Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
The MemoLife
•
ติดตาม
11 พ.ค. 2021 เวลา 09:00 • ประวัติศาสตร์
'ล่าแม่มด' เหตุเกิดเพราะความเชื่อหรือการชักจูงของศาสนา?
.
'การล่าแม่มด' ที่เกิดขึ้นในยุคกลางของทวีปยุโรปช่วงศตวรรษที่ 14 นั้น ถือเป็นหนึ่งในการยืนยันถึงความโหดเหี้ยมที่มนุษย์กระทำกับมนุษย์ด้วยกัน และไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย เหตุการณ์เหล่านี้ก็คงไม่มีวันลบเลือนไปจากหน้าประวัติศาสตร์ได้
.
ดังนั้น The MemoLife จึงอยากพาทุกคนไปพบกับความจริงอีกด้านหนึ่ง ที่ใครหลายคนอาจมองข้ามไป เพราะปกติเวลาเราได้อ่าน หรือได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้ เรามักจะรู้และคิดเพียงแค่ว่าเกิดมาจากความงมงายของมนุษย์ที่ยังไม่มีความรู้มากพอ เห็นความผิดปกติ เช่น การเกิดโรคระบาด การเจอคนตายอย่างไม่รู้สาเหตุในหมู่บ้าน การเกิดภัยธรรมชาติ ก็ตัดสินกันว่าเป็นฝีมือของแม่มดแล้ว
.
แต่แท้ที่จริงแล้ว สาเหตุของการล่าแม่มด อาจเกิดมาจากความต้องการที่จะให้คนกลับมาศรัทธาศาสนาก็ได้
.
ในสมัยที่มนุษย์ยังไม่มีความรู้ทางการแพทย์มากนัก เมื่อเกิดอาการเจ็บป่วยก็มักจะใช้สมุนไพรมารักษา และบางครั้งก็จะมีคนที่อ้างตนว่าสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ พร้อมทั้งบริกรรมคาถาระหว่างการปรุงยา ตอนนั้นหลายคนต่างก็ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกอะไร เพราะความเชื่อเรื่องเวทมนต์คาถา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ อยู่คู่กับมนุษย์มานานมากแล้ว
.
ต่อมาคนจากคริสตจักรก็มองว่า การกระทำอย่างท่องคาถาตอนปรุงยา หรือการใช้ความสามารถในการรักษาคน สามารถทำได้เพราะขอพลังจากซาตาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดกับความเชื่อในพระเจ้าของศาสนาคริสต์ พวกเขาจึงได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับพ่อมดแม่มดแล้วเผยแพร่ให้คนทั่วไปหวาดกลัว เกิดเป็นวัฒนธรรมในการล่าแม่มดนั่นเอง
.
สิ่งที่ทำให้การล่าแม่มดแพร่หลายมากขึ้น คือคำยืนยันจากปากของพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 8 ว่าแม่มดมีอยู่จริง ในปี 1484 หลังจากนั้นไฮน์ริช เครมเมอร์ และจาคอบ สเปรนเกอร์ คนของพระสันตะปาปาก็ได้เขียนหนังสือ 'Malleus Maleficarum' หรือ 'The Hammer of Witches' ซึ่งเป็นคู่มือการล่าแม่มดที่ถูกตีพิมพ์หลายต่อหลายครั้ง โดยเนื้อหาจะครอบคลุมตั้งแต่ลักษณะของคนที่เป็นแม่มด วิธีการไต่สวนให้แม่มดยอมสารภาพ ไปจนถึงวิธีกำจัด
.
โดยบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด มักจะมีลักษณะ หรือพฤติกรรมที่แปลกไปจากคนอื่น เช่น มีผมสีแดง มีหน้าตาที่งดงามเกินไป มีนิสัยชอบเก็บตัว เป็นต้น นอกจากนี้ผู้เคราะห์ร้ายส่วนมากจะเป็นผู้หญิง เพราะเชื่อกันว่าผู้หญิงเกิดตัณหาได้ง่าย มีร่างกายและจิตใจที่อ่อนแอ จึงถูกซาตานชักจูงง่ายกว่า
.
ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวิธีการไต่สวนนั้นโหดร้ายและทารุณขนาดไหน เรียกได้ว่าเป็นการทรมานเพื่อให้คนถูกกล่าวหายอมรับสารภาพคงเหมาะกว่า โดยตัวอย่างวิธีการไต่สวนที่นิยมใช้กันมากที่สุด คือ
.
🔺️ การจับถ่วงน้ำ เพราะเชื่อกันว่าหากเป็นแม่มดจริง คนเหล่านั้นจะมีพลังที่ทำให้ลอยขึ้นมาเหนือน้ำได้ แต่ถ้าหากจมลงไปทุกคนถึงจะยอมเชื่อว่าเป็นผู้บริสุทธิ์
🔺️ การเผาทั้งเป็น เชื่อกันว่าหากเป็นแม่มด ร่างของคนผู้นั้นจะถูกเผา แต่ถ้าหากสามารถรอดมาได้ ก็จะถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์
🔺️ การนำหินมาวางทับร่าง โดยนำแผ่นไม้มาปูรองข้างบน แล้ววางหินลงไปเรื่อย ๆ จนกว่าคนที่ถูกกล่าวหาจะยอมรับว่าตนเป็นแม่มด แต่ถ้าหากไม่ยอมรับ ก็จะถูกหินทับให้กระดูกซี่โครงหักและอวัยวะภายในแหลกเหลว
.
ซึ่งโดยส่วนใหญ่ คนมักจะยอมรับสารภาพเพราะทนความเจ็บปวดจากการทรมานไม่ไหว แต่แม้ว่าพวกเขาจะสารภาพ ก็ต้องถูกฆ่าตายอยู่ดี
.
เพราะหลายเรื่องถูกเขียนลงในหนังสือ ทำให้หลายคนเชื่อว่า หนึ่งในความเป็นไปได้ของจุดเริ่มต้นการล่าแม่มดมาจาก 'การชิงความศรัทธาระหว่างคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกกับนิกายโปรแตสแตนท์' จากคริสตศาสนิกชน
.
เหตุเป็นเพราะช่วงแรก มีคนศรัทธาเพียงแค่นิกายโรมันคาทอลิกเท่านั้น แต่การเกิดนิกายโปรแตสแตนท์ที่นำโดยมาร์ติน ลูเทอร์ได้แย่งผู้นับถือโรมันคาทอลิกบางส่วนไป
.
หลังจากมาร์ติน ลูเทอร์ผู้นำนิกายอนุญาตให้มีการประหารบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดได้ รวมถึงมีการให้บริการในเรื่องการล่าและกำจัดแม่มด โปรแตสแตนท์จึงมีคนศรัทธาเพิ่มขึ้น
.
ฝั่งโรมันคาทอลิกก็เริ่มร้อนใจ จึงได้ปล่อยข่าวลือเรื่องความเชื่อและความเลวร้ายของแม่มดเพื่อให้ประชาชนเกิดความกลัว และนำฝั่งตัวเองไปให้บริการในเรื่องของการล่าและกำจัดแม่มดบ้าง ถือเป็นการแข่งขันเพราะต้องการให้คนกลับมาเชื่อถือนิกายฝั่งตนเอง
.
ส่งผลให้ประเทศเยอรมนี สวิสเซอร์แลนด์ และประเทศใกล้เคียงกลายเป็นศูนย์กลางในการล่าแม่มด โดยเฉพาะในเยอรมนีที่เป็นบ้านเกิดของมาร์ติน ลูเทอร์ ผู้ปฏิรูปศาสนาคริสต์ และสร้างนิกายโปรแตสแตนท์ขึ้นมา แค่ประเทศเดียว ก็มีคนที่ถูกสังหารเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดไม่น้อยกว่า 100,000 คนแล้ว
.
โชคดีที่ในศตวรรษที่ 17 วิทยาการในด้านต่าง ๆ เช่น การแพทย์และวิทยาศาสตร์ ได้มีการพัฒนามากขึ้น มนุษย์จึงได้ตระหนักรู้ว่าการกระทำที่ผ่านมาของตนไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ทำให้คนเริ่มต่อต้านการล่าแม่มดกันมากขึ้น จึงได้ถูกยกเลิกไปในท้ายที่สุด
.
การกระทำของทั้งสองนิกาย ค่อนข้างใกล้เคียงกับทฤษฎีความต้องการของ McClelland นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน เรื่อง แรงจูงใจใฝ่อำนาจ (Power Motive) จากการที่ต่างฝ่ายต่างก็อยากมีอิทธิพลที่เหนือกว่า มีผู้ศรัทธาในลัทธิของตนมากกว่า และยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตนเองพอใจ โดยลืมไปว่าอาจมีผู้คนมากมาย ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของตน
.
ส่วนตัวแล้วแอดมินมองว่า ศาสนาคือต้นเหตุที่ทำให้เกิดการล่าแม่มดขึ้น ค่อนข้างมีความน่าเชื่อถืออยู่ไม่น้อย ไม่อย่างนั้นหนังสือ 'The Hammer of Witches' คงไม่มีทางได้เผยแพร่และตีพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลาเกือบ 2 ศตวรรษ และกลายเป็นหนังสือที่คนส่วนมากอ่านรองจากพระคัมภีร์ไบเบิลได้อย่างแน่นอน
.
เหตุการณ์นี้ถือเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่โหดร้ายและมีคนตายมากมายจนแทบใกล้เคียงกับการเกิดสงคราม
.
และที่สำคัญในปัจจุบันเอง ก็ยังมีเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกันอยู่ จะเห็นได้ว่าผู้เคราะห์ร้ายส่วนมากที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด มักจะเป็นผู้ที่แปลก แตกต่าง แตกแยก ซึ่งถ้าหากมนุษย์สามารถยอมรับความแตกต่างนี้ได้ ความเลวร้ายนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น
โดย แอดมินมาย
ขอบคุณที่มาจาก :
https://youtu.be/gxxgCByDbKI
https://www.flagfrog.com/witch-hunter-history/
https://qz.com/.../why-europe-was-overrun-by-witch-hunts.../
https://www.history.com/topics/folklore/history-of-witches
เครดิตภาพ : แอดมินใบเตย
#ล่าแม่มด #ล่าแม่มดเพราะศาสนา #History #TheMemoLife
5 บันทึก
1
5
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย