14 พ.ค. 2021 เวลา 03:01 • การเมือง
ชาวชิเลสติเนียน(ชิลี+ปาเลสไตน์) ชุมชนชาวปาเลสไตน์ที่ใหญ่ที่สุดนอกโลกอาหรับ
1
ณ ขณะนี้ สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่อิสราเอล-ปาเลสไตน์กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง ซึ่งแน่นอนนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ความขัดแย้งและความรุนแรงระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์หรือความขัดแย้งอื่นๆในพื้นที่นี้มีมาตลอด ซึ่งความรุนแรงนี้คนที่ได้รับผลกระทบที่สุดคงเป็นชาวปาเลสไตน์ที่ต้องเผชิญกับความรุนแรงมากมายนับไม่ถ้วนและกลายเป็นประชาชนชั้นสองหรือผู้ลี้ภัยในที่ที่เคยเป็นบ้านของตัวเอง ด้วยเหตุผลนั้นทำให้ชาวปาเลสไตน์มากมายต้องย้ายถิ่นฐานไปประเทศอื่น โดยนอกจากจอร์แดน อิสราเอล( 2 ประเทศนี้คือชาวปาเลสไตน์ที่ไม่ได้ย้ายถิ่นฐาน แต่ใช้สัญชาติของ 2 ประเทศนี้)และซีเรีย ที่มีพรมแดนติดกับเขตอิสราเอล-ปาเลสไตน์แล้ว ประเทศที่มีจำนวนชาวปาเลสไตน์มากที่สุดกลับเป็นประเทศที่ห่างไกลอย่างชิลีที่มีประชากรชาวปาเลสไตน์มากถึง 450,000-500,000 คน คิดเป็นประมาณ 2.5% ของทั้งประเทศเลยทีเดียว
การย้ายถิ่นฐานของชาวปาเลสไตน์มายังชิลีนั้นมีมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 แล้ว โดยเป็นการอพยพหนีจากการถูกกดขี่โดยจักรวรรดิ์ออตโตมันของชาวคริสต์ปาเลสไตน์ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเมืองเบธเลเฮมและบริเวณรอบๆ หลังจากนั้นก็มีการอพยพตามไปอยู่เรื่อยๆทั้งเพื่อแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจและหนีจากการถูกจักรวรรดิ์อังกฤษเกณฑ์เป็นทหารในช่วงต้นศตวรรษที่20 การอพยพในสมัยนั้นทั้งนานและทรหดเพราะจากท่าเรือที่เมืองจัฟฟาไปเมืองซานติเอโก ต้องแล่นไปฝรั่งเศส ล่องเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ลงที่ท่าเรือที่บราซิลไม่ก็อาร์เจนตินา และยังต้องเดินทางข้ามเทือกเขาแอนดีสแล้วจึงนั่งรถไฟไปยังเมืองซานติอาโก คิดเป็นระยะทาง 13,220 กิโลเมตรเลยทีเดียว
แต่ทำไมชาวปาเลสไตน์ถึงเลือกชิลีทั้งที่มันไกลและเดินทางยากขนาดนี้? คำตอบคือเรื่องการเหยียดเชื้อชาติและนโยบายการรับผู้อพยพ - ในสมัยนั้นทวีปอเมริกาถือเป็นโลกใหม่แห่งโอกาส จึงเป็นเป้าหมายของผู้อพยพแทบทุกคน แต่จากนโยบายการรับผู้อพยพของสหรัฐอเมริกาที่จำกัดโควต้าว่าจะรับแค่คนขาวแองโกล-แซกซอน( Asiatic Barred Zone of 1917, the Emergency Quota Act of 1921, and the Johnson-Reed Quota Act of 1924) ทำให้ไม่สามารถย้ายไปสหรัฐได้ จึงต้องมุ่งลงใต้ไปยังลาตินอเมริกา มีหลายประเทศที่ชาวปาเลสไตน์เลือกไปอยู่เช่น บราซิลและเอลซัลวาดอร์(ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของเอลซัลวาดอร์ก็เชื้อสายปาเลสไตน์) แต่ชิลีนั้นเป็นจุดหมายปลายทางที่เป็นที่นิยมที่สุดเพราะมีนโยบายการรับผู้อพยพที่ไม่ปิดกั้นและมีเศรษฐกิจ-การเมืองที่มั่นคงละเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดในอเมริกาใต้ ทำให้ชิลีโดยเฉพาะในเมืองหลวง ซานติอาโก กลายเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวปาเลสไตน์ที่ใหญ่ที่สุดนอกโลกอาหรับ
ถึงชิลีจะเป็นประเทศที่เปิดกว้างต่อผู้อพยพมากกว่าประเทศอื่นในสมัยนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาทางเชื้อชาติเลย ชาวปาเลสไตน์ถูกเรียกว่าเตอร์โกส( Turcos) จากการที่ในสมัยแรกอพยพมาจากจักรวรรดิ์ออตโตมัน คำนี้นอกจากที่จะไม่ถูกต้องเพราะพวกเขาไม่ได้เป็นชาวเติร์กแล้วยังทำให้มีพวกเกลียดกลัวอิสลามบางคนพาลไปเหยียดคนปาเลสไตน์ด้วยทั้งที่ชาวปาเลสไตน์ที่ย้ายมาเกือบทั้งหมดเป็นคริสเตียน
แต่การเหยียดและความเป็นคนนอกก็ค่อยๆหายไป จากการพยายามผสมกลมกลืนตัวเองให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น ทั้งเปลี่ยนชื่อจากภาษาอาหรับเป็นสเปน เปลี่ยนภาษา การให้เข้าศึกษาเล่าเรียนรวมกับคนท้องถิ่นและการให้อิสระลูกแก่การแต่งงานกับคนชิลี ไม่นานนักสถานะทางเศรษฐกิจของชาวชิเลสติเนียนก็ขยับขึ้นอย่างรวดเร็วจากการความสามารถในการค้าขายและความขยันหมั่นเพียร ทำให้ชาวชิเลสติเนียนหลายคนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นนำร่วมกับชาวยิวและชาวบาสก์
ในช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์นี้เองที่ศูนย์รวมจิตใจของชาวชิเลสติเนียนได้เกิดขึ้น สิ่งนั้นคือสโมสรฟุตบอลเดปอร์ติโวปาเลสติโน ที่ตอนแรกตั้งขึ้นในค.ศ.1916 เพื่อเป็นสโมสรเทนนิสแต่เมื่อมีชาวปาเลสไตน์เข้ามามากขึ้นบวกกับสถานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของชุมชนจึงได้กลายมาเป็นสโมสรฟุตบอลปาเลสติโนที่ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ลีกมาได้ 2 ครั้ง รองแชมป์ 5 ครั้งและแชมป์บอลถ้วยอีก 3 ครั้ง ความสำเร็จล่าสุดคือแชมป์บอลถ้วยเมื่อปี 2018 นอกจากความสำเร็จเหล่านี้แล้วสโมสรปาเลสติโนก็พยายามพลักดันประเด็นเรื่องสิทธิของชาวปาเลสไตน์อยู่เสมอเช่นการมีธงชาติปาเลสไตน์ตั้งอยู่ในสนาม การใส่เสื้อที่มีแผนที่ปาเลสไตน์อยู่ด้านหลังก่อนจะโดนห้ามโดยสมาคมฟุตบอล การที่เพลงเชียร์ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการปลดแอกปาเลสไตน์และการเพิ่มความตระหนักให้คนทั่วลาตินอเมริกาหันมาสนใจชาวปาเลสไตน์มากขึ้น ทำให้สโมสรปาเลสติโนได้กลายเป็นตัวแทนของชาวปาเลสไตน์และอาหรับในละตินอเมริกา
ในวันนักบา(วันที่ชาวปาเลสไตน์ถูกขับไล่และแทนที่โดยรัฐอิสราเอล) ชุมชนชาวยิวได้ยื่นเงินให้สโมสรปาเลสติโน 200,000 ดอลลาร์เพื่อเปลี่ยนชื่อเป็นสโมสรอาหรับ แต่ปาเลสติโนปฎิเสธ
มาห์มูด อับบาส ผู้นำปาเลสไตน์ชูเสื้อทีมปาเลสติโน
ต่อมาในปีค.ศ.1973 ประเทศชิลีก็ได้เข้าสู่ยุคเผด็จการจอมพลออกุสโต ปิโนเชต์ ที่มีสหรัฐหนุนหลังให้ล้มซัลวาดอร์ อัลเยนเด้
มาร์กซิสต์คนแรกที่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ในยุคนี้มีการกวาดล้างคนที่เห็นต่างทุกคนอย่างหนัก ชาวชิเลสติเนียนที่เป็นชนชั้นนำบางคนก็ไปอยู่ข้างเผด็จการ ส่วนที่เหลือที่เป็นสามัญชนก็ต้องยอมทำตามอำนาจเผด็จการไป ทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นในสังคม แต่แล้วเหตุการณ์สังหารหมู่ซาบราและชาติลาที่เลบานอน ในปีค.ศ.1982 ได้รวมชาวชิเลสติเนียนเข้าด้วยกันอีกครั้งเพื่อรวมตัวกันประท้วงและประณามการสังหารหมู่ครั้งนั้นที่เชื่อว่าอิสราเอลอยู่เบื้องหลัง (นับเป็นการเดินขบวนประท้วงที่เกิดขึ้นครั้งแรกในยุคของปิโนเชต์ด้วย) ตั้งแต่นั้นมาชาวชิเลสติเนียนทุกคนไม่ว่าจะฐานะไหนหรือสนับสนุนพรรคการเมืองใดก็มีจุดยืนในการสนับสนุนปาเลสไตน์เหมือนกัน
ปัจจุบันชาวชิเลสติเนียนยังมีการช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์มาตลอดทั้งการสร้างองค์กรนักศึกษาเพื่อช่วยปาเลสไตน์และการรับผู้อพยพชาวปาเลสไตน์เข้ามาในชุมชนเพิ่ม(ผู้ที่อพยพมาในช่วงหลังจะเป็นมุสลิมมากกว่าคริสเตียน) และบทบาทของพวกเขาน่าจะมีส่วนไม่มากก็น้อยที่ทำให้ประเทศลาตินอเมริกาโหวตเข้าข้างปาเลสไตน์มาอย่างสม่ำเสมอ
โฆษณา