10 พ.ค. 2021 เวลา 13:02 • บันเทิง
ต้นฉบับของ “หนูน้อยหมวกแดง” น่ากลัวกว่าที่คิด
เวลาพูดถึงเรื่องราว ตำนานพื้นบ้าน หรือตำนานในพื้นที่ต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายและแตกต่างกันออกไป ซึ่งในประเทศไทยก็มีอยู่หลากหลายจำพวก แต่จะมีอยู่จำพวกหนึ่งที่มีเนื้อหาน่ารัก และความหมายค่อนข้างที่จะดีมาก นั่นก็คือนิทานอีสปนั่นเอง
ในความเป็นจริงแล้ว ต้นฉบับของนิทานอีสปในหลาย ๆ เรื่องนั้นไม่ได้น่ารักอย่างที่คิดเลย และหนึ่งในนิทานอีสปที่มีต้นฉบับที่น่ากลัวอีกเรื่องหนึ่งนั่นก็คือ “หนูน้อยหมวกแดง” นั่นเอง
เวลาพูดถึงเรื่องของหนูน้อยหมวกแดงเชื่อเลยว่าหลาย ๆ คนคงจะรู้จักกันอย่างแน่นอน เพราะในยุคปัจจุบันก็จะมี ดิสนีย์ ที่นำมาทำเป็นหนัง หรือการ์ตูน เป็นเนื้อหาที่สร้างมาเพื่อเด็กโดยเฉพาะ แต่ในต้นฉบับนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย และในต้นฉบับนั้นตัวร้ายไม่ใช่หมาป่า แต่ตัวร้ายคือยักษ์ ซึ่งตรงนี้ค่อนข้างน่าสนใจมาก
โดยเนื้อหาของต้นฉบับหนูน้อยหมวกแดงที่หามา ได้บอกไว้ว่าในสมัยก่อนนั้นที่ยังไม่ได้เจริญรุ่งเรืองในเรื่องของเศรษฐกิจ เทคโนโลยี จะมีการเป็นอยู่โดยการแยกกันออกไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ และเวลาไปมาหาสู่กันก็จะเดินข้ามผ่านป่าใหญ่ป่าหนึ่งไป ซึ่งแน่นอนว่าการเดินทางนั้นค่อนข้างที่จะยากลำบากมาก และแทบไม่สามารถเดินทางได้คนเดียวเนื่องจากเวลาข้ามป่านั้นยังไงก็ต้องเจอกับสัตว์ป่ามากมาย ฉะนั้นแล้วเวลาที่ข้ามป่าไปหากันจะต้องเดินทางไปเป็นกลุ่ม และเดินทางไปพร้อมกับนายพรานนั่นเอง
ซึ่ง ณ เวลานั้นเองได้มีหนูน้อยคนหนึ่ง มีผมสีบลอนด์ ซึ่งหนูน้อยคนนี้เขาก็อาศัยอยู่กับแม่ในหมู่บ้านหนึ่ง และมีคุณยายหนึ่งคนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง ตอนแรกหนูน้อยได้อาศัยอยู่กับคุณยาย เมื่อโตขึ้นก็ได้ย้ายมาอยู่กับคุณแม่ คุณยายได้ให้ของขวัญเป็นการทิ้งท้ายก่อนที่จะจากลา เป็นผ้าคลุมสีทอง บรอนซ์ และหนูน้อยจะใช้ติดตัวอยู่ตลอดเวลา
1
เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ หนูน้อยก็โตขึ้นอายุประมาณ 14-15 ปี มีอยู่วันหนึ่งคุณแม่ของหนูน้อยได้ทำขนมและบอกให้หนูน้อยนำขนมไปให้คุณยาย เพียงแค่ผ่านป่านี้ไป พอหลุดพ้นจากไปก็จะเจอกับโรงโม่แป้ง ซึ่งบ้านของคุณยายอยู่ข้าง ๆ กับโรงโม่แป้งเลย ในขณะที่คุณแม่บอกให้หนูน้อยนำขนมไปให้คุณยายนั้น เขาได้เตือน 1 อย่างกับหนูน้อยว่า เวลาเดินเข้าป่าไปเจอใครที่แปลกหน้าและเข้ามาชวนเราคุย หรือเข้ามาทักทายเรานั้น ต้องห้ามคุยโดยเด็ดขาด
ในเวลาต่อมาหนูน้อยก็ได้เดินทางไปที่บ้านของคุณยาย ซึ่งในระหว่างที่เดินทางนั้นหนูน้อยก็ได้เห็นชาวบ้านมากมาย เขาก็ไม่ได้สนใจและเดินต่อไปเรื่อย ๆ จู่ ๆ ก็มียักษ์เขียวตนหนึ่งเห็นหนูน้อยเดินผ่านหน้าไป ในเวลานั้นเองเมื่อยักษ์เขียวได้เห็นหนูน้อย ก็มีความรู้สึกว่าอยากจะกินเด็กคนนี้ทันที เขาเลยคิดว่าจะบุกเข้าไปทำร้ายและจับกินเป็นอาหาร แต่ในขณะนั้นเองเจ้ายักษ์เขียวตนนี้ก็มองไปรอบ ๆ ปรากฏว่ามีชาวบ้านอยู่มากมาย ถ้าโผล่ออกไปอาจจะถูกชาวบ้านขับไล่ หรืออาจจะโดนทำร้ายก็เป็นได้ ก็เลยเกิดความคิดหนึ่งอย่างขึ้นมา นั่นก็คือให้หนูน้อยเดินห่างจากชาวบ้านไปเรื่อย ๆ และพอเดินไปได้สักพักเขาก็จะตีสนิทและชวนคุยนั่นเอง
ซึ่งก็เป็นไปตามแผนของยักษ์เขียวที่วางไว้ และจากที่หนูน้อยเดินออกมาจากหมู่บ้านเจ้ายักษ์เขียวก็ได้โผล่ออกมาพร้อมกับทักทายหนูน้อยว่า “อ้าว หนูน้อย จะเดินทางไปไหนล่ะ กลิ่นหอมเชียวนะที่ถือมาน่ะมันคืออะไรกัน” หนูน้อยก็แอบตกใจเล็กน้อยกับสิ่งที่เห็น เพราะสิ่งที่เขาเห็นนั้นเป็นยักษ์ แต่ด้วยความซื่อ เขาก็ได้บอกกับเจ้ายักษ์เขียวไปว่านี่คือขนมที่เขาจะเอาไปให้คุณยาย ซึ่งพอยักษ์เขียวได้ยินแบบนั้นก็เกิดความคิดขึ้นมาอีกว่า เขาอยากจะกินทั้งคุณยายและหนูน้อย เลยได้คิดอุบายขึ้นมาแล้วบอกกับหนูน้อยไปว่า “อ๋อ บ้านหลังนั้นเหรอ นี่ก็จะไปบ้านหลังนั้นเหมือนกัน งั้นเดี๋ยวเราไปเจอกันที่ปลายทางและจิบน้ำชาด้วยกัน” ซึ่งหนูน้อยที่ได้ยินแบบนั้นก็สบายใจว่าสิ่งที่เขาเห็นน่าจะเป็นยักษ์ใจดี เขาก็เลยได้ตอบตกลง และเดินแยกจากกันไปโดยที่ยักษ์ตนนั้นได้เดินนำหน้าไปก่อน
1
ในเวลาต่อมาหลังจากที่ยักษ์ตัวนั้นได้เดินไปถึงบ้านของคุณยายแล้ว ยักษ์ตนนี้ก็ได้ปลอมแปลงเสียงเป็นเสียงของหนูน้อย จากนั้นได้ทำการเคาะประตู 3 ที และพูดกับคุณยายว่า “ยายจ๋า หนูมาแล้ว ช่วยเปิดประตูให้หนูที” ซึ่งคุณยายที่อยู่ในบ้านนั้นได้ยินเสียงก็ได้ทำการเปิดประตู หลังจากนั้นเพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น ยักษ์เขียวก็ได้จับคุณยายเข้ามาในปากและฉีกร่างของคุณยายเป็นชิ้น ๆ กระจายทั่วห้อง
ในเวลานั้นเองยักษ์ได้กินคุณยายเป็นที่เรียบร้อย ก็คิดว่าอีกไม่นานหนูน้อยคงต้องมาถึงแน่นอน เลยคิดอุบายหนึ่งอย่างขึ้นมานั่นก็คือ เขาได้หยิบเสื้อผ้าในตู้ของคุณยายนั้นมาใส่ เข้าไปนอนในบ้านและปิดประตูมืดทั้งหมดโดยที่ไม่ให้แสงเข้ามาได้เลย เพื่อที่จะได้หลอกล่อให้หนูน้อยเข้ามาใกล้ ๆ และจะได้จับกินนั่นเอง
ซึ่งก็เป็นตามที่คาด ต่อมาหนูน้อยก็ได้เดินทางมาถึงบ้านของคุณยาย เคาะประตูแล้วพูดคำเดียวกับยักษ์เขียวว่า “ยายจ๋า หนูมาแล้ว ช่วยเปิดประตูให้หนูที” แต่ครั้งแรกคุณยายเป็นคนเปิด ครั้งนี้ยักษ์ไม่ได้มาเปิดให้พร้อมกับปลอมเสียงคุณยายและพูดว่า “ช่วยเข้ามาข้างในหน่อยได้ไหม ยายไม่ค่อยสบาย” หลังจากที่หนูน้อยได้ยินเขาก็คิดว่าคุณยายคงไม่สบาย ก็เลยเปิดประตูเข้าไป แต่ในขณะที่เขาเปิดประตูนั้น ระหว่างที่จับลูกบิดก็รู้สึกว่ามีอะไรติดมือออกมา เลยได้ถามกับคุณยายว่า “ยายจ๋า อะไรติดอยู่ที่ลูกบิดประตู” ยักษ์ที่ได้ยินนั้นก็กลั้นขำ และห้ามตัวเองที่จะพูดออกมาไม่ไหว ก็เลยพูดออกมาสั้น ๆ ว่า “ไส้ยายแกไง” จากนั้นหนูน้อยหมวกแดงก็ตกใจและพูดไปว่า “อะไรนะคะคุณยาย” ยักษ์เขียวก็สงบสติอารมณ์ แล้วพูดไปว่า “ไม่มีอะไรหรอก มันคือปุยนุ่นที่หลุดออกมาจากหมอนยายนั่นแหละ เข้ามาได้เลย” ซึ่งความซื่อของหนูน้อย เขาก็เชื่อและเดินเข้าไปในบ้าน
หลังจากที่หนูน้อยได้เข้ามาที่บ้านของคุณยายเกิดอาการหิวขึ้นมา และถามคุณยายว่า “ยายจ๋า มีอะไรให้หนูกินไหม หนูอยากกินข้าวจังเลย” ยักษ์ก็ตอบกลับไปว่างั้นก็เดินเข้าไปในครัวสิ ในนั้นมีข้าวที่หุงไว้อยู่ หนูน้อยได้ยินแบบนั้นก็เลยเดินเข้าไปในครัวพร้อมกับคดข้าวใส่จาน แต่สิ่งที่ผิดสังเกตนั้นกับพบว่ามีข้าวบางเมล็ดที่ใหญ่กว่าปกติ เขาก็เลยหันมาถามคุณยายว่า “ยายจ๋า ทำไมข้าวบางเมล็ดมันแข็งและใหญ่กว่าปกติล่ะ” ยักษ์ตนนั้นก็ข่มใจไม่อยู่และพูดออกมาว่า “ก็นั่นมันฟันของยายแกไง” ยักษ์ตัวนั้นก็ตกใจกับสิ่งที่ตัวเองพูดไปเลยสงบสติอารมณ์และพูดไปว่า “นั่นมันคือข้าวที่ยังไม่สุกน่ะ กินไปเถอะไม่มีปัญหาหรอก” หนูน้อยก็ตกใจแต่คิดว่าคงไม่มีอะไรหรอก ก็ได้กินข้าวที่ผสมฟันของคุณยายเข้าไป หลังจากนั้นหนูน้อยก็เกิดอาการกระหายน้ำ เลยถามคุณยายไปว่า “ยายจ๋า หนูหิวน้ำมีอะไรให้หนูกินไหม” ยักษ์ก็ตอบไปว่า “ข้าง ๆ หม้อข้าวมีไวน์แดงอยู่ กินได้ไหม ถ้ากินได้ก็กินไปเถอะ ตอนนี้น้ำหมด” หนูน้อยไม่มีทางเลือกจึงตัดสินใจดื่มน้ำไวน์แดงเข้าไป แต่ในขณะที่ดื่มนั้น เขารู้สึกว่าน้ำไวน์แดงสีมันแดงผิดปกติและมีกลิ่นคาวแปลก ๆ เลยได้ถามคุณยายว่า “ยายจ๋าทำไมไวน์แดงถึงมีกลิ่นคาว และแดงผิดปกติจังเลย ยักษ์ก็หลุดพูดมาอีกครั้งว่า “นั่นมันเลือดยายแกไง” จากนั้นเขาก็แก้ไขคำพูดว่า “นั่นมันไวน์แดงที่หมักมานาน รสชาติอาจจะเปลี่ยนไปไม่ต้องตกใจนะ เสร็จแล้วก็เข้ามาหายายหน่อยแล้วกัน” หนูน้อยได้ยินแบบนั้นก็ดื่มและเดินเข้าไปหาคุณยาย ระหว่างที่หนูน้อยกอดคุณยายอยู่นั้นก็รู้สึกแปลก ๆ เพราะร่างของคุณยายนั้นใหญ่มากและมีขนปกคลุมอยู่ทั่วร่างกาย เขาเลยได้ถามคุณยายไปว่า “ยายจ๋า ทำไมร่างกายของยายใหญ่จัง แล้วทำไมถึงมีขนเยอะแยะมากมายเลยล่ะ” ในขณะนั้นเองยักษ์เขียวทนไม่ไหว เพราะรู้สึกว่าอยากจะกินและหิวมาก เลยพูดใส่หน้าหนูน้อยว่า “ก็จะได้เอาไว้กอดและกินแกไง” หลังจากนั้นยักษ์เขียวก็ได้ฉีกร่างกายของหนูน้อย และได้ทำการชำแหละชิ้นส่วนของหนูน้อยเป็นชิ้น ๆ
โฆษณา