7 พ.ค. 2021 เวลา 15:23 • หนังสือ
THE POWER OF OUTPUT
เคยไหมที่คุณเคยคิดว่าการอ่านหนังสือมาก ๆ หรือการเข้าสัมมนา จะทำให้คุณเป็นคนที่เก่ง และสามารถพัฒนา
ตนเองไปได้ น่าสนใจมากที่ว่าผู้เขียนเขียนและวิเคราะห์ไว้ได้อย่างน่าสนใจมากทีเดียว เนื่องจากปัจจุบัน เราพบว่า เราได้ยินอยู่บ่อยครั้งว่า มีบุคคลสำคัญกล่าวว่าเขาอ่านหนังสือกันทีปีละมากกว่า 100 เล่ม อย่าเพิ่งตกใจไป เนื่องจากหนังสือเล่มนี้ THE POWER OF OUTPUT ศิลปะของการปล่อยของ ไม่ได้แนะนำให้ผู้อ่านต้องอ่านหนังสือจำนวนมากหรือยิ่งอ่านจะยิ่งพัฒนาตนเอง แต่เน้นเรื่อง สุ จิ ปุ ลิ หัวใจของนักปราชญ์หรือพาหุสัจจะนั่นเอง
เราเคยสังเกตไหมว่าเราอาจจะเป็นคนหนึ่งที่อ่านหนังสือเยอะมาก แต่บางครั้งก็ไม่สามารถจดจำหรือไม่สามารถนำความรู้ในหนังสือทีเราอ่านมาประมวลผลเพื่อให้เกิดการพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่เท่ากับจำนวนของหนังสือที่เราอ่านหรือสัมมนาที่เราเข้า เนื่องจากว่าเราเน้นที่ Input มากกว่า Output นั่นเอง
2
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว นี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้ Go On ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้อ่าน จึงจำเป็นต้องลุกขึ้นมาทำการแปลง Input ออกมาเป็น Output อย่างที่ทุกท่านได้อ่านอยู่ขณะนี้เป็นครั้งแรก ^^
ชีวิตคนเราเปลี่ยนแปลงด้วย Output หากเราเน้นที่ Output คุณจะพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด รวมทั้งสามารถแสดงความสามารถอย่างไร้ขีดจำกัดออกมาได้อีกด้วย
หนังสือเล่มนี้มีทั้งหมด 5 chapters
ในบทแรกพูดถึง RULE กฎพื้นฐานของ Output
บทที่2 TALK วิธีการพูดสื่อสารโดยใช้หลักวิทยาศาสตร์
บทที่3 WRITE วิธีเขียนที่ช่วยดึงศักยภาพออกมาได้มากที่สุด
บทที่4 DO พลังแห่งการลงมือทำของคนที่สร้างผลงานได้ดีเยี่ยม
บทที่5 TRAINING 7วิธีฝึกเพื่อเพิ่มทักษะในการทำ Output
1
โดยใน EP แรกนี้จะนำเสนอในส่วนของบทที่ 1 และ 2 ว่าจะทำการแปลง Input เป็น Output ที่ทรงพลังได้อย่างไร
ในบทแรกผู้เขียนพูดถึง กฎพื้นฐานของ Output
Input คือการอ่าน ฟัง ส่วนของ Output คือการเขียน และการปฏิบัตินั่นเอง เช่นเดียวกับการอ่านหนังสือเป็น Input และการทำแบบฝึกหัดเป็น Output ซึ่ง Input ทำให้โลกในสมองเปลี่ยนไป แต่ Output เปลี่ยนแปลง “โลกในความเป็นจริง” ได้ คือให้เราลงมือปฏิบัตินั่นเอง หากเราอยากเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้า เราต้องพูด เขียน และปฏิบัติให้มาก
คนอ่านหนังสือเดือนละ 3 เล่ม กับคนอ่านหนังสือเดือนละ 10 เล่ม ใครพัฒนามากกว่ากัน สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ปริมาณ Input แต่อยู่ที่ปริมาณ Output ต่างหาก เมื่อหยิบหนังสือที่เคยอ่านขึ้นมาแล้วถามถึงเนื้อหาในหนังสือจากการทดสอบมีเพียง 10% เท่านั้นที่พอจะจำเนื้อหาในหนังสือได้ คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าตนเองรู้
การขยับกล้ามเนื้อเป็นตัวกระตุ้นจากประสาทสั่งการ เช่นการพูด เขียน ให้เปลี่ยนมาเป็นการจดให้จำ อ่านออกเสียง ก็จะกลายเป็นความจำของกล้ามเนื้อได้ เช่นเดียวกับการขี่จักรยาน ที่เมื่อเราขี่เป็นแล้ว แม้ว่าจะทิ้งการขี่นั้นไปหลายปี กล้ามเนื้อของร่างกายก็ยังจดจำการขี่จักรยานนั้นได้อยู่ เมื่อกลับมาขี่อีกครั้งก็สามารถขี่ได้เลย
กฎพื้นฐานของ Output คือ ข้อมูลจะถูกป้อนสู่สมองที่เป็นส่วนเก็บชั่วคราว “ฮิปโปแคมปัส” ซึ่งจะอยู่ชั่วคราว 2-4 สัปดาห์ หากมีการใช้ซ้ำในช่วงนี้จะถูกนำไปเก็บในส่วนความจำระยะยาว จะทำให้ลืมยากขึ้น หากเรา Output อย่างน้อย 3 ครั้ง ภายใน 2 สัปดาห์ จะทำข้อมูลกลายเป็นความจำระยะยาวได้ง่าย
การทำ Input และ Output สลับวนไปเรื่อย ๆ จะทำให้เราพัฒนาตนเอง
อัตราส่วนที่ดีที่สุดของ Input และ Output คือ 3:7 คนโดยส่วนใหญ่มาเน้นที่ Input มากกว่า ซึ่งในความเป็นจริงเราควรให้เวลากับ Output เป็น 2 เท่าของ Input และเมื่อผลลัพธ์ออกมาแล้ว เราจำเป็นที่ต้องตรวจสอบ Output ที่ออกมาด้วยการ Feedback นั่นเอง เพื่อหาข้อผิดพลาด แก้ไขพร้อมทั้งปรับปรุงพัฒนาปรับทิศทางต่าง ๆ เพื่อให้เราพัฒนาไปมากกว่าแต่ก่อน หากไม่มี Feedback จะทำให้เราทำเรื่องเดิมซ้ำ ๆ ไม่เป็นการส่งผลดีต่อการพัฒนาตนเอง ควรศึกษาเนื้อหาสิ่งที่อยากรู้ในแนวขยายก่อน “ขยายให้กว้าง” หากสนใจในเรื่องนั้นจึงค่อยค้นหาในเชิงลึก “เจาะให้ลึก” ต่อไป พร้อมทั้งหาผู้ที่มีความรู้ช่วยแนะนำเราจากประสบการณ์ของผู้รู้ เพื่อช่วยแก้ไขข้อบกพร่องจะทำให้ส่งผลดีต่อการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดต่อไปได้
INPUT – OUTPUT -- FEEDBACK
 
บทที่2 TALK วิธีการพูดสื่อสารโดยใช้หลักวิทยาศาสตร์
ในบทนี้ผู้เขียนเน้นเรื่องของการพูดในลักษณะต่าง ๆ เนื่องจากการพูดเป็น Output ที่ง่ายที่สุด การพูดความเห็นออกไป ทำให้สมองได้ทำงาน ความจำเพิ่มขึ้น และนานขึ้น เทคนิคการพูดก็คือการรีวิวหรือการพูดความคิดเห็นของตัวเองใส่ความเป็นตัวตนของเราเองลงไปอย่างชัดเจน จะทำให้เรื่องมีคุณค่ามากขึ้น
