12 พ.ค. 2021 เวลา 11:30 • ไลฟ์สไตล์
Dunning-Kruger effect ยอมรับความเขลา สู่เนินเขาแห่งพัฒนา
1
Dunning-Kruger effect เป็นทฤษฎีทางจิตวิทยาพัฒนาตนเองที่พัฒนาขึ้นโดยสองนักจิตวิทยา เดวิด ดันนิ่ง และจัสติน ครูเกอร์
โดยทฤษฎีได้แบ่งลำดับขั้นการพัฒนาตนเองไว้เป็นสี่ระดับได้แก่
ยอดเขาแห่งความโง่เขลา Mountain of stupidity
หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง Valley of Despair
สันเขาแห่งการรู้แจ้ง Slope of enlightenment
เนินแห่งความยั่งยืน Plateau of sustainability
ผมได้เจอกับทฤษฎีนี้ตอนเรียนมหาวิทยาลัย
ในช่วงที่ความมั่นใจเต็มเปี่ยม มากกว่าความเฉลียวฉลาด
ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนึงชื่อ A little book of stupidity
เกี่ยวกับหลักทางวิทยาศาสตร์ว่าเราใช้ชีวิตด้วยการหลอกตัวเองมากเพียงใด ผ่านทฤษฎีบทนี้ครับ
จนสุดท้ายได้นำมาใช้ เป็นหลักคิดประจำตัวเลยก็ว่าได้
ทฤษฎีนี้ว่าด้วยขั้นตอนกระบวนการพัฒนาของมนุษย์เรา
มันเริ่มต้นจากยอดเขา ที่ไม่ใช่ความสำเร็จ แต่คือยอดเขาแห่งความโง่เขลา
หรือ Mountain of stupidity
เมื่อเราเรียนรู้หรือเริ่มทำอะไรสักอย่างนึง เมื่อเราทำไปได้สักระยะนึง
ประสบความสำเร็จเล็กๆน้อยๆ เราก็มักคิดไปเองว่าเรานั้น ช่างเก่งซะเหลือเกิน
เราวาดฝันว่าเราจะประสบความสำเร็จได้
จะได้เป็นวอร์เรนเมืองไทย โรนัลโด้แห่งเอเชีย หรือเถ้าแก่น้อยคนใหม่
ผมจะยกตัวอย่างตอนที่ตนเริ่มเข้าสู่ตลาดการลงทุนในช่วงโควิดที่เกิดขึ้นช่วงกลางปีที่แล้วนะครับ
ผมได้ลงทุนในหุ้นไทย และได้ผลตอบแทนที่ดีในระดับที่พอใจ
หัวใจผมเต้นแรง สูบฉีด ชื่นชมในความเก่งกาจของตัวเอง และคิดว่าตลาดจะเป็นแบบนี้ตลอดไป
คิดคำนวนให้หัว ว่าถ้าทำได้แบบนี้ทุกปีนะ ชนะวอร์เรน บัฟเฟต แน่ๆ เผลอๆ ชนะปีเตอร์ ลินซ์ด้วยซ้ำ
แต่สุดท้ายความจริงจะสอนให้เรารู้ ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า
เผลอๆมีอวกาศด้วยซ้ำ
และยอดเขาที่เราคิดว่าเราเก่งนั้น ช่างต่ำเตี้ยเรี่ยดินเหลือเกิน
ตลาดหลักทรัพย์เกิดความผันผวน ผลตอบแทนไม่ได้ดีดั่งที่เคย
หลายๆคนทำผลงานได้ดีกว่าเรามาก
และผลงานของเรานั้นไม่ได้ต่างจากการซื้อกองทุนดัชนีสักเท่าไหร่นัก
เพื่อนๆบางคนที่ลงทุนในคริปโตเช่น บิตคอยน์ อีเทอเรียม หรือ เหรียญหมา
กลับได้ผลตอบแทนมากกว่าคุณที่นั่งตาแตกอ่านงบการเงินแทบตาย
ณ จุดนั้นจะทำให้ความมั่นใจของผมสลายกลายเป็นผง ดึงเราลงจากเขาสู่เบื้องล่าง
สู่หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง Valley of Despair
เราจะไม่อยากทำอะไร คิดว่าเราไม่เคยดีพอ
คิดว่าเราคงไม่มีวันเป็นอย่างใครได้ และเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนเก่งอื่นๆมากมาย
แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง จะถึงจุดที่ผมเรียกว่า
“จุดเดือดความช่างแม่ง” หรือแปลแบบฮาร์ดคอร์ว่า “Point of not giving a Fuck”
จุดนี้จะเป็นจุดที่เราไม่สนอะไรแล้ว ไม่สนเรื่องราวไร้สาระที่ทำให้เราหลงทาง
มองข้ามหมอกขาวแห่งความหลงผิด สิ้นหวัง และเลิกเอาตัวเองไปเปรียบกับใครทั้งสิ้น
สิ่งที่ผมมองตอนนี้จะมีเพียงเนินเขาข้างหน้า ผมขอเรียนมันว่า “สันเขาแห่งการรู้แจ้ง”
Slope of Enlightenment
เป็นจุดที่เรารู้ตัว และยอมรับความจริง ว่าเราไม่ได้เก่งกาจอะไร
เราไม่ได้ฉลาดล้ำเลิศ หรือโง่เกินเรียนรู้
แต่เรารู้ว่าเราเก่งขึ้นได้อีก เราจะสามารถพัฒนาตัวเองไปได้ เราจะทำได้ในสักวัน!
ผมเริ่มกลับมาอ่านหนังสือ ศึกษาหาความรู้ทุกช่องทาง
ฟังจากคนที่มีประสบการณ์ ฟังจากคนที่เก่งกาจ
จ้องมองเป้าหมายที่อยู่สูงขึ้นไปอย่างไม่ละสายตา
ผมยอมรับว่าตัวเองยังไม่เก่งพอ
แต่ผมเชื่อ ว่าสักวันเราจะเก่งขึ้นได้
ตอนนี้ผมเชื่อว่าผมกำลังอยู่ในช่วงแรกของเนินชัน ที่จะนำไปสู่การพัฒนาในทุกๆเรื่องของชีวิต
ทั้งการทำงาน การทำธุรกิจ การบริหารเวลา การสร้างครอบครัว และการลงทุน
แม้ยังไม่รู้จะถึงเป้าหมายเมื่อไหร่ แต่อย่างน้อยผมก็รู้ ว่าผมจะเดินไปทางไหน
แล้วสักวันผมจะมาแบ่งปันประสบการณ์ให้รู้ครับในวันที่ผมไปได้ถึงยอดที่ตั้งใจไว้
มาเอาใจช่วยและเดินทางไปด้วยกันนะครับ
ปล
คงจะเป็นการเดินทางที่เหงาเกินไป หากเดินทางลำพัง
หากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆท่านใดอยากแชร์ประสบการณ์ แก้ไขสิ่งที่ผมพูด หรือร่วมแสดงความคิดเห็นไปด้วยกัน
คงจะเป็นเรื่องดีไม่น้อย
และผมคงไม่เหงาที่ได้มีเพื่อนร่วมทางไปด้วยกันนะครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา