12 พ.ค. 2021 เวลา 12:46 • สุขภาพ
****ช็อคโกแลต 10 ความเชื่อ VS ความเป็นจริง****
มีความเชื่อมากมายที่แพร่หลายเกี่ยวกับช็อคโกแลต บทความนี้เราจะมาหาคำตอบกันว่าระหว่างความเชื่อและความเป็นจริงนั้นมีอะไรแตกต่างกันบ้าง
ชื่อภาษาละตินของต้นโกโก้คือ Theobroma cacao แปลว่า "อาหารของเทพเจ้า" และดูเหมือนว่าผลอันแสนอร่อยของต้นโกโก้นั้นเหมาะสำหรับเทพเจ้าจริงๆ ทั้งชาวมายันและชาวแอซเท็กเชื่อว่าเมล็ดโกโก้มีคุณสมบัติที่วิเศษและศักดิ์สิทธิ์ เหมาะสำหรับการใช้ในพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งการเกิด การแต่งงาน และการตาย เมื่อถึงศตวรรษที่ 17 ช็อกโกแลตกลายเป็นเครื่องดื่มที่ทันสมัยสำหรับชนชั้นสูงในยุโรปซึ่งเชื่อว่ามีคุณสมบัติทางโภชนาการและเป็นยาบำรุง ว่ากันว่าเหล่าคาสโนว่าหลงใหลในเสน่ห์ของโกโก้เป็นพิเศษ
ในอดีตชอกโกแลตมักได้รับบทผู้ร้ายในการเป็นสาเหตุของ สิว น้ำหนักส่วนเกิน และคอเลสเตอรอลสูง แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาชอกโกแลตกลับมาเป็นที่รักของนักโภชนาการเนื่องจากประโยชน์ต่อสุขภาพที่ค้นพบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจล้มเหลว และการศึกษาในเดนมาร์กที่ตีพิมพ์ในวารสาร BMJ Heart แสดงให้เห็นว่าการรับประทานช็อกโกแลตในปริมาณเล็กน้อยทุกสัปดาห์หรือสองครั้งช่วยลดความเสี่ยงของภาวะหัวใจห้องบนเต้นผิดปกติ
อย่างไรก็ตามยังมีความเชื่ออีกหลากหลายเกี่ยวกับชอกโกแลต แล้วอะไรบ้างที่จริงหรือไม่จริง และความเชื่อเหล่านั้นมีหลักฐานสนับสนุนแค่ไหน เราลองมาหาคำตอบกัน
1. ช็อคโกแลตเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี
หากเราเลิกทานช็อคโกแลตเพื่อที่จะลดคอเลสเตอรอล LDL (คอเลสเตอรอลไม่ดี) เราอาจเสียสละบางอย่างไปโดยเปล่าประโยชน์ สาเหตุก็เพราะแม้ว่าช็อกโกแลตจะมีเนยโกโก้ซึ่งมีไขมันอิ่มตัวสูง แต่ไขมันส่วนใหญ่จะมาจากกรดสเตียริกซึ่งไม่ทำหน้าที่เหมือนไขมันอิ่มตัว จากการศึกษาพบว่าช็อกโกแลตไม่ได้เพิ่มคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีและในความเป็นจริงสำหรับบางคนช็อกโกแลตสามารถลดระดับคอเลสเตอรอลได้อีกด้วย
2. ช็อกโกแลตมีคาเฟอีนสูง
ในความเป็นจริงข้อเท็จจริงของเรื่องนี้กลับตรงกันข้ามกับความเชื่อที่เป็นที่นิยม ช็อคโกแลตไม่ได้เต็มไปด้วยสารประกอบคาเฟอีน ช็อคโกแลตแท่ง Hershey มีคาเฟอีน 9 มิลลิกรัมและช็อคโกแลตแท่ง Hershey’s Special Dark bar มีคาเฟอีน 20 มิลลิกรัม เทียบกับคาเฟอีน 330 มิลลิกรัมที่พบในกาแฟแก้วขนาดกลางของ Starbuck
3. น้ำตาลในช็อกโกแลตทำให้สมาธิสั้น
ผู้ปกครองหลายๆคนเชื่อว่าน้ำตาลที่มากเกินไปในชอคโกแลตทำให้เด็กๆสมาธิสั้น ไม่อยู่กับที่และวิ่งวุ่นไปทั่วทั้งห้อง แต่งานศึกษาจำนวนมากไม่พบความเชื่อมโยงระหว่างน้ำตาลในชอกโกแลตกับพฤติกรรมสมาธิสั้น สาเหตุจริงๆจึงมีอยู่สองทฤษฎี คือ 1) เกิดจากสภาพแวดล้อมที่สร้างความตื่นเต้นให้กับเด็ก (เช่น งานปาร์ตี้วันเกิด วันหยุด ฯลฯ) และ 2) ความเชื่อมโยงที่เกิดจากความคาดหวังว่าเด็กจะมีพฤติกรรมไฮเปอร์ตามน้ำตาลในชอกโกแลตที่ทานเข้าไป อย่างไรก็ตามเด็กบางคนมีความไวต่อคาเฟอีนสูง หากรับประทานชอกโกแลตในปริมาณมากอาจส่งผลต่ออารมณ์และการนอนหลับ
1
4. คนที่เป็นเบาหวานต้องเลิกทานช็อกโกแลต
ผู้ป่วยเบาหวานไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการทานช็อกโกแลต ในความเป็นจริงหลายคนมักจะประหลาดใจเมื่อรู้ว่าช็อกโกแลตมีดัชนีน้ำตาลต่ำ การศึกษาบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าดาร์กช็อกโกแลตอาจช่วยเพิ่มความไวของอินซูลินในบางคนที่เป็นโรคเบาหวาน
5. ช็อกโกแลตทำให้ฟันผุ
การศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการของคราบจุลินทรีย์จากช็อกโกแลตพบว่าช็อกโกแลตมีผลต่อคราบจุลินทรีย์น้อยกว่าน้ำตาลทรายบริสุทธิ์ แน่นอนว่าพวกเราส่วนใหญ่ไม่ได้ทานอาหารที่มีน้ำตาลโดยตรง แต่มีการศึกษาอีกชิ้นหนึ่งที่สนับสนุนเมื่อพบว่าไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างการกินช็อกโกแลตกับการเกิดฟันผุ ในความเป็นจริงการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโอซาก้าในประเทศญี่ปุ่นพบว่าบางส่วนของเมล็ดโกโก้ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของช็อกโกแลตขัดขวางการทำงานของแบคทีเรียในช่องปากซึ่งทำให้เกิดฟันผุ การต่อสู้กับฟันผุไม่เคยมีรสชาติดีเท่านี้มาก่อน
6. ช็อคโกแลตทำให้อ้วน
เห็นได้ชัดว่าการทานซันเดย์ฟัดจ์จะไม่ช่วยลดรอบเอวของเรา แต่การศึกษาขนาดใหญ่ที่ได้รับทุนจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติพบว่าการบริโภคช็อคโกแลตปริมาณเล็กน้อยในแต่ละวัน ห้าวันต่อสัปดาห์นั้นเชื่อมโยงกับดัชนีมวลกาย (BMI) ที่ต่ำกว่าแม้ว่าบุคคลนั้นจะทานแคลอรี่โดยรวมมากขึ้นและไม่ได้ออกกำลังกายมากกว่าผู้เข้าร่วมการทดลองคนอื่นๆ
7. การกินน้ำตาลและช็อกโกแลตสามารถเพิ่มความเครียดได้
จากการศึกษาพบว่าการรับประทานดาร์กช็อกโกแลตประมาณออนซ์ครึ่งต่อวันเป็นเวลา 2 สัปดาห์จะช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียดในร่างกายของผู้ที่รู้สึกเครียดได้อย่างมาก
1
8. ช็อกโกแลตขาดคุณค่าทางโภชนาการ
หากเคยเห็นการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับประโยชน์ต่อสุขภาพของช็อกโกแลตมากมาย เราคงรู้ว่าความเชื่อนี้ไม่เป็นความจริง แต่ช็อคโกแลตมีคุณค่าทางโภชนาการแค่ไหน? ดาร์กช็อกโกแลตบาร์ทั่วไปมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระมากเทียบเท่ากับ ชาเขียว 2 ถ้วยครึ่ง ไวน์แดง 1 แก้ว หรือบลูเบอร์รี่ 2/3 ถ้วย นอกจากนี้ช็อกโกแลตยังมีแร่ธาตุและเส้นใยอาหาร
9. ช็อกโกแลตต้องมีโกโก้อย่างน้อย 70% จึงจะดีต่อคุณ
คำแนะนำทั่วไปคือการบริโภคดาร์กช็อกโกแลตคือต้องมีโกโก้เป็นส่วนประกอบอย่างน้อย 70% เพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยทั่วไปยิ่งช็อคโกแลตเข้มขึ้นปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระก็จะยิ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ตามในการศึกษา 18 สัปดาห์ ผู้เข้าร่วมที่รับประทานช็อกโกแลตที่มีโกโก้เป็นส่วนประกอบในปริมาณ 50% พบว่าความดันโลหิตซิสโตลิกและไดแอสโตลิกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เช่นเดียวกันการศึกษาอื่นแสดงให้เห็นว่าการไหลเวียนของเลือดและความดันโลหิตดีขึ้นในระยะสั้นหลังจากบริโภคดาร์กช็อกโกแลตที่มีโกโก้เข้มข้น 60%
1
10. ช็อกโกแลตทำให้เกิดสิว
แม้ว่าวัยรุ่นทุกคนจะบอกว่าช็อกโกแลตทำให้เกิดสิว แต่การศึกษาย้อนหลังไปถึงทศวรรษ 1960 ไม่สามารถแสดงความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคช็อกโกแลตกับสิวได้ การทบทวนอย่างละเอียดใน Journal of American Medical Association สรุปว่า “อาหารไม่มีบทบาทในการรักษาสิวในผู้ป่วยส่วนใหญ่ ... แม้แต่ช็อกโกแลตจำนวนมากก็ไม่ทำให้สิวรุนแรงขึ้นในทางการแพทย์”
****หมายเหตุ****
1
คติสอนใจของเรื่องนี้คือ เราควรทานช็อคโกแลต แต่ต้องทานแค่ในปริมาณที่พอเหมาะ สาเหตุก็เพราะว่าช็อกโกแลตนมโดยเฉลี่ย 85 กรัม ให้พลังงาน 420 แคลอรี่ และไขมัน 26 กรัม เกือบเทียบได้กับการทาน Big Mac หนึ่งชิ้นที่ให้พลังงาน 540 แคลอรี่ และไขมัน 25 กรัม
โฆษณา