-ถือเป็นความท้าทายในแต่ละบททดสอบแต่ก็ผ่านมาได้จนพวกเขาแก่กล้าพอที่จะสร้าง amo ขึ้นมา และเตรียมใจกับผลกระทบและผลตอบรับอยู่แล้ว โดยการแฝงข้อความในแต่ละบทเพลงในชุดนี้ จึงไม่ควรมองข้ามกิมมิคเล็กๆน้อยๆ ที่พวกเขาได้เตือนไว้แล้วอย่างเช่นเพลงแทร็คเปิดหัวอย่าง “I apologise if you feel something” interlude เกริ่นนำที่เหมือนจะเป็นการชี้ชัดอยู่แล้ว ต่อด้วย trapped song ของแท้ อย่าง MANTRA ซิงเกิลเปิดตัวที่สร้างความอยากให้ผู้ฟังโดยการชวนเข้าลัทธิใหม่ (Do you Start a cult with me? เป็นเสมือนการเชื้อเชิญผู้ฟังอีกครั้ง ก่อนจะพาไป get high แบบติดลมบน) กับจังหวะร็อกชวนโยกแบบพอเหมาะไม่หนักหน่วงเกินไป หลายคนคงคิดว่าเพลงนี้เปรียบเหมือนตัวแทนของเพลงที่ยังไม่ปล่อย แต่คงผิดคาด จะเอาแน่นอนอะไรกับวงนี้ไม่ได้แล้ว เป็นซิงเกิลแรกที่เปิดตัวแบบเหมาะมาก
-nihilist blues (ft.grimes) ซิงเกิลที่ 5 ของวงที่มาแบบชวนอึ้งไม่น้อย ที่ฟังยังไงๆก็ห่างไหลจากคำว่า BMTH ซึ่งฉีกมาเป็น edm เฉย ชนิดกู่ไม่กลับแล้วล่ะแบบนี้ ตามมาด้วยเพลงโปรด ณ ตอนนี้ อย่าง in the dark สไตล์การเล่นกีตาร์ เบส ผสมผสานเครื่องสาย แบบว่าถูกจริตมากสไตล์โมเดิร์นร็อกฟังเพลินและเคลิ้มตามในอารมณ์ตัดพ้อแบบเนื้อเพลงกล่าวเลย
ขณะที่เพลง Wonderful life ft. dami filth ยังคงความกวนทีนและชวนแหกปากแบบเด็กๆ ที่มีความโดนแบบเน้นๆแบบไม่ต้องพูดอะไรมาก ต่อด้วย Ouch (interlude พักหูสักเล็กน้อย ก่อนจะส่งต่อเพลงต่อไป)ให้อารมณ์แบบแบบรีบๆ
Medicine อิเล็กโทรป๊อปอ่อนๆแต่ไม่หวานมาก ที่ติดหูกับคำกระแทกแดกดันกับเมโลดี้เพลงที่อัดใส่คนฟังราวกับเป็นคนผิดจริงๆ มาต่อเพลงที่ฟังแล้วมึนๆแบบยังไม่สร้างจากฤทธิ์ยาอย่าง sugar,honey, ice&tea (SHIT) ให้สงบจิตสงบใจกับเสียงสำรอกแบบแตกๆและแหกปากเล็กน้อยให้แฟนเพลงเก่าๆได้ เย้ กันบ้าง ควบกับริฟฟ์กีต้าร์อึนๆ หน่วงๆพอโยกได้แบบ get high อยู่ ฟังดูแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก ต่อด้วย why you gotta kick me when i'm down เรียกว่าชอบครึ่งไม่ชอบครึ่งกับการพ่นแร็ปแบบพองามซึ่งยังไม่คุ้นหูมากนัก แต่กลับชอบภาคดนตรีมากกว่าฟังดูมีของกว่าที่คิดหยั่งกะซาวน์แทร็คหนังเรื่องนึง ซึ่งไม่คิดว่าจะนำมามิกซ์ได้อย่างเหมาะเจาะ
ต่อกับเพลงคั่น (อีกแล้ว) fresh bruises ที่ Jordan fish เป็นพระเอกดำเนินรายการอีกครั้งกับเนื้อเพลงสั้นๆแต่ยาว
“Don’t you try to fuck with me, Don’t you hide your love”
- Mother tounge เพลงรักสไตล์หวานเจี๊ยบกว่า follow you กับความรู้สึกรักภาคต่อของนาย Oliver sykes ที่พัฒนาเสียงร้องเมโลดี้ได้ดีจนมาลงเอยกับเพลงนี้ ยอมรับว่าฟังแล้วชอบกว่า medicine ที่ปล่อยออกมาก็ยี้แล้ว แต่อันนี้มันแพรวพราวกว่ากว่ากับคำที่ป้อนติดหูและความเลี่ยนไม่น้อย โดยเฉพาะท่อนฮุคอันทรงพลัง
-(heavy metal ft. Rahzel) แต่ไม่ heavy ในแนวดนตรี ถือเป็นสาส์นของวงที่ตั้งใจจะตอบกลับแฟนเพลงกับแนวที่เปลี่ยนไปแน่นอน เมื่อตัดสินใจลงไปเช่นไรย่อมรู้ถึงผลที่ตามมา เพราะเลือกที่จะยอมรับมัน แต่ยังไงซะ เมื่อฟันธงไปแล้วก็อย่าหันกลับไปมองละกัน ชวนให้นึกถึงเพลง Heavy ของ Linkin Park อยู่ไม่น้อย (แต่คนละอารมณ์และความหมาย) เป็นอีกหนึ่ง trapped โดยแท้
ปิดฉากอัลบั้มด้วยเพลง i don't know what to say ให้ความรู้สึกแบบ Arena rock อยู่ไม่น้อย นึกถึงตอนเล่นที่ Royal albert hall ก็ไม่ผิด เพราะการใช้เครื่องสายชัดกว่าเพลงอื่นเสริมความเล่นใหญ่ก่อนปิดมหากาพย์การผจญภัยเกี่ยวกับความรัก ที่มีมาและเกิดขึ้นโดยพาผู้ฟังไปสำรวจ ทำความเข้าใจและสัมผัสมันได้ว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