ในเชิงจิตวิทยา เพียงแค่เราปรับสมดุลในแง่บวก ลบ ในชีวิต การทำงาน การดำเนินชีวิต หรือการใช้ชีวิตคู่จะดีขึ้นได้ จากการใช้คำพูดแง่บวกทำให้ชีวิตเราดีขึ้นได้ ได้มีการทำวิจัยออกมาว่าคนที่พูดคุยกันในแง่บวกมากกว่าอัตรา 3:1 มีผลกำไรทางธุรกิจสูงกว่าคนที่มีผลการทำงานดีที่สุดมีอัตราการพูดแง่บวกถึง 6:1 ดังนั้นเราสามารถสร้างความสำเร็จจากการพูดในแง่บวกให้มากขึ้นได้
การพูดว่าร้ายคนอื่นส่งผลต่อความเครียดของตนเอง เนื่องจากมีการหลั่งสารฮอร์โมนความเครียดออกมา
แม้ว่าเราจะเป็นกังวลต่อการพูด บางครั้งเราพยายามหาคำพูดเพื่อพูดออกมาต่าง ๆ นานา ยังเทียบไม่ได้กับการที่เราพูดออกไปอย่างฉะฉานกลับเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า เนื่องจากคนให้ความสำคัญกับสิ่งที่เห็นก่อนถึง 55% รองลงมาคือการฟัง ความดังของคำพูดการใช้เสียง 38% และเนื้อหาที่จะพูดเพียง 7% เท่านั้น ดังนั้นแม้จะไม่มั่นใจในเนื้อหาที่พูด แต่ก็ควรพูดออกไปอย่างมั่นใจและด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มเสมอ
- หากเราต้องการพูดและเขินอาย เราสามารถมองไปที่หว่างคิ้ว หรือบริเวณจมูกของอีกฝ่ายได้
- สบตา 1 วินาที เมื่อต้องการเน้นว่าเราต้องการสื่อถึงคำนั้น ๆ
- ดวงตาที่แสดงความรู้สึกและอารมณ์
- การพูดที่มีการให้ความสนใจหรือการทำการพยักหน้า ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณในทางบวกกับคู่สนทนา
การพูดเกริ่น เป็นศิลปะการพูดที่เข้าถึงจิตใจของผู้คนได้ดีทีเดียว ในส่วนของ GO ON ชอบวิธีการนี้และถือเป็นวิธีที่เราเลือกที่จะพูด โดยไม่ทำร้ายความรู้สึกของผู้สนทนา มีอยู่ 3 วิธีคือ
- การพูดให้ใช้วิธี Yes but แทน วิธี No but คือการเกริ่นพูดด้วยเรื่องที่เป็นแง่บวกก่อน เพื่อสร้างบรรยากาศ แล้วจึงพูดข่าวร้าย หรือสิ่งที่ต้องให้แก้ไขปรับปรุง เพื่อลดแรงกระเทือนทางจิตใจ
- Yes and คือการพูดเรื่องแง่บวก เพิ่มไปบน เรื่องในแง่บวก เช่น “พักนี้ยอดขายดีมากเลยนะ ถ้ารักษาเวลาการเข้างานด้วยจะดียิ่งขึ้นอีกมากเลยนะ” ก็ทำให้ดูนุ่มนวลมากยิ่งขึ้นได้ โดยส่วนตัววิธีนี้ไม่แน่ใจว่าจะดูนุ่มนวลหรือบางคนอาจฟังดูประชดก็ได้ อันนี้อาจต้องไปปรับใช้ดูนะคะ
- Yes how วิธีนี้เป็นวิธีที่นุ่มนวลมากยิ่งขึ้น เช่น “พักนี้ยอดขายคุณเพิ่มขึ้น พยายามได้ดีมาก เรามาช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้ดียิ่งขึ้นไปได้อีก” โดยสรุปคือการใช้วิธีตั้งคำถามให้ผู้ฟังคิดนั่นเอง
โดยส่วนตัวมองว่า เราอาจจะฝึกจากวิธีที่พูดเชิงบวกก่อนเพื่อสร้างบรรยากาศการพูดคุยและเปิดใจ แล้วจึงพูดเรื่องอื่น ๆ ถัดไปจากการตั้งคำถามเพื่อให้ผู้ฟังได้ตอบเลย ก็เป็นวิธีที่ง่ายขึ้น ลองดูนะคะ
ทฤษฎีของไซแอนท์ กล่าวว่า สิ่งที่เราคุยสัพเพเหระไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาแต่อยู่ที่จำนวนครั้ง ดังนั้นอย่ากังวลถึงเนื้อหาที่จะคุยจนเกินไป เขาได้ทำการทดลอง โดยให้คนดูภาพ จำนวนแตกต่างกันออกไป โดยสรุปคือ ภาพที่ยิ่งดูบ่อยครั้งยิ่งจะได้รับความชื่นชอบ จากกลุ่มทดลองมากยิ่งขึ้น นั่นหมายถึง ยิ่งเพิ่มการพบปะพูดคุยให้บ่อยขึ้นกับคนที่เราต้องการ ความรู้สึกชอบก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง (ปรากฏการณ์เพียงแค่ได้เจอ) น่าสนใจเอาไปลองใช้ดูนะคะ แต่ถ้า ยิ่งเจอยิ่งเหม็นหน้าอันนี้ก็ตัวใครตัวมันค่ะ ^^
การตั้งคำถามกับตัวเอง ช่วยให้สมองของเราทำงานอย่างแข็งขันและมีการรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นอีกด้วย ลองตั้งคำถามว่าเราอยากเรียนรู้อะไรมากที่สุด นอกเหนือจากนั้น Go ON มองว่า เมื่อตั้งคำถามแล้วสิ่งสำคัญคือ การมีเวลาอยู่กับคำถามนั้นให้เพียงพอและค่อย ๆ ตอบคำถามค่ะ อยู่กับตัวเองให้นาน เพราะบ่อยครั้งที่เมื่อตั้งคำถามแล้ว ยังไม่ได้คำตอบเราก็ถอยออกจากคำถามไปซะก่อน ให้ความสำคัญกับคำถามนะคะ ใจจะตอบใจ ทุกคำถามมีคำตอบจากหลากหลายด้าน จากการหาข้อมูลให้มากและหากเป็นด้านจิตใจ ใจเราสามารถตอบใจเราเองได้ค่ะ สมองคนเรามีวิธีที่เรียกว่า “สมาธิเลือกสรร” หรือ “Cocktail Party Effect” คือสมองสามารถเลือกสรรข้อมูลขนาดใหญ่จากรอบด้านออกมา เพื่อให้เราเลือกใช้ การที่จะส่งผลให้วิธีการนี้ทำงานได้ดีคือการตั้งคำถามกับทุกอย่างก่อนเสมอ เช่นเราซื้อหนังสือมาเล่มหนึ่ง เขียนลงกระดาษก่อนว่า “เราอยากเรียนรู้อะไรจากหนังสือเล่มนี้มากที่สุด” “เพราะเป็นคนเขียนไม่เก่ง จึงอยากฝึกเขียนให้เก่ง” อีกคำถามของ Go ON “หลายครั้งที่อ่านหนังสือแล้วเราต้องการให้ความรู้นั้นยังอยู่กับเราและกลับมาเป็นแหล่งความรู้ เพื่อต่อยอดพัฒนาตนเองและสร้าง Output ต่อไปได้” หรือคำถามอื่น ๆ ที่ท่านต้องการ สมองจะทำการค้นหาคำตอบจากหนังสือ ดังนั้นก่อนจะเรียนรู้สิ่งใด ให้เวลาสัก 10 วินาทีตั้งคำถามก่อนนะคะ เทคนิคในการตั้งคำถามคือ
- ฟังพลางคิดคำถามไปด้วย
- ถามโดยคำนึงถึง “สิ่งที่ผู้พูดน่าจะอยากพูด”
- ตั้งคำถามที่คิดว่าคนอื่นก็อยากรู้เช่นเดียวกัน
- ตั้งคำถามที่คิดว่าเป็นข้อถกที่ทำให้ปัญหาเข้มข้นขึ้นได้
แค่นี้คุณจะกลายเป็นนักข่าวหัวเห็ดในในวงสนทนาเลยทันที
นอกเหนือจากการตั้งคำถามแล้ว การปฏิเสธก็ยังเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะทำให้เราได้ใช้เวลาหรือพลังงานไปกับสิ่งที่เราอยากทำจริง ๆ คนปฏิเสธกลับเป็นคนที่ไม่มีความสุข โดยการจะปฏิเสธ ควรกำหนดความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตของเราก่อน ใน 1วัน 1 สัปดาห์ 1ปี เราต้องการจะทำอะไร และอะไรเป็นเป้าหมาย หากอะไรที่ไม่สอดคล้องกันก็เท่ากับเป็นการเสียเวลาที่จะทำสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่นการให้เวลากับครอบครัว หากมีสิ่งใดมารบกวน เราจะปฏิเสธได้อย่างไม่ลังเล ทำให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงการยึดมั่นในความคิดและหลักการของเราและควรทำอยู่บนบรรทัดฐานเดียวกัน อย่าได้ใจอ่อนกับคำว่าครั้งนี้ครั้งเดียว หรือขอร้อง ซึ่งเรียกว่าการตัดสินใจแบบ “Case by case” โดยการปฏิเสธก็มีรูปแบบเช่นเดียวกันคือ “ขอโทษ (ขอบคุณ) + เหตุผล + ปฏิเสธ + ข้อเสนอ ดังนั้นการปฏิเสธ อย่าลืมให้ความสำคัญกับกฎของตัวเองมากกว่าความสะดวกของคนอื่นนะคะ
เคยได้ยินกันไหมคะว่า การมีความเครียดทำให้เรามีประสิทธิภาพในการทำงานได้ดีขึ้น และการมีความเครียดน้อยหรือมากเกินไปไม่เป็นผลดีต่อการทำงานเช่นเดียวกัน หากเรา ตื่นเต้น ในระดับที่พอเหมาะจะช่วยทำให้เราทำงานได้ดีขึ้น ความตื่นเต้นไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นเพื่อนต่างหาก หากเราตื่นเต้น ให้บอกตัวเองว่า “เราทำงานได้ดีขึ้นแล้ว” ความตื่นเต้นยังเป็นผลดีต่อการที่เราต้องนำเสนองาน Presentation ต่าง ๆอีกด้วยค่ะ
การถกเถียงถือเป็นอีกหนึ่งทักษะของการเตรียมตัวให้พร้อมและเราจำเป็นต้องมีความกล้าเล็กน้อย วิธีการพัฒนาการถกเถียงเป็นเรื่องที่ฝึกได้ค่ะ
- ไม่ว่าใครก็พัฒนาการถกเถียงได้นะคะ สามารถเริ่มได้จากการเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานก่อนได้ เรื่องอะไรก็ได้ค่ะ ภาพยนตร์ หนังสือ อาหาร ละคร
- ไม่เอาความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาปะปน ต้องฝึกไม่เอาอารมณ์มาเกี่ยวข้อง โดยตั้งเป้าหมายของการถกเถียงก่อน เช่น ทำเพื่อบริษัท ทำเพื่อครอบครัว ให้แยกออกจากกัน
- คาดการณ์ถึงแนวทางการถกเถียง ฝึกคาดการณ์ประเด็นต่าง ๆ หรือคำถามและวิธีการรับมือไว้ก่อนย่อมดีกว่า สิ่งสำคัญคือการเตรียมพร้อมเพื่อเตรียมข้อมูล คนที่ไม่ถนัดเรื่องนี้จะไม่เตรียมข้อมูลมาทำให้แนวทางเฉไฉได้
- รวบรวมคำถาม คำตอบไว้ล่วงหน้า ซึ่งกฎ 10-30-100 คือ
o คำถาม 10 ข้อ จะครอบคลุมเนื้อหา 70%
o คำถาม 30 ข้อ จะครอบคลุมเนื้อหา 90%
o และคำถาม 100 ข้อ จะครอบคลุมเนื้อหา 99%
ดังนั้นกลับมาที่การตั้งคำถามกันดูค่ะ ฝึกตั้งคำถามซึ่งจะมาเชื่อมโยงกับเรื่องนี้ได้ ทำให้ทักษะ Output ของเรานั้นพัฒนาขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ
o แสดงความคิดเห็นออกไปเป็นคนแรก ซึ่งจะทำให้ความเห็นนั้นทรงพลังขึ้นมาทันทีค่ะ
6
ในชีวิตเรา มักมีปัญหาต่าง ๆที่เกิดขึ้น และเราก็ไม่ควรที่จะเก็บเรื่องต่าง ๆ ไว้เพียงคนเดียวควรที่จะมีที่ปรึกษา ที่จะคอยรับฟังเพื่อให้เรารู้สึกผ่อนคลาย แต่หลายครั้งที่พอจะปรึกษาพูดคุยกลับไม่รู้ว่าจะพูดกับใคร เนื่องจากปัจจุบัน คนเรามีเพื่อนมากมายรวมไปถึงเพื่อนทาง social อีกด้วย คนปัจจุบันให้ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างมากมาย แต่ในความเป็นจริง การมีเพื่อนเพียง 3 คน ที่เราสามารถพูดคุยและเป็นเพื่อนแท้ก็เพียงพอแล้ว และควรลดความสัมพันธ์ฉาบฉวยที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ หันมาเอาเทคนิคก่อนหน้านี้คือการพบปะ คนที่เราเห็นความสำคัญบ่อยขึ้น ซึ่งเขาเหล่านั้นจะกลับมาเป็นเพื่อนแท้ที่ช่วยเหลือคุณได้อย่างแท้จริง อย่าได้กลัวความรู้สึกที่จะเปิดเผย เพราะการเปิดเผยในอีกแง่มุมเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้อีกด้วย ทำให้เกิดความสนิทสนม
แล้วก็อย่าลืมขอบคุณพร้อมชมเชยคนรอบข้างด้วยนะคะ เพราะการกระทำนี้ถือเป็นการ Feedback ไม่ว่าจะกับเพื่อนฝูงหรือลูกน้อง การชมเชย หรือดุว่า เป็นการช่วยให้อีกฝ่ายนำตัวเองไปสู่การพัฒนา ซึ่งการชมเชยนั้นยังมีวิธี 4 วิธี
1. ชมใน “การกระทำที่ต้องการเน้นย้ำ” เพื่อให้เกิดการทำซ้ำ
2. ชมอย่างเป็นรูปธรรม เช่น “เยี่ยมมากที่ทำสัญญามูลค่า 100 ร้อยล้านมาได้ เพราะคุณไม่ย่อท้อที่จะแก้ไขปัญหาเพื่อตอบสนองให้กับลูกค้า พยายามได้เยี่ยมมาก” อย่าชมเพียง “เยี่ยมมากที่ทำสัญญามูลค่า 100 ร้อยล้านมาได้” ต้องบอกด้วยว่าเพราะเขาทำอะไรถึงได้สิ่งนั้นมาได้
3. ตอบสนองความต้องการความเคารพนับถือ คือการตอบสนองแบบมาสโลว์ คือสุดท้ายคนเราต้องการการนับถือจากผู้อื่น
4. เขียนคำชมเชย การชมเชยด้วยการเขียนมีผลมากกว่าการพูดเพียงอย่างเดียวหลายเท่าการชมและถูกชม ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมีความลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
นอกจากการชมเชยแล้วการดุด่าว่ากล่าวก็เป็นการเพิ่ม Output แต่ต้องไม่ทำไปด้วยอารมณ์ การโกรธเป็นการกระทำเพื่อตัวเอง แต่การดุเป็นการทำเพื่ออีกฝ่าย การดุด่าว่ากล่าว ด้วยอารมณ์เพียงอย่างเดียวไม่ได้ทำให้ลูกน้องหรือผู้ถูกดุพัฒนาต้องชี้ประเด็นที่ต้องการให้อีกฝ่ายปรับปรุงให้ชัดเจน แทนที่จะพูดว่าจะรับผิดชอบอย่างไร เป็น”มาทำแบบนี้กันเถอะ” จะได้ผลดีกว่าค่ะ ซึ่งจะได้ผลดียิ่งขึ้นจะต้องเกิดจากการไว้วางใจซึ่งกันและกันว่าที่ทำไปเกิดจากความรัก ความปรารถนาดี และหากว่ามีการทำสิ่งใดที่ผิดพลาดก็กล้าที่จะขอโทษ ซึ่งเป็นการ Feedback ที่ทำให้เกิดการพัฒนาออกมาเป็น Output อีกด้วย
ด้วยวิธีการต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว หลังจากที่ทำมาทุกวิธีการ การอธิบายเป็นการบอกกล่าว สิ่งที่เราจำเป็นต้องชี้แจง ซึ่งหากเราอธิบายได้อย่างเก่งและเชี่ยวชาญจะเป็นการฝึกสมองของเราไปด้วย มีวิธีการอยู่ 7 วิธีคือ
1. พูดเสียงดังฟังชัด และต้องมั่นใจ
2. พูดด้วยความฉะฉานมั่นใจ
3. เริ่มพูดจากประเด็นที่สำคัญก่อนหรือข้อสรุปเพื่อเรียกร้องความสนใจแล้วค่อยตามด้วยเหตุผล
4. สั้นกระชับ
5. ยกตัวอย่างประกอบเพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้น
6. ใช้ข้อมูลอ้างอิงเพื่อความน่าเชื่อถือ
7. ใช้ตัวเลขอ้างอิง
สุดท้ายหลังจากที่เราได้เรียนรู้วิธีการต่าง ๆ ไปแล้ว สิ่งที่ต้องการจะเพิ่มเติมก็คือ การแนะนะตัว ควรเตรียมไว้ 2 รูปแบบ คือ 30 วินาทีและ 60 วินาที เพราะเมื่อเราต้องพบเจอผู้คนครั้งแรก เราต้องแนะนำตัวก่อน เพื่อสร้างความประทับใจและทำให้เราเป็นที่จดจำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น การเขียนบทแนะนำตัวและฝึกพูดให้คล่อง โดยพูดให้คนเข้าใจ
- หาประเด็นที่แปลกแตกต่างจากคนอื่นได้
- รวมถึงการพูดให้เป็นตัวเลขก็ทำให้เราสื่อสารแตกต่างออกไปได้ เช่น “เป็นแฟนภาพยนตร์ดู ปีละ 100 เรื่อง”
- พูดวิสัยทัศน์ สิ่งที่ตัวเองอยากเป็นในอนาคต
- ใส่ใจการสื่อสารโดยไม่ใช้คำพูด คือการมองไปข้างหน้า ยิ้มแย้ม และพูดให้เสียงดังฟังชัด
- ใส่ความเป็นตัวเองลงไป แสดงตัวตนอย่างที่เราอยากให้คนอื่นมองเราลงไปด้วย
หลังจากนี้ก็ไปเตรียมบทพูดให้พร้อมเพื่อที่จะได้ไม่ลนลานเมื่อต้องแนะนำตัวกะทันหันกันนะคะ
ซึ่งสิ่งที่ต้องนำเสนอออกไปคือการนำเสนอคุณค่าที่แท้จริงออกไปเสมอ
1
ติดตามบนต่อไปใน EP หน้านะคะ ^^
โฆษณา