป็นผู้มอบรางวัลให้เขาด้วยตัวเอง
1
จากนั้นพออายุ 15 ดันแคนติดทีมชาติอังกฤษชุด u-16 ลงแข่งขันกระชับมิตรกับบราซิล ที่ริโอ เด จาเนโร โดยทีมชุดนั้นของบราซิลมีวินิซิอุส จูเนียร์ (ที่เล่นอยู่กับเรอัล มาดริดตอนนี้)
สรุปคืออังกฤษบุกไปชนะ 4-3 ดันแคนทำแฮตทริก กับอีก 1 แอสซิสต์ ได้รางวัลแมน ออฟ เดอะ แมตช์ไปอย่างเหนือๆ โดยดันแคนสร้างประวัติศาสตร์ เป็นนักเตะอังกฤษคนแรก ในทีมชาติทุกระดับที่ยิงแฮตทริกใส่บราซิลได้
2
พอจบเกม สตีเว่น เจอร์ราร์ด รีบลงรูปในอินสตาแกรมทันทีแล้วเขียนแคปชั่นว่า "ยินดีด้วยกับทีมอังกฤษชุด u-16 ที่เอาชนะบราซิล 4-3 ทำได้เยี่ยมไปเลย บ๊อบบี้ ดันแคน นี่ญาติของผมเอง เขายิงแฮตทริกได้ในเกมนี้ #อนาคตไกลแน่"
3
แมนฯซิตี้ ทุ่มทุนให้ดันแคนทุกอย่าง มีการจัดคนขับรถไปรับทุกเช้าที่หน้าบ้าน จ่ายค่าเล่าเรียนที่เซนต์บี้ด คอลเลจ ซึ่งแพงมาก ปีละ 12,000 ปอนด์ ยังไม่นับค่าใช้จ่ายสารพัดที่สโมสรพร้อมจ่ายให้หมด
3
จุดอ่อนของทีมเรือใบ คือมีนักเตะจากอะคาเดมี่ก้าวขึ้นมาได้น้อย นอกจากฟิล โฟเด้นแล้ว ทีมเรือใบ ก็อยากมีนักเตะดาวรุ่งชาวอังกฤษคนอื่นในทีมชุดใหญ่ด้วย จึงประคบประหงมดันแคนเต็มที่
ดันแคน โตขึ้นเรื่อยๆ ในทีมชาติเขาติดทีมชุด u-17 ตามด้วยขึ้นไปซ้อมกับทีม u-20 ร่วมกับพวก โดมินิค คัลเวิร์ต-เลวิน, ดีน เฮนเดอร์สัน และ ไอนสลีย์ เมตแลนด์-ไนลส์ ทั้งๆที่มีอายุแค่ 16 ปีเท่านั้น
อย่างไรก็ตามจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2018 เมื่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยื่นสัญญาอาชีพให้ แต่ในขณะเดียวกัน ลิเวอร์พูล ทีมในดวงใจของดันแคน ก็ยื่นข้อเสนอให้พร้อมกัน คือนี่เป็นโจทย์ที่ยากจริงๆ เพราะดันแคนก็อยู่กับแมนฯซิตี้มาหลายปีและได้รับการดูแลดีทุกอย่าง แต่กับลิเวอร์พูลก็เป็นทีมที่เขาเชียร์ แถมน้องชายสองคน ตอนนี้ก็เล่นอยู่กับอะคาเดมี่ของทีมหงส์แดงด้วย
3
ร็อบ ดันแคน คุณพ่อของบ๊อบบี้กล่าวว่า "เราได้รับเอกสารสัญญาจากแมนฯซิตี้ ถ้าเราเซ็นมัน เมื่อบ็อบบี้เทิร์นโปรเป็นนักเตะอาชีพ เขาจะทำเงินมหาศาล แต่เขาเลือกจะไม่เซ็นมัน เพราะเขาเลือกจะไม่ไปต่อกับแมนฯซิตี้"
แมนฯซิตี้ พยายามเหนี่ยวรั้งเต็มที่ และเจรจายื้อมา 18 เดือน แถมมีข้อเสนออาชีพรองรับ แบบที่คุณไม่ต้องกังวลถึงอนาคตแน่ๆ แต่สุดท้ายดันแคนปฏิเสธข้อเสนอจากแมนฯซิตี้อย่างเด็ดขาด ก่อนย้ายไปอยู่ลิเวอร์พูล ในเดือนสิงหาคมปี 2018
4
ทีมหงส์แดงต้องจ่ายค่าชดเชยในการซื้อเยาวชน ให้แมนฯซิตี้ 2 แสนปอนด์ แต่ก็ถือว่าน่าจะคุ้มอยู่ดี กับดาวรุ่งพรสวรรค์ขนาดนี้
1
คุณพ่อร็อบกล่าวว่า "ลูกชายของผมต้องอยู่ที่ลิเวอร์พูล เพราะเขาเป็นชาวเมืองลิเวอร์พูล นั่นคือสโมสรของเขา" เช่นเดียวกับตัวดันแคนที่กล่าวว่า "การรอคอยอันยาวนานสิ้นสุดลงซะที สโมสรที่ผมตามเชียร์ และเฝ้าดูมาตั้งแต่เด็ก ในที่สุดผมก็มาอยู่จุดนี้แล้ว ความฝันเป็นจริง!"
สำหรับลิเวอร์พูลการได้ตัวดันแคนในวัย 18 ด้วยราคาแค่ 2 แสนปอนด์ถือว่าคุ้มมาก เพราะเด็กคนนี้เป็นสเกาเซอร์ ที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของชาวเมือง เป็นกองหน้าเยาวชนทีมชาติ แถมเป็นญาติของเจอร์ราร์ดอีก คือแทบจะมี Golden Ticket ในการก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่เลยก็ว่าได้
ทุกอย่างปูทางไว้หมด เหลือแค่ตัวนักเตะพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาให้ถึงระดับที่จะเล่นกับทีมชุดใหญ่ได้ ก็มีโอกาสได้ลงเล่นแน่นอน ด้วยความเป็นสเกาเซอร์ ทำให้เขาได้รับแรงเชียร์มากกว่าทั้ง โดมินิค โซลันกี้ และ เรียน บรูวสเตอร์เสียอีก
2
ในฤดูกาล 2018-19 เจอร์เก้น คล็อปป์ ส่งดันแคนไปอยู่กับทีม u-18 และเจ้าตัวมีผลงานที่มหัศจรรย์มาก ยิงประตูระเบิดเถิดเทิง 32 ลูก ซัดประตูมากกว่ากองหน้ารุ่นเดียวกัน ทั้งเมสัน กรีนวู้ด ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ทรอย แพร์ร็อต ของสเปอร์ส
นอกจากนั้น ดันแคนยังช่วยลิเวอร์พูลคว้าแชมป์เอฟเอยูธคัพ โดยนัดชิงที่เจอกับแมนฯซิตี้ เขาเป็นคนยิงประตูให้ทีมในเกมตัดสินได้ด้วย
1
ดันแคนมีความเยือกเย็นหน้าปากประตู ยิงคมทั้งสองเท้า เป็นสไตรเกอร์ที่ลิเวอร์พูลขาดหายมานาน แถม อเล็กซ์ อิงเกิลธอร์ป ผอ.อะคาเดมี่ ยังสอนให้เขารู้จักเล่นบอลสไตล์ Hold up ครองบอลไว้กับตัวแล้วจ่ายออกซ้ายออกขวา สร้างมิติใหม่ๆให้ตัวเอง ทำให้เวลาผ่านไป 1 ปี ดันแคนไม่ใช่แค่ Poacher นอกจากยิงเยอะแล้ว ดันแคนทำ 23 แอสซิสต์ในปีเดียวด้วย
1
สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ที่สุดของดันแคนคือ "ความทะเยอทะยาน" เขามั่นใจในความสามารถของตัวเองมากๆ ซึ่งเรื่องนี้ ก็กลายเป็นจุดอ่อนของเขาด้วยเช่นกัน
เจมส์ เพียร์ซ นักข่าวสายลิเวอร์พูลเผยว่า "สตาฟฟ์ในทีม ชื่นชมในความมั่นใจในตัวเองของดันแคน แต่ก็รู้สึกว่านักเตะควรรักษาระดับอีโก้ของตัวเองไว้ด้วย"
ดันแคนใช้โซเชียล มีเดียบ่อยมาก หลายๆครั้ง บ่นไปเรื่อยเปื่อย เช่นพิมพ์คำว่า "อดทนไว้" ทำให้มีดราม่ากันไปยกใหญ่ว่าเฮ้ย อดทนอะไร บ่นคล็อปป์หรือเปล่าที่จับเล่นแต่บอลเยาวชนอยู่ได้ ซึ่งสตาฟฟ์ก็เตือนแล้วว่า สโมสรอยากให้นักเตะเยาวชนทำตัวโลว์โพรไฟล์มากกว่า คือเน้นโฟกัสที่ฟุตบอลอย่างเดียว เรื่องดราม่าอะไรๆ อย่าเพิ่งไปสร้างตอนนี้
2
ฟอร์มที่ดีในระดับ u-18 ทำให้คล็อปป์ทำเซอร์ไพรส์ เมื่อดึงตัวดันแคนพาสชั้น ไปซ้อมร่วมกับทีมชุดใหญ่ในช่วงปรีซีซั่น 2019-20 และพาไปทัวร์ที่อเมริกาด้วย ว่ากันตรงๆ มีนักเตะอายุ 18 ปี น้อยคนมากที่จะได้รับโอกาสดีแบบนี้
จุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องความรู้สึก คือหลังจบทัวร์ปรีซีซั่นที่อเมริกาในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2019 ความจริงคล็อปป์ชื่นชอบความคมหน้าปากประตูของดันแคนเป็นอย่างมาก แต่ยังมองว่าเขายังรับมือกับแรงกดดันของเลเวลสูงสุดไม่ค่อยดีนัก จึงลดระดับดันแคนไปเล่นกับทีมชุด u-23
1
ดันแคนผิดหวังมาก เพราะเขาฝันไปไกลแล้ว โอเค อาจจะแย่งตำแหน่ง ซาลาห์, มาเน่, ฟีร์มีโน่ ไม่ได้ก็จริง แต่อย่างน้อยสล็อตที่ว่างลง เมื่อแดเนียล สเตอร์ริดจ์ได้ย้ายทีม ก็เป็นเขาที่ควรได้สอดแทรก เพราะที่ผ่านมาก็พิสูจน์ตัวเองมาแล้วกับผลงานถล่มประตูกระจุยกระจายในระดับเยาวชน
ขณะที่สัญญาก็ไม่มีการปรับเพิ่มให้จากเดิม ลิเวอร์พูลจ่ายดันแคน วีกละ 1,500 ปอนด์เท่าเดิม ซึ่งมองในแง่ว่าเขามีผลงานโดดเด่น แถมติดเยาวชนทีมชาติ ก็พอจะเรียกร้องขอเพิ่มจากเดิมได้เหมือนกัน
1
นั่นคือความคับข้องใจที่เก็บไว้ช็อตแรก จากนั้นมารวมกับเหตุการณ์ช็อตสำคัญเรื่องที่ 2 คือครอบครัวดันแคนทำการเปลี่ยนเอเยนต์ส่วนตัว จากเดิมใช้ ร็อบ ซีกัล ที่ดูแลกันมานานหลายปี เปลี่ยนเป็นซาอิฟ รูบี้ เอเยนต์ชาวอังกฤษเชื้อสายอิรัก ที่มีลูกค้าในมือ เช่น โซล แคมป์เบลล์, ไซโด เบราฮิโน่ และ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ เป็นต้น
เมื่อลิเวอร์พูลส่งดันแคนไปอยู่กับทีม u-23 ทำให้ฟิออเรนติน่าจากอิตาลี และ นอร์ดเยลลันด์จากเดนมาร์ก ยื่นข้อเสนอยืมตัวดันแคนทันที เพื่อเอาไปใช้งานในลีกสูงสุด แต่ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ผู้ดูแลเรื่องการซื้อขายปฏิเสธไปทั้งสองทีม เพราะมองว่าทั้ง 2 สโมสรไม่เหมาะกับการพัฒนาของดันแคน
1
เมื่อไม่ให้ย้าย ไม่ให้เล่นทีมชุดใหญ่ ไม่ขึ้นค่าเหนื่อย เอเยนต์ของดันแคน จึงต้องใช้ไม้แข็งโจมตีลิเวอร์พูล เพื่อกดดันสโมสร และวิธีการก็คือ ด่าไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ผู้อำนวยการกีฬาของทีม
3
"ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ไม่เคยเชื่ออยู่แล้วว่า ดันแคนจะขึ้นไปเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลได้ แล้วทำไมคุณต้องแขวนๆเขาไว้คาราคาซังแบบนี้"
3
"คุณรู้ไหมว่าบ๊อบบี้ลงเล่นไม่ได้ในเกม u-23 กับเซาธ์แฮมป์ตัน เพราะเขามีปัญหาสุขภาพจิตและเต็มไปด้วยความเครียด และความเครียดเกิดขึ้นจากการที่คุณฝืนใจนักเตะไม่ยอมให้ทำในสิ่งที่เขาต้องการ ยิ่งไปกว่านั้น ค่าเหนื่อยของบ๊อบบี้ก็น้อยเอามากๆ และลิเวอร์พูลก็ไม่มีทีท่าจะต่อสัญญาฉบับใหม่ด้วย ผมไม่เข้าใจว่าคุณจะรั้งนักเตะไว้ทำไม"
"บ๊อบบี้ไม่ออกจากห้องมา 4 วันแล้วและเขาก็จะไม่กลับไปซ้อมกับลิเวอร์พูลแล้วด้วย นี่เป็นการกระทำที่เลวร้ายมากของสโมสร ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะกระทำกับญาติของนักเตะผู้ยิ่งใหญ่อย่างสตีเว่น เจอร์ราร์ดแบบนี้"
ตัวดันแคนก็ดูจะไหลไปตามเอเยนต์ เขาเปลี่ยนรูปโพรไฟล์ในทวิตเตอร์ จากเดิมที่ใส่เสื้อลิเวอร์พูล กลายเป็น วงกลมสีดำสนิท เหมือนจะไว้อาลัยที่ตัวเองต้องอยู่ลิเวอร์พูลต่อ
เมื่อเอเยนต์ของดันแคนด่าไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ทำให้เจมี่ คาร์ราเกอร์ ตำนานของสโมสรออกมาตอบโต้กลับ โดยทวีตว่า "ผมรู้จักบ๊อบบี้กับครอบครัวดีมาก เขายังเด็ก และในวัยขนาดนี้ มันก็อยากได้ทุกอย่างไปหมดนั่นแหละ แต่ถ้าลองคิดดีๆ คุณได้เล่นกับทีมชุดใหญ่ช่วงปรีซีซั่น ก็นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้วนะ ผมคิดว่าเขาควรจะลองทดสอบตัวเองอีกสักปี และรอคอยโอกาส อาจจะกับเกมคาราบาวคัพก่อน นี่คือคำแนะนำที่ผมจะมอบให้ด้วยความหวังดี"
2
จากนั้นเมื่อสอนดันแคนแล้ว คาร์ราเกอร์ด่าเอเยนต์ทันทีว่า ไปชักจูงเด็กทำให้มันเสียคนแบบนี้ "ถ้าจะมีปัญหาสักข้อ มันก็คือแกนั่นแหละ แกโจมตีคนที่มีพาวเวอร์ที่สุดอันดับ 2 ของสโมสร รองจากคล็อปป์เนี่ยนะ มันบ้าไปแล้ว เชื่อเถอะว่าลิเวอร์พูลจะไม่คบค้าอะไรกับแกอีกแน่นอน และสำหรับบ๊อบบี้ นายต้องรีบทิ้งเอเยนต์คนนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนจะโดนสโมสรเฉดหัวออก"
แต่ทุกอย่างสายเกินไปแล้ว ในมุมของลิเวอร์พูลคิดว่าตัวดันแคน และเอเยนต์มีปัญหามากเกินไป ดราม่าที่เกิดขึ้น มันไปกลบบรรยากาศชัยชนะในพรีเมียร์ลีก ดังนั้นไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ จึงติดต่อกลับไปหาฟิออเรนติน่า เพื่อขายบ็อบบี้ ดันแคนแบบถาวรไปเลย สรุปเคาะราคาได้ที่ 1.8 ล้านปอนด์ พร้อมด้วยส่วนแบ่ง 20% จากการขายครั้งต่อไป
คล็อปป์ก็เสียดาย แต่เห็นด้วยกับเอ็ดเวิร์ดส์มากกว่า "เราชี้แจงเขาไปแล้ว ว่าเขาจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ถึงจะได้เล่นกับทีมชุดใหญ่ แต่ตัวเขามีไอเดียที่ต่างกับเราอย่างชัดเจน เขามองว่าพร้อมแล้วกับเกมระดับสูงสุด ดังนั้นเราก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของเขา"
1
"เชื่อไหมว่านักเตะนับพันคนที่ผ่านตาผมมา มีน้อยมากจริงๆที่พร้อมลงเล่นตั้งแต่อายุ 18 ผมหมายถึงพร้อมแบบเล่นต่อเนื่องนะ ไม่ใช่แค่ลงมา 2-3 นาทีท้ายเกมอะไรทำนองนั้น สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผม คือคุณต้องเชื่อใจคนที่อยู่รอบตัว"
สุดท้าย 3 กันยายน 2019 ดันแคนเซ็นสัญญาย้ายตัวในที่สุด และชูเสื้อกับฟิออเรนติน่า โดยโพสต์ข้อความว่า "ผ่านไปได้ซะที! มีความสุขที่สุดที่ได้เซ็นกับฟิออเรนติน่า อดใจตื่นเต้นไม่ไหวแล้วที่จะได้ลงเล่นต่อหน้าแฟนๆ และพร้อมแล้วที่จะเรียนรู้วัฒนธรรมอิตาเลียน!"
2
นักเตะที่ฝันว่าอยากอยู่ลิเวอร์พูลมาตลอด อยู่กับสโมสรแค่ 1 ปี ยิงกระจุยในระดับเยาวชน แต่สุดท้ายก็ย้ายออกไปง่ายๆอย่างนั้นเลย
สิ่งที่ดันแคนจินตนาการเอาไว้ มันไม่ได้สวยงามอย่างที่เห็น ศาสตร์ของ 2 ลีก มันต่างกันคนละเรื่อง
1
ดันแคนปรับตัวกับเกมในอิตาลีไม่ได้เลย ภาษาก็พูดไม่ได้ แท็กติกที่อังกฤษกับอิตาลีผิดกันอย่างชัดเจน เมื่อซ้อมไปสักระยะโค้ชเองก็เห็นว่าดันแคน ยังไม่ดีพอกับทีมชุดใหญ่ของฟิออเรนติน่า จึงสั่งลดเลเวลไปเล่นทีม u-19 แทน แต่ก็ลงบ้างไม่ลงบ้าง สถิติลงไป 12 นัด ยิงได้ 4 ลูก ถือว่าไม่ได้เป็นยอดดาวยิงเหมือนตอนอยู่ลิเวอร์พูลอีก
1
ดานิเอเล่ ปราเด้ ผู้อำนวยการกีฬาของฟิออเรนติน่ากล่าวว่า "ดันแคนคิดว่าพอย้ายมาแล้วจะได้ลงเล่นชุดใหญ่ทันที แต่ความจริงคือ เอาเด็กผู้ชายมาปะทะกับผู้ใหญ่ที่โตกว่ามากๆแล้ว ระดับมันยังต่างกันอยู่เยอะ"
คำกล่าวนี้แปลว่า ตัวดันแคนมั่นใจในตัวเองเกินไป คิดว่าเขาพร้อมแล้วกับลีกของผู้ใหญ่ แต่พอมาพิสูจน์จริงๆ ก็เพิ่งเข้าใจว่า เขายังห่างไกลกับคำว่าพร้อมมากเลย ถึงตรงนี้ดันแคนรู้แล้วว่า เขาเสียเหลี่ยมให้เอเยนต์จนโดนชักจูง จนการกระทำผิดเพี้ยนไปหมด สุดท้ายเขาไล่เอเยนต์ซาอิฟ รูบี้ออกในที่สุด
1
เหมือนที่คาร์ราเกอร์เคยกล่าวเอาไว้ ว่าการชักจูงของเอเยนต์ จะทำให้เด็กเสียคนจนพังพินาศ และมันก็เกิดขึ้นจริงๆ
สำหรับฟิออเรนติน่า เมื่อใช้ดันแคนแล้วไม่เวิร์ก ก็เลยปล่อยตัวทิ้ง ก่อนจะเป็นดาร์บี้ เคาน์ตี้ ทีมในระดับแชมเปี้ยนชิพ ดึงมาใช้งานต่อ แต่ดันแคนก็ไม่ดีพอจะเล่นทีมชุดใหญ่ของดาร์บี้เหมือนกัน ได้แต่ลงเล่นกับทีม u-23 เท่านั้น
คนที่เสียใจที่สุดในเรื่องนี้ ก็ไม่มีใครอีก นอกจากดันแคน เพราะจากนักเตะที่เคยติดทีมชาติเยาวชน และเตรียมได้โอกาสโด่งดังกับลิเวอร์พูล สุดท้ายกลายเป็นดาวดับอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเจ้าตัวได้เขียนข้อความระบายความในใจออกมาว่า
1
"การย้ายตัวของผมจากลิเวอร์พูลไปฟิออเรนติน่า เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง และไม่จำเป็นเลย ทั้งหมดจะเป็นประสบการณ์ครั้งใหญ่ให้กับผมในฐานะนักเตะ และในฐานะมนุษย์คนหนึ่งด้วย ความตั้งใจแต่แรกของผมคือ ผมแค่อยากพัฒนาฝีเท้าให้เก่งขึ้นเท่านั้น"
1
"ผมจะใช้ฟุตบอลของผม ตอบคำถามแทนคำพูด ผมตื่นเต้นกับโอกาสที่จะได้รับจากดาร์บี้ เคาน์ตี้ และผมจะทำทุกอย่างด้วยความสามารถทั้งหมดที่มี เพื่อให้สโมสรเดินหน้าต่อไปให้ได้"
และเรื่องราวของบ๊อบบี้ ดันแคน ก็จบลงตรงนี้
ความมั่นใจที่มากเกินไป คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว บวกกับการกระตุ้นของเอเยนต์ที่ไม่ได้หวังดีต่อนักเตะจริง กลายเป็นสองแรงบวก ที่ผลักดันแคนลงไปสู่เหวลึก
5
จริงๆแล้ว ในโลกของฟุตบอล ถ้าคุณเป็นดาวรุ่งที่มั่นใจในฝีเท้าตัวเองแต่ไม่ได้รับโอกาสจากทีมชุดใหญ่เสียที มีทางเลือกให้คุณสองอย่าง คือ อยู่ต่ออย่างอดทนรอโอกาสไปก่อน กับ ออกไปหาความท้าทายใหม่ๆเลย
1
คนที่ประสบความสำเร็จก็มีทั้งสองแบบ คนที่อดทนรออย่างฟิล โฟเด้น ซึมซับ และเรียนรู้จากรุ่นพี่ระดับโลกในทีมแมนฯซิตี้ และวันหนึ่งก็กลายเป็นแกนหลักอย่างสมบูรณ์ แบบนี้ก็มี
2
หรือจะเป็นแบบเจดอน ซานโช่ ที่ไม่ได้โอกาสเล่นทีมชุดใหญ่กับแมนฯซิตี้ซะที ก็เลยย้ายไปดอร์ทมุนด์เลยดีกว่า สุดท้ายได้ลงเล่นต่อเนื่อง กลายเป็นนักเตะท็อปคลาสได้เหมือนกัน
2
ทั้งสองทาง สามารถประสบความสำเร็จได้ เพียงแต่คุณต้องเลือกให้ถูกเท่านั้น
แต่เคสของบ๊อบบี้ ดันแคน ใช่ เขาเลือกผิดทาง ผลลัพธ์ก็เลยเป็นอย่างที่เห็น พรสวรรค์ที่เคยมี ความมั่นใจที่เปี่ยมล้น ตอนนี้มันสูญหายไปแล้วอย่างน่าเสียดายจริงๆ
#Duncan
โฆษณา