15 พ.ค. 2021 เวลา 13:13 • ไลฟ์สไตล์
ฟินแลนด์ เฮลซิงกิ ..ดินแดนแห่งความชื่นชม
3
ไม่ได้ไปไหนมาไหนมากว่าสองปีแล้ว ตั้งแต่ก่อนโควิด บัดนี้ โควิดอาละวาดสามรอบแล้วคงไปไหนไม่ได้อีกนาาาานนนน กักตัวอยู่บ้านไม่มีอะไรทำก็ค้นรูปเก่าๆมาดูแล้วก็พยายามระลึกความทรงจำ ประกอบกับมีบันทึกการเดินทางเล็กๆที่เซฟไว้ตั้งแต่ครั้งกระโน้น เอามาเล่าสู่กันฟังดีกว่า เผื่อท่านผู้อ่านสนใจได้ เที่ยวทิพย์ ไปพร้อมกัน
เคยมีเพื่อนร่วมงานเป็นชาวฟินแลนด์ทั้งหญิงและชาย ก็ประเมินพอสรุปได้ว่า คนชาตินี้ ยิ้มยาก หน้าเฉยตลอดไม่รู้ว่าพอใจหรือไม่พอใจ ..แต่เรื่องผลงานแล้วไม่เป็นสองรองใคร พูดน้อยแต่พูดทีไรได้ประโยชน์ตรงประเด็น ไม่อ้อมค้อมมากความ เราก็แอบชื่นชมคนเมืองนี้มาตั้งแต่ปางนั้น และคิดว่ามีโอกาสเมื่อไหร่ต้องไปดูให้เห็นกับตาว่าเมืองอะไรทำไมผลิตคนดีๆได้เยอะจัง
แล้วโอกาสก็มาถึง ครั้งนั้นคณะของเรา 6 คน ไปเที่ยวเรือสำราญท่องเมดิเตอเรเนียนกัน 12 วัน ไหนๆไปไกลและนานขนาดนั้นแล้ว ต่อไปทะเลบอลติกอีก 5-6 วันจะเป็นไรไป ลางานรอบเดียวยาวๆไปเลย
ตอนเดินทางออกจากประเทศไทย พวกเราต่างคนต่างไปใครชอบสายการบินไหน ยินดีจ่ายค่าตั๋วหรือจะใช้ mileage ก็ตามสบายไปเจอกันตอนจะลงเรือละกัน ดิฉันเลือกบินกับ ฟินแอร์ Finnair เพราะมีความประทับใจส่วนตัวกับประเทศนี้ อีกอย่างดิฉันเป็นคนไม่ชอบนั่งเรือบินไม่ว่าใกล้หรือไกล ด้วยเหตุผลส่วนตัวอีกนั่นแหละ แต่ชอบเที่ยวไกลๆ ดังนั้น เมื่อจำเป็นต้องขึ้นเรือบิน ก็ขอเลือกเจ้าที่ปลอดภัยสูงสุดละกัน ซึ่ง ฟินแอร์ เค้าได้คะแนนสูงสุดด้านนี้ แหะ แหะ ไม่ได้ค่าโฆษณาอะไรนะคะ แต่ชอบจริงๆ.. ภายในตัวเรือบินมีอยู่สามสี คือ ขาว ฟ้า เทา ดูสะอาดตา ทำให้ดูกว้างขวางไม่อึดอัด พนักงานต้อนรับก็มีทั้ง ไทย ฟินน์ ญี่ปุ่น ซึ่งทุกคนอัธยาศัยดีมีน้ำใจ
ท่านที่เป็นนักเดินทางจะทราบดีว่า ถ้าเราบินกับเรือบินสัญชาติไหนเค้าก็จะต้องพาเราไปแวะที่เมืองหลวงของเขาก่อนจะเปลี่ยนเครื่องบิน transfer/transit ไปเมืองไหนๆก็ว่ากันไป
เข้าเรื่องซะที เมื่อบินฟินแอร์ดิฉันก็ได้มาแวะ เฮลซินกิ Helsinki เมืองหลวงของฟินแลนด์ เพื่อจะต่อเรือข้ามทะเลไปประเทศในแถบบอลติก คือ Latvia และ Estonia
เรามีเวลาอยู่ในเฮลซิงกิ 24 ชั่วโมงจริงๆคือมาถึงประมาณบ่ายสองโมง กว่าจะมะงุมมะงาหรากับการหาทางเข้าโรงแรมแบบ self-service ก็เกือบสี่โมงเย็นแม้จะยังไม่มืดแต่เพราะอากาศหนาวมาก ประมาณ 6 องศาและถ้ากลางคืนอาจลงไปอีกถึง - 1 องศา ทำให้พวกเราต้องงัดเอาเครื่องกันหนาวที่หอบหิ้วมาจากกรุงเทพมาใช้กันอย่างเต็มที่  หัวหน้าทัวร์กิติมศักดิ์ของเราเช็คอุณหภูมิแล้วบอกว่า เดี๋ยว Estonia กับ Latvia ก็หนาวแบบนี้แหละเตรียมตัวไว้ได้เลย...นึ่คือ อุณหภูมิของเดือนพฤษภาคมนะคะ ถ้า ธันวาจะเป็นยังไงไม่กล้านึก
คืนนี้เราจะพักค้างที่เฮลซิงกิ 1 คืน เมืองเฮลซิงกิเล็กนิดเดียวเดินแป็บเดียวก็ทั่ว โรงแรมที่จองไว้ล่วงหน้านานแล้วชื่อ Omena แปลว่า Apple เป็น self-service hotel คือไม่มี front office  ไม่มี lobby ไม่มีพนักงานหรือใครที่จะให้สอบถามใดๆทั้งสิ้น พวกเรายืนเก้กังอยู่หน้าประตูมองหาว่าจะมีคำอธิบายอะไรไม๊  ก็เห็นเขียนว่า ถ้ามีปัญหาให้โทร.ไปเบอร์นี้...ผู้จัดการทริปของเราโทร.ตามนั้น โอเคคนที่รับสายเช็คดูตาม code การจองแล้วบอกให้จด รหัสของแต่ละห้อง รหัสที่ว่านี้จะใช้ทั้งการเปิดประตูใหญ่ เปิดประตูลิฟท์และเปิดประตูห้องแต่ละห้องไม่ปะปนกัน ทุกอย่างใช้รหัสส่วนตัวของแต่ละท่านไม่มีการมั่ว  โอ้ว...เดินทางมาก็หลายประเทศแล้วนะฮะยังไม่เคยเจออะไรที่ high efficiency ขนาดนี้มาก่อนเลย นี่แปลว่าอะไร?  แปลว่าระดับการพัฒนาเค้าสูงมาก ทุกอย่างเป็นระบบ อะไรที่ไม่ต้องใช้แรงคนและใช้ระบบเทคนิคทำแทนได้ก็ทำไป เอาคนของเขาซึ่งมีอยู่น้อยและคุณภาพสูงไปคิดทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์จะดีกว่าจะมาคอยปิดเปิดประตูโรงแรม  อีกอย่างค่าแรงคงแพงมากไม่คุ้มกับจะจ้างมาทำงานบริการเล็กๆน้อยๆ  เชื่อแล้วว่า ฟินแลนด์ นี่เป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีรายได้ประชาชาติสูงเป็นระดับต้นๆทีเดียว
พอเปิดประตูเข้าไปที่ห้องสามเตียงของเรา ก็ต้องอุทานด้วยความคาดไม่ถึง เพราะมีเตียงพับได้วางอยู่พร้อมที่นอนกับผ้าปูที่นอนม้วนๆวางสุมกันอยู่  โอ้..พระเจ้า แปลว่า เราต้องกางเตียงปูที่นอนด้วยตัวเองหรือนี่  โอเค จำไว้นี่มัน budget hotel ประหนึ่งว่าตกจากสวรรค์ที่กำลังปลาบปลื้มกับความหรูหราของ Hilton ที่โรม อยู่หยกๆ เรียกสติกลับคืนมา แล้วเริ่มพินิจโดยรอบ โดยรวมแล้วก็ใช้ได้สะอาดสะอ้านมีหน้าต่างให้ดูไม่อับทึบ อีกอย่างเราก็อยู่แค่คืนเดียว พรุ่งนี้ก็จะจรลีไปประเทศ Estonia
ฟินแลนด์ในสายตาของดิฉันเป็นประเทศที่เรียบง่าย สะอาด ไม่ฟุ้งเฟ้อ แต่ก็มองดูก็รู้ว่ารวย ถ้าเปรียบเป็นคนก็คงเป็นชายหรือหญิงวัยกลางคนเกือบแก่ที่แต่งตัวดีเหมาะกับกาละเทศะ ไม่แต่งหน้าจัด (ไม่ดึงหน้าแน่นอน) มีการงานทำเป็นหลักแหล่ง และใช้รถสาธารณะหรือเดินไปทำงาน สุขภาพดี มีเพื่อนไม่มาก คุยไม่เก่งไม่ปฏิเสธชีวิตไฮเทค แต่วันหยุดชอบไปเดินป่ามากกว่าอยู่ในเมือง  และมีเงินในแบงค์มากพอจะอยู่ได้สบายไปตลอดชีวิต  หายากนะคะคนที่เพียบพร้อมอะไรยังงี้  อ้าว...นี่กำลังพูดถึงประเทศไม่ใช่เหรอ (โอเค..เรียกสติกลับมา)
เฮลซิงกิเป็นเมืองเล็กจริงอย่างที่ผู้รู้บอกไว้ มีถนนสายหลักกลางเมืองอยู่สายเดียว เดินไปเดินมาก็ต้องมาเจอศูนย์กลางการค้าที่เรียกว่า Esplanade  เป็นทางเดินกว้างมากๆไม่มีรถวิ่ง สองข้างทางมีร้านสวยๆงามๆและร้านอาหารแพงๆ ถ้าเดินตามทางนี้ไปเรื่อยๆก็จะมองเห็นอ่าวที่มีเรือจอดอยู่เยอะแยะ รวมทั้งสัญญลักษณ์เรือที่ทำด้วยไม้แบบเรือไวกิ้ง
ตอนเย็นพวกเราถือโอกาศไปสำรวจเมืองหลวงของฟินแลนด์เสียรอบหนึ่งก่อน ไปเจอร้านอาหาร Asian food บนถนน Esplanade เลยตกลงเข้าร้านนี้แหละเพราะคิดถึงข้าวสวยร้อนๆกันแล้ว  ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเพราะร้านนี้เสริฟข้าวสวยร้อนๆเป็นข้าวหอมมะลิจากเมืองไทยที่หุงเแบบสุกกำลังดี  ไม่สุกๆดิบๆเหมือนข้าวในอาหารฝรั่งทั่วไป แต่เนื่องจากทุกอย่างเป็นของอิมพอร์ต ดังนั้นราคาก็สมกับคุณภาพและระยะทางที่มาไกลไปด้วย
ทานอาหารเย็นเสร็จว่าจะเดินชมเมืองซะหน่อย ปรากฏว่าอากาศหนาวเย็นจนต้องรีบวิ่งเข้าไปหลบในห้างซุปเปอร์สโตร์ใหญ่ของแถบยุโรปเหนือที่ชื่อ Stockmann  น่าตลกตรงที่อยู่เมืองไทยเราจะไปหลบร้อนในห้างแต่ที่นี่เราก็ต้องเข้าไปหลบหนาวที่ห้างเช่นกัน  กลับที่พักดีกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้มีเวลาอีกครึ่งวันก่อนจะขึ้นเรือข้ามฟากไปเมือง Talinn ค่อยออกมาสำรวจเมืองเฮลซิงกิอีกรอบ
เช้านี้เราหมายตาอาหารเช้าร้านข้างๆโรงแรมไว้ดูจากเมนูมีอะไรน่ากินหลายอย่างทั้งราคาก็พอประมาณ 12 ยูโร  เดินเข้าไปในร้านพนักงานซึ่งท่าทางดีเหมