13 พ.ค. 2021 เวลา 21:21 • ประวัติศาสตร์
ประกาศจับ "มหาโต"
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังษี วัดระฆังโฆสิตาราม เป็นอริยสงฆ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้แตกฉานยิ่งในพระปริยัติธรรม เป็นพหูสูตรอบรู้ทั้งทางโลกทางธรรม มีความเจนจบทั้งพุทธศาสตร์และไสยศาสตร์ สันนิษฐานว่าท่านเป็นบุคคลที่สันโดษมักน้อยจริงๆ ไม่ยินดีในเกียรติยศชื่อเสียง การศึกษาของท่านเพื่อต้องการความรู้เท่านั้น จึงไม่นิยมสอบเปรียญธรรมนัก
ท่านเกิดในสมัยรัชกาลที่1 เป็นนาคหลวงของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เป็นโอรสนอกเศวตฉัตรในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหน้านภาลัย กับ นางงุด สาวงามจากเมืองกำแพงเพชร บุตรีของนายผลและนางลา
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นนักเทศน์ที่หาตัวจับยากในยุคต้นรัตนโกสินทร์ ท่านได้แสดงความเป็นอัจฉริยะตั้งแต่เยาว์ ทั้งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแผ่นดิน และประชาชนคนเดินดินทั่วไป คุณวิเศษสำคัญประการหนึ่งของท่าน คือ สามารถเทศน์ให้หัวเราะก็ได้ ให้ร้องไห้ก็ได้ ให้คนเทกระเป๋าทำบุญก็ได้ นอกจากนี้ ท่านยังเป็นนักโหราศาสตร์ ทำนายดวงชะตาได้แม่นยำ และยังเป็นนักใบ้หวยที่โด่งดังด้วย
นายพรหม ขะมาลาได้บันทึกไว้ว่า “การเรียนของเจ้าพระคุณสมเด็จฯนั้นว่า ท่านเรียนจนไม่มีอาจารย์ให้ เพราะเมื่อไปเรียนกับท่านผู้ใดก็เท่ากับไปแปลหนังสือให้ฟังทั้งนั้น เมื่อไม่มีผู้ใดสอนให้แล้ว ในที่สุดจึงไปเรียนกับพระพุทธรูปในโบสถ์ เห็นว่าพอสมควรแล้วก็หยุด จึงกราบสามครั้ง แล้วก็จัดแจงเก็บหนังสือห่อเทินศีรษะเดินไปจนถึงที่อยู่ของตน ประพฤติดั่งนี้เสมอมามิได้ขาด
กางกากะเยียออกแล้วเอาหนังสือวางบนนั้น กราบสามครั้ง แล้วเปิดหนังสือออกแปล เมื่อแปลไป ครั้นถึงเวลาเปิดสนามหลวง ท่านก็เข้าบัญชีแปลทุกปี เพราะสมัยนั้นหาพระและเณรเข้าแปลในสนามหลวงได้ยาก ในวัดหนึ่งๆจะมีสักสามองค์หรือสี่องค์ก็ทั้งยาก ฉะนั้นเจ้าพระคุณสมเด็จฯท่านจึงเข้าแปลทุกปี เมื่อท่านแปลนั้น พวกกรรมการไม่มีใครทักเลยแม้แต่รูปเดียว คงจะเนื่องด้วยเหตุสองประการ คือ ประการที่ 1 จะเห็นว่าท่านเป็นพระหลวง และประการที่ 2 จะเห็นว่าท่านมีความรู้บริบูรณ์เต็มที่แล้ว
เมื่อท่านแปลพอจวนจะลงประโยคแล้ว ท่านก็ชิงกราบลาไปเสียทุกที จนบางทีถึงกับกรรมการต่อว่าๆ... แน่ พิลึกจริงไม่เห็นมีใครว่าอะไรก็ลาไปเสียเฉยๆนั่นเอง และไม่ปรากฏว่าท่านเป็นเปรียญ(ในสมัยนั้น) เพราะกล่าวกันว่าท่านไม่ยินดียินร้ายในลาภยศเลย” คนทั่วไปจึงมักเรียกท่านว่า “มหาโต” เพราะเลื่อมใสในความเปรื่องปราดของท่าน แต่ขณะเดียวกันก็มีผู้เรียกว่า “ขรัวโต” เพราะท่านมักชอบทำอะไรแปลกๆนั่นเอง สมเด็จโตหลีกเลี่ยงการสอบเปรียญและรับสมณศักดิ์มาหลายรัชสมัย
จนมาถึงปีพุทธศักราช 2394 เมื่อเจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้ประกาศหาพระมหาโต มีพระบรมราชโองการให้เจ้าเมืองฝ่ายเหนือ ฝ่ายใต้ ฝ่ายตะวันออก ฝ่ายตะวันตก ทั่วราชอาณาจักรจับพระมหาโต ส่งมายังเมืองหลวงให้ได้ พร้อมทั้งให้เจ้าคณะเหนือ กลาง ใต้ ตก ออก ค้นหามหาโต พระที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายมหาโตถูกจับส่งเข้าเมืองหลวง จนกระทั่งข่าวจับพระมหาโต ดังถึงหูชาวบ้านชาวป่าต่างรู้ว่าพระเจ้าแผ่นดินสั่งให้จับมหาโต
มหาโตกบดานอยู่ในดงพญาไฟนานถึง 15 ปี ถึงกับอุทานขึ้นมาว่า “กูหนีมา 25 ปี ทำไมเพิ่งมาประกาศจับ” ถามไปถามมาจึงรู้ว่าเปลี่ยนแผ่นดินแล้ว มหาโตก็ไปโผล่ที่บ้านไผ่ เมืองขอนแก่น ให้ตำรวจหลวงนำท่านเข้าบางกอก และ ได้เข้าเฝ้ารัชกาลที่ 4 ณ พระที่นั่งอัมรินทร์ฯ ท่ามกลางขุนนาง ข้าราชการ ครั้นรัชกาลที่ 4 เห็นมหาโตมีพระราชดำรัสว่า “เป็นสมัยของฉันปกครองแผ่นดินแล้ว ท่านต้องช่วยฉันพยุงพระบวรพุทธศาสนาด้วยกัน”
คราวหนึ่งโปรดเกล้าฯให้ท่านแปลพระปริยัติธรรมถวายในที่รโหฐานแห่งหนึ่ง ท่านแปลถวายได้ตามพระราชประสงค์ จึงมีพระราชดำริว่า ความรู้ของท่านนั้นถึงชั้นเปรียญเอก จะโปรดเกล้าฯพระราชทานพัดยศ เปรียญ 9 ประโยค แต่ท่านก็ทูลถวายพระพรอีกเช่นเคย อย่างไรก็ตามพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแต่งตั้งให้พระมหาโต พรหมรังสี ถวายสัญญาบัตรเป็นพระราชาคณะที่พระธรรมกิตติ เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ตาลปัตรแฉกหักทอง ด้ามงา มีฐานานุกรม 3 องค์ มี นิตยภัตเดือนละ 4 ตำลึง 1 บาท ทั้งค่าข้าวสาร เมื่อปี ชวด จุลศักราช 1214 (พ.ศ.2395) จนได้
ครั้งนั้นมีเรื่องเล่ากันว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปุจฉาเชิงสัพยอกเจ้าพระคุณสมเด็จฯว่า “เหตุใดขรัวโตจึงพยายามหนีการแต่งตั้งในรัชกาลที่สาม ต่อทีนี้ทำไมจึงยอมรับ ไม่หนีอีกเล่า?” เจ้าพระคุณสมเด็จฯถวายพระพรว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 มิได้ทรงเป็นเจ้าฟ้า ทรงเป็นแต่เจ้าแผ่นดิน อาตมภาพจึงหนีพ้นเสียได้ ส่วนมหาบพิธพระราชสมภารเจ้า ทรงเป็นทั้งเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ไฉนอาตมภาพจะหนีพ้นได้เล่า” พระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระสรวลในปฏิภาณของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ
1
cr ชมรมประวัติศาสตร์สยาม
อ้างอิง:เจาะเวลาหาอดีต fb fanpage
โฆษณา