12 พ.ค. 2021 เวลา 16:36 • ปรัชญา
ชวนอ่านแนวคิดเกี่ยวกับจิตวิญญาณ กฎแห่งกรรม เจตจำนงเสรี และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์ 😇
เชื่อว่าเมื่ออ่านโพสต์นี้จบ คุณจะทึ่งกับแนวคิดที่แปลกและแหวกแนวนี้ และต้องหันมาทำความเข้าใจกับชีวิตเสียใหม่ 👀
แนวคิดเหล่านี้ผมกร่อนมาจากหนังสือ ความหมายของการมีชีวิต โดยคุณหมอไบรอัน (Brian L. Weiss) ผู้เชี่ยวชาญด้านการบำบัดจิตคนไข้ ผ่านการรำลึกอดีตชาติ
ห่างหายกันไปนานเลย ทุกคนสบายดีกันไหมครับ?
ก่อนอื่นต้องขอเรียนทุกคนมา ณ ที่นี้ก่อนว่า ผมเพิ่งจะอ่านหนังสือเล่มนี้มาได้เพียง 4 บทเท่านั้น
สิ่งใดที่ผมได้วิเคราะห์หรือวิจารย์ลงไป แล้วดันไปขัดแย้งกับเนื้อหาส่วนอื่น ๆ ภายในเล่ม กระผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
เอาล่ะ ว่าแล้วก็ตามผมมาได้เลย 🙏
● ว่าด้วยเรื่องของจิตวิญญาณ (Spirit) 😇
1
เรื่องนี้ คงเป็นสิ่งที่ชาวพุทธอย่างพวกเราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และคุณหมอไบรอันก็เชื่อในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
ในหลาย ๆ เคสที่คุณหมอได้ไปช่วยปลดทุกข์ให้นั้น คุณหมอมักจะทำสิ่งที่เขาเรียกว่า การทำจิตบำบำด้วยวิธีย้อนอดีตชาติ (Regression Therapy)
อย่างในหนังสือ ก็มีการยกตัวอย่างกรณีศึกษาการรักษาคนไข้ด้วยวิธีนี้หลายกรณี ซึ่งจะมีขั้นตอนการบำบัดดังนี้
ขั้นแรก จะให้คนไข้ย้อนความทรงจำไปยังช่วงวัยเด็ก อันเป็นช่วงเวลาที่มักจะเกิดความกระทบกระเทือนจิตใจสูง
เมื่อจิตของคนไข้ย้อนความไปถึงยังช่วงเวลานั้นแล้ว คุณหมอไบรอันก็จะพยายามกระตุ้นให้คนไข้สำรวจบรรยากาศรอบ ๆ ทั้งความรู้สึก ณ ขณะนั้น และให้คนไข้บรรยายออกมา
จากนั้น หมอไบรอันจะนำสิ่งที่ได้ยิน มาวิเคราะห์เพื่อค้นหาสาเหตุของปมปัญหา และพาคนไข้จมลึกสู่อดีตที่อยู่ตรงหน้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้คนไข้เผชิญกับอดีตอย่างเต็มอิ่ม
แต่หากอดีตนั้นเป็นเรื่องแย่ ๆ คุณหมอก็จะบอกให้หลบเลี่ยง ไม่ต้องใส่ใจกับเรื่องร้าย ๆ
มีอยู่เคสหนึ่งที่คุณหมอทำการบำบัดรักษา
มันเป็นการถ่ายทำสกู๊ปของโทรทัศน์ช่องดัง โดยทางช่องได้ให้คุณหมอแสดงวิธีการบำบัดผ่านหน้าจอ มีคนไข้เป็นนักข่าวคนหนึ่งในโทรทัศน์ช่องนั้น
คุณหมอก็ทำการบำบัดรักษาด้วยวิธีที่อธิบายไว้ตอนต้น
เขาพาคนไข้ย้อนกลับไปยังอดีตที่ติดตรึงใจนักข่าวคนนี้มากที่สุด ปรากฎว่าเธอย้อนไปถึงอดีตที่เคยจูงมือกับคุณพ่อร่างโตท่ามกลางพายุหิมะ
เหตุที่นักข่าวมายังเหตุการณ์นี้ นั่นเป็นเพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เธอรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ตนเคยได้รับจากคุณพ่อที่ล่วงลับไปแล้ว อันเป็นความทรงจำส่วนลึกที่พิเศษที่สุดของเธอ
พอคุณหมอทราบดังนั้น เขาก็ปล่อยให้เธอเติมเต็มความรู้สึก ณ ช่วงเวลานั้นให้มากที่สุด ก่อนที่จะไปกันต่อ
หลังจากที่ให้นักข่าวอิ่มเอมกับคุณพ่ออย่างเต็มที่ คุณหมอก็พานักข่าวคนนี้ ย้อนกลับไปยังอดีตอีกครั้ง โดยกลับไปยังช่วงเวลาที่ไกลกว่านั้น ไปยังช่วงเวลาที่มนุษย์ยังจำความไม่ได้ นั่นคือช่วงแรกเกิด
พอนักข่าวเดินทางด้วยจิตมาถึง เธอมองกิจกรรมเบื้องหน้าทุกอย่าง วันที่คุณแม่ของเธอกำลังคลอดอยู่ที่สถานพยาบาล
คุณหมออธิบายว่าวิญญาณของมนุษย์จะจองร่างของตนเองไว้ตั้งแต่ตอนอยู่ในท้องแม่ ทำให้วิญญาณอื่นเข้ามาไม่ได้ และวิญญาณของเราก็จะตามติดอยู่รอบ ๆ ผู้ให้กำเนิด
นั้นทำให้นักข่าวคนนี้มองเห็นสถานการณ์วันที่ตนเกิดจากมุมสูง และวิญญาณจะเข้าร่างทารกในช่วงที่กำลังจะคลอดออกมา
ถึงช่วงที่สำคัญแล้วครับ หลังจากที่คุณหมอไบรอันให้นักข่าวได้ซึมซับบรรยากาศช่วงคลอดอย่างเต็มที่แล้ว ในขั้นตอนไป คุณหมอจะให้คนไข้ย้อนอดีตไปลึกกว่าเดิมอีก ย้อนกลับไปช่วงก่อนที่ตนจะเกิด นั่นก็คือ “อดีตชาติ”
หากคุณเข้ารับการบำบัดจากคุณหมอไบรอัน คุณจะรับรู้ได้ทุกอย่าง ชาติที่แล้วคุณเกิดเป็นใคร มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร ฐานะรวยมั้ย หรือยากจนข้นแค้น ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างเป็นอย่างไร มีบุคคลใดที่รู้จักของชาตินี้บ้างไหม
คุณหมอจะพาคนไข้ดำลึกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อบำบัด หาสาเหตุของปมปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อที่เมื่อรู้สาเหตุแล้ว ก็จะสามารถรักษาอาการนั้นได้ที่โคนต้น
ซึ่งวิธีที่คุณหมอใช้รักษาเมื่อควานหาจนเจอความทรงจำที่เป็นต้นเหตุแล้วก็คือ ให้คนไข้เฝ้าสังเกต “ความรัก” ที่อยู่รอบ ๆ ตัวของตัวเอง ด้วยหมอเชื่อว่า ความรัก จะช่วยแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง
ทั้งหมดแล้ว วิญวิญญาณของพวกเราทุกคน ล้วนเวียนวนอยู่ในวัฏสงสารนี้มาอย่างยาวนาน และปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้น เราสามารถแก้ไขได้ด้วยความรัก หากเราสังเกตเห็นความรัก และเติมเต็มความรักเข้าไปยังจิตใจให้ได้มาก ๆ คนเราก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข
● นิยามใหม่ของ “กรรม” (Karma) 😇
หากคุณเป็นชาวพุทธ คุณคงจะเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมเป็นอย่างดีกันอยู่แล้วใช่ไหมครับ แต่หากใครลืม หรือไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ ไม่เป็นไรครับ เพราะเดี๋ยวผมจะมา Recap ให้ฟังกัน
ในศาสนาพุทธ กรรมคือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำ ทั้งจากที่จำได้ (ชาตินี้) และจำไม่ได้ (ชาติก่อน ๆ) ถ้าเราทำกรรมดีไว้ ผลดีย่อมเกิดขึ้นในชีวิต (เราเรียกสิ่งนี้ว่า “บุญ”) แต่ถ้าเราทำกรรมไม่ดีมา ผลร้ายย่อมมาหาเราเป็นที่ประจักษ์ (เราเรียกสิ่งนี้ว่า “บาป”)
ส่วนกรรมในความหมายของคุณหมอไบรอัน มีความแตกต่างจากสิ่งที่พวกเราเข้าใจ กรรมคือการเรียนรู้… อืมม์ ตรงนี้ค่อนข้างจะละเอียดอ่อนมากเลยครับ เดี๋ยวผมขอดึงคำในหนังสือมาถ่ายทอดให้อ่านกันแทน เพื่อความถูกต้องที่สุด
“กรรม คือโอกาสที่ให้เราเรียนรู้ ให้เราฝึกฝนความรักและการรู้จักให้อภัย กรรมคือโอกาสให้เราได้ชดเชยแก้ไขสิ่งที่ทำพลาด เพื่อล้างชีวิตให้สะอาด เพื่อทำความดีทดแทนให้แก่ผู้ที่เราเคยทำผิดต่อเขา หรือทำร้ายเขามาก่อนในอดีตที่แล้วมา
สำคัญมากจริง ๆ ที่เราต้องจำไวว้ว่า กรรมคือ “การเรียนรู้” ไม่ใช “การลงโทษ” แม้แต่น้อย ที่มนุษย์เลือกเกิดมาสลับเชื้อชาติ ศาสนา สลับเพศ และสถานะเงินทอง ก็เพราะจะต้องเรียนรู้ให้ทั่วทุกด้าน เราต้องประสบกับทุกเรื่องราวให้ถ้วนทั่ว
“เราเกิดมาบนโลกเพื่อจะเรียนรู้ไม่ใช่ทนทรมาน” ”
● เจตจำนงเสรี (Free Will) 😇
โดยทั่วไปแล้ว เจตจำนงเสรี ที่ผมได้ยินอยู่บ่อย ๆ จะมีข้อถกกันอยู่ แบ่งได้ใหญ่ ๆ เป็น 2 ฝ่าย คือ
1.มนุษย์เราเกิดมามี Free Will มีเจตจำจงเสรีชัดเจน ทุกเส้นทางชีวิตล้วนเกิดขึ้นตามความคิด การกระทำ และความประสงค์ของเราทั้งสิ้น และ
2.มนุษย์เราล้วนถูกกำหนดชะตาชีวิตไว้ตั้งแต่เกิดมาแล้ว ทุก ๆ การคิดและการกระทำ ล้วนเป็นไปตามแบบแผนที่มองไม่เห็น เป็นชะตากรรม เป็นพระประสงค์ของผู้เป็นเจ้า
แต่ในคำอธิบายของคุณหมอไบรอัน คุณหมอไม่ได้ฝักใฝ่ทีมใดเลย เขาเลือกที่จะอธิบายโดยควบรวมทั้ง 2 ข้อเข้าด้วยกัน ซึ่งอธิบายออกมาได้ดังนี้
มนุษย์มีทั้ง Destiny และ Free Will โดยทั้ง 2 ต่างเสริมแรงซึ่งกันและกัน
Destiny ถูกกำหนดด้วย “ตัวเราเอง” ทุกเส้นทางในชีวิตล้วนเป็นสิ่งที่ตัวเราวาดขึ้นมาก่อนที่จะเข้าสิงร่าง ขณะที่เมื่อเราเกิดมา เราจำตัวเราก่อนหน้าไม่ได้แล้ว แม้เราจะประสบกับเหตุการณ์ที่เราได้กำหนดไว้ด้วยตัวเอง แต่ “ตัวเรา ณ ตอนนี้” มี Free Will อย่างเต็มที่ที่จะ Think&Act กับเหตุการณ์นั้น ๆ
หลังจากผมอ่านมาได้ถึงตรงนี้ ผมก็คิดว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เราคงเลิกโทษฟ้าดินหรือเทพองค์ต่าง ๆ ที่บันดาลโชคชะตาแย่ ๆ ได้แล้ว เพราะก็คือตัวเราเองไม่ใช่เหรอ ที่เป็นคนกำหนด Destiny ของตัวเอง
แต่ถ้าอย่างนั้น ทำไมเราถึงจะอยากให้ตัวเองประสบกับโชคร้าย หรือสถานการณ์แย่ ๆ ให้ตนเองต้องทนทุกข์ด้วยล่ะ? ตัวเราควรจะเลือกทางที่ดีที่สุดให้กับตัวเองไม่ใช่เหรอ
ตรงส่วนนี้ คุณหมอไบรอันอธิบายว่า “เป้าหมายของการเกิดคือการได้เรียนรู้” การที่เราเกิดในสถานภาพ หรือเหตุการณ์ที่ย่ำแย่ ย่อมทำให้ตัวเราได้เรียนรู้อย่างรวดเร็ว
เดี๋ยวผมขอถ่ายทอดตัวหนังสือให้อ่านกันอีกรอบนะครับ เพื่อความถูกต้องที่สุด
“มนุษย์มาเกิดในรูปสังขารก็เพื่อจะได้เรียนรู้และเติบโต เรียนคุณสมบัติและเนื้อนิสัยที่ดีงามอย่างความรัก ความมีใจอหิงสา ความเปี่ยมเมตตา การรู้จักให้ทาน ความศรัทธา ความหวัง การรู้จักให้อภัย การเข้าใจผู้อื่น เข้าใจชีวิต และการมีสติรู้จักตัวเอง
เราต้องเรียนรู้จักละโทษสมบัติและเนื้อนิสัยด้านลบไปเสีย ไม่ว่าจะเป็นความกลัว ความโกรธ ความเกลียด จิตใจที่รุงแรงก้าวร้าว ความโลภอยากได้อยากเป็น ความหยิ่งทะนงตน อารมณ์แห่งดำฤษณา ความเห็นแก่ตัว และหัวใจที่อคติต่อคนอื่น ผ่านความสัมพันธ์เท่านั้นเราถึงจะเรียนรู้บทเรียนเหล่านี้ได้
ยิ่งมีอุปสรรคมาก เรายิ่่งเรียนรู้ได้มากกว่าการผ่านพบอุปสรรคแค่ไม่กี่อย่างหรือไม่เจอเลย ชีวิตที่ต้องเจอกับความรักความสัมพันธ์ที่ทุกข์ยาก มีแต่อุปสรรคและความสูญเสียนั้น แท้จริงแล้วกลับให้โอกาสเราได้เติบโตทางดวงวิญญาณ
1
คุณอาจจะเป็นคนเลือกชีวิตที่ลำบากยากแค้นกว่าคนอื่นก็เพราะคุณอยากเร่งพัฒนาจิตวิญญาณเร็วกว่าเดิมนั่นเอง”
หลาย ๆ อย่างในหนังสือเล่มนี้ หรืออย่างน้อยก็ 4 บทแรกของหนังสือเล่มนี้ มักเป็นคำอธิบายของเรื่องที่พวกเราชาวพุทธรู้จักและเข้าใจกันดีอยู่แล้ว แต่คุณหมออธิบายด้วยนิยามที่คลาดเคลื่อนจากความเข้าใจ ซึ่งก็น่าสนใจว่าตรงตามความเป็นจริงมากน้อยขนาดไหน
อาจจะเป็นจริงก็ได้ หรือจริงบ้างบางส่วน… หรือไม่แน่ว่าไม่มีอะไรเป็นความจริงเลย
สมมติว่าเรื่องที่อ่านมาเป็นความจริง ข้อสงสัย 2 อย่างที่หนังสือไม่ได้ตอบ และเป็นข้อสงสัยตลอดการอ่านของผมเลย นั่นคือ
หากกรรมไม่ใช่การมีความสุขหรือทนทุกข์กับการกระทำก่อนหน้าของเรา แต่คือการเรียนรู้ แล้ววิญญาณอย่างเรา ๆ ต้องเรียนรู้ไปทำไม เรียนรู้ความยากลำบากของการเกิดมาเป็นมนุษย์ ที่เรา ๆ ท่าน ๆ ก็รู้ว่ามีแต่ความทุกข์ไปทำไม
และเหนือไปกว่านั้น คำถามอีกข้อก็คือ แล้วไอ้เจ้า Spirit System หรือระบบจิตวิญญาณ มันเริ่มมีขึ้นมาได้ยังไง
นอกจากนี้ เหล่า Case Study ที่เป็นคนไข้ของคุณหมอไบรอัน มีบ้างไหมที่มีคนที่ขัดกับแนวคิดนี้ แต่คุณหมอไม่ได้นำมาเล่า หรือเป็นไปได้ไหมว่าทุกอดีตชาติที่คนไข้เห็น แล้วคุณหมอนำมาตีความว่าเป็นเรื่องของชาติก่อน เรื่องของเสียงเบื้องบน (Message from the Master) แท้จริงแล้วเป็นกระบวนการของสมองที่จับเอาข้อมูลที่อยู่ในหัวมาแปลความมั่ว ๆ เท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับใด ๆ ทั้งสิ้น
หรืออย่างหลาย ๆ เคส ที่คุณหมอยกตัวอย่างแล้วผมรู้สึกว่ามันดูมหัศจรรย์เหลือเกิน อย่างเรื่องเวลาเราตาย จะมีดวงวิญญาณคนรู้จักมารับ หรือคนที่ย้อนระลึกชาติ ถ้าจะกลับมายังปัจจุบัน หรือไปยังชาติอดีตต่อ ๆ ไป จำเป็นต้องตอบกลุ่มวิญญาณที่อยู่รอบ ๆ เสียก่อน ว่าที่ตนทบทวนชีวิตเหล่านี้ บทเรียนชีวิตของเขาในชาตินั้น ๆ คืออะไร
คุณรู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้มันดูจะ Fantasy ไปหน่อยไหมครับ?
ผมไม่ได้ต้องการโจมตีคุณหมอ หรือโจมตีหนังสือเล่มนี้นะครับ แต่ผมเป็นคนชอบคิดตามและวิเคราะห์เวลาได้รับข้อมูลมา ผมรู้สึกว่าคุณหมอเขาน่าเชื่อถือ ด้วยเขามี Case Study มากมาย แต่ผมก็แอบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เล่ามามีความจริงแท้แค่ไหน และการตีความของคุณหมอถูกต้องเพียงใด
และนี่ก็คือทั้งหมดที่ผมนำมาฝากกันครับ หวังว่าคุณจะเพลิดเพลินกับบทความในโพสต์นี้ หากคุณอ่านแล้วรู้สึกสนใจ ลองหาซื้ออ่านตามร้านหนังสือชั้นนำ หรือสะดวกทางออนไลน์ก็ได้เช่นกัน เดี๋ยวผมทิ้งลิงก์ไว้ให้
มีความคิดเห็นอย่างไร คอมเมนต์ให้อ่านกันได้นะครับ ถ้าผมอ่านต่อแล้วมีอะไรที่น่าสนใจอีก เดี๋ยวจะมาเล่าให้อ่านกันอีก 😜
แล้วก็ ต่อไปนี้ผมจะลงบทความทุกวันที่เลข 3 หารลงตัว ฝากติดตามกันนะครับ 😁
1
โฆษณา