9 พ.ค. 2021 เวลา 07:22 • ดนตรี เพลง
ALBUM REVIEW : Bring me the horizon - amo (2019)
เรียกได้ว่ามาแรงและเป็นที่พูดถึงเหลือเกินตั้งแต่ทยอยปล่อยซิงเกิ้ลออกมา กระทั่งปล่อยอัลบั้มเปิดตัวต้อนรับปี 2019 ที่ทุกคนตั้งตารอมานานหลังจากทิ้งช่วงนานกว่า 3 ปีกับอัลบั้ม “amo” ผลผลิตที่ออกดอกออกผลครั้งใหม่ของวงร็อกจากเมือง UK อย่าง “Bring me the horizon (BMTH)” ซึ่งกลับมาคราวนี้กับอัลบั้ม (รัก) ฉีกแนวคอนเซ็ปต์และแนวเพลง เมื่อเทียบกับวงเพื่อนร่วมรุ่นหรือรุ่นพี่แบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ กับสิ่งที่เกินความคาดหมายไปมาก ทั้งแง่ดีและแง่ลบ 
-หลังจากฟังครั้งแรกที่ทางวงปล่อยออกมาให้ฟังแบบเต็มสตรีม (เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2019) ถ้าไม่นับรวมซิงเกิล ที่ทยอยปล่อยออกมาตั้งแต่ปีที่แล้วอย่าง MANTRA,wonderful life, medicine ,. บอกตามตรงว่าไม่ชอบและไม่ประทับใจอย่างแรง ในการนำแนวเพลงอย่างเช่น Pop, edm, hiphop มาผสมและใส่ลงเยอะพอควรในชุดนี้ซึ่งไม่ใช่แนวที่ผมชอบฟังนัก แต่ติดตรงที่เป็น BMTH นี่แหละ ยังไงก็ขอลองฟังอีกสักรอบสองรอบเถอะถึงความแปลกใหม่ที่วงพยายามจะเปลี่ยนและสื่อออกมาว่ามันจะเวิร์คหรือไม่
-เรื่องเนื้อเพลงยอมรับว่าเขียนดีและพัฒนาขึ้นมากอาจจะติดเพียงแค่การยอมรับและเปิดใจทางด้านดนตรี ตัวผมเองยังคงต้องทำการบ้านต่อไป แต่เอาเถอะใช่ว่าวงอื่นแล้วเปลี่ยนจะรุ่งต่อแบบนี้จะมีเยอะ จากที่เห็นคำวิจารณ์และผลตอบรับจากสื่อหลายสำนักที่ให้คะแนนไปทางบวก เพราะมันหักมุมซะจนคิดว่าใช่วงที่เรารู้จักจริงหรือ? (ความรู้สึกเหมือนตอน Linkin park ปล่อย A Thousand Suns (2010) ) เรียกได้ว่าเป็นวงที่ไม่หยุดพัฒนาและต่อยอดทำสิ่งใหม่ๆที่ยังไม่ได้ลอง นอกจากการแหกปากแผดเผาซะอย่างเดียว ตั้งแต่การเป็นเดธคอร์ เมทัลคอร์ สู่มาตรฐานสูตรสำเร็จอย่างป๊อบร็อกจนได้ ซึ่งความเปลี่ยนแปลงจะมีให้เห็นตลอดจนชุดหลังๆอย่าง That’s the spirit ที่เริ่มยำแนวเพลง (ฮา) อย่างหลากหลายในทางเมนสตรีมมากขึ้น จนฐานแฟนเพลงเพิ่มมากขึ้นเลยทีเดียวโดยเฉพาะสาวๆ
- สำหรับ Amo เนื้อหาจะคงวนเวียนในเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก ความผิดหวัง ความสุข ความเศร้า ผลกระทบที่มีต่อจิตใจและร่างกายทั้งเรื่องดีและร้าย โดยยังคงเป็น Jordan fish และ Oliver sykes หัวหอกของวงทำหน้าที่ปรุงแต่งและ ชิมส่วนผสมของอัลบั้มชิ้นนี้เองต่อจากชุดที่แล้ว ประกอบด้วยทั้งหมด 13 เพลง
1. i apologise if you feel something
2. MANTRA
3. nihilist blues Featuring Grimes
4. In the dark
5. wonderful life Featuring Dani Filth
6. ouch
7. medicine
8. sugar honey ice & tea
9. why you gotta kick me when i'm down
10. fresh bruises
11. mother tongue
12. heavy metal Featuring Rahzel
13. i don't know what to say
-ถือเป็นความท้าทายในแต่ละบททดสอบแต่ก็ผ่านมาได้จนพวกเขาแก่กล้าพอที่จะสร้าง amo ขึ้นมา และเตรียมใจกับผลกระทบและผลตอบรับอยู่แล้ว โดยการแฝงข้อความในแต่ละบทเพลงในชุดนี้ จึงไม่ควรมองข้ามกิมมิคเล็กๆน้อยๆ ที่พวกเขาได้เตือนไว้แล้วอย่างเช่นเพลงแทร็คเปิดหัวอย่าง “I apologise if you feel something” interlude เกริ่นนำที่เหมือนจะเป็นการชี้ชัดอยู่แล้ว ต่อด้วย trapped song ของแท้ อย่าง MANTRA ซิงเกิลเปิดตัวที่สร้างความอยากให้ผู้ฟังโดยการชวนเข้าลัทธิใหม่ (Do you Start a cult with me? เป็นเสมือนการเชื้อเชิญผู้ฟังอีกครั้ง ก่อนจะพาไป get high แบบติดลมบน) กับจังหวะร็อกชวนโยกแบบพอเหมาะไม่หนักหน่วงเกินไป หลายคนคงคิดว่าเพลงนี้เปรียบเหมือนตัวแทนของเพลงที่ยังไม่ปล่อย แต่คงผิดคาด จะเอาแน่นอนอะไรกับวงนี้ไม่ได้แล้ว เป็นซิงเกิลแรกที่เปิดตัวแบบเหมาะมาก 
-nihilist blues (ft.grimes) ซิงเกิลที่ 5 ของวงที่มาแบบชวนอึ้งไม่น้อย ที่ฟังยังไงๆก็ห่างไหลจากคำว่า BMTH ซึ่งฉีกมาเป็น edm เฉย ชนิดกู่ไม่กลับแล้วล่ะแบบนี้ ตามมาด้วยเพลงโปรด ณ ตอนนี้ อย่าง in the dark สไตล์การเล่นกีตาร์ เบส ผสมผสานเครื่องสาย แบบว่าถูกจริตมากสไตล์โมเดิร์นร็อกฟังเพลินและเคลิ้มตามในอารมณ์ตัดพ้อแบบเนื้อเพลงกล่าวเลย 
ขณะที่เพลง Wonderful life ft. dami filth ยังคงความกวนทีนและชวนแหกปากแบบเด็กๆ ที่มีความโดนแบบเน้นๆแบบไม่ต้องพูดอะไรมาก ต่อด้วย Ouch (interlude พักหูสักเล็กน้อย ก่อนจะส่งต่อเพลงต่อไป)ให้อารมณ์แบบแบบรีบๆ 
Medicine อิเล็กโทรป๊อปอ่อนๆแต่ไม่หวานมาก ที่ติดหูกับคำกระแทกแดกดันกับเมโลดี้เพลงที่อัดใส่คนฟังราวกับเป็นคนผิดจริงๆ มาต่อเพลงที่ฟังแล้วมึนๆแบบยังไม่สร้างจากฤทธิ์ยาอย่าง sugar,honey, ice&tea (SHIT) ให้สงบจิตสงบใจกับเสียงสำรอกแบบแตกๆและแหกปากเล็กน้อยให้แฟนเพลงเก่าๆได้ เย้ กันบ้าง ควบกับริฟฟ์กีต้าร์อึนๆ หน่วงๆพอโยกได้แบบ get high อยู่ ฟังดูแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก ต่อด้วย why you gotta kick me when i'm down เรียกว่าชอบครึ่งไม่ชอบครึ่งกับการพ่นแร็ปแบบพองามซึ่งยังไม่คุ้นหูมากนัก แต่กลับชอบภาคดนตรีมากกว่าฟังดูมีของกว่าที่คิดหยั่งกะซาวน์แทร็คหนังเรื่องนึง ซึ่งไม่คิดว่าจะนำมามิกซ์ได้อย่างเหมาะเจาะ 
ต่อกับเพลงคั่น (อีกแล้ว) fresh bruises ที่ Jordan fish เป็นพระเอกดำเนินรายการอีกครั้งกับเนื้อเพลงสั้นๆแต่ยาว
“Don’t you try to fuck with me, Don’t you hide your love”
- Mother tounge เพลงรักสไตล์หวานเจี๊ยบกว่า follow you กับความรู้สึกรักภาคต่อของนาย Oliver sykes ที่พัฒนาเสียงร้องเมโลดี้ได้ดีจนมาลงเอยกับเพลงนี้ ยอมรับว่าฟังแล้วชอบกว่า medicine ที่ปล่อยออกมาก็ยี้แล้ว แต่อันนี้มันแพรวพราวกว่ากว่ากับคำที่ป้อนติดหูและความเลี่ยนไม่น้อย โดยเฉพาะท่อนฮุคอันทรงพลัง 
-(heavy metal ft. Rahzel) แต่ไม่ heavy ในแนวดนตรี ถือเป็นสาส์นของวงที่ตั้งใจจะตอบกลับแฟนเพลงกับแนวที่เปลี่ยนไปแน่นอน เมื่อตัดสินใจลงไปเช่นไรย่อมรู้ถึงผลที่ตามมา เพราะเลือกที่จะยอมรับมัน แต่ยังไงซะ เมื่อฟันธงไปแล้วก็อย่าหันกลับไปมองละกัน ชวนให้นึกถึงเพลง Heavy ของ Linkin Park อยู่ไม่น้อย (แต่คนละอารมณ์และความหมาย) เป็นอีกหนึ่ง trapped โดยแท้
ปิดฉากอัลบั้มด้วยเพลง i don't know what to say ให้ความรู้สึกแบบ Arena rock อยู่ไม่น้อย นึกถึงตอนเล่นที่ Royal albert hall ก็ไม่ผิด เพราะการใช้เครื่องสายชัดกว่าเพลงอื่นเสริมความเล่นใหญ่ก่อนปิดมหากาพย์การผจญภัยเกี่ยวกับความรัก ที่มีมาและเกิดขึ้นโดยพาผู้ฟังไปสำรวจ ทำความเข้าใจและสัมผัสมันได้ว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ
-โดยรวมแล้วผลงานชิ้นนี้ แม้ว่าจะมองเป็นงาน Experimental เน้นความหลากหลายหาได้มีจุดยืนชัดเจน แต่ความตั้งใจของศิลปินที่กล้าจะฉีกหรือแหกออกจากแนวทางเดิมๆแบบเอาข้างหน้าเป็นไป ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขามีความสามารถเหลือล้นและ ego สูงแบบพอตัว ทั้งเรื่องการเขียนและแต่งเพลง เรียบเรียง จนการ produce เอง เพิ่มสิ่งใหม่ๆที่แทบไม่เหลือความเป็นรากเดิมแต่ความเป็นตัวเองของวงยังไม่จางหาย ขึ้นอยู่กับว่าคุณเปิดใจมากแค่ไหน รวมถึงการสร้าง impact และมาตรฐานการฟังเพลงใหม่ให้แก่ผู้ฟังไม่มากก็น้อย (โดยเฉพาะตัวผมเอง) ในแง่ของความไม่ยึดติด ที่ BMTH แสดงให้เห็นแล้วว่ามันเป็นเช่นไร
Tracklist
โฆษณา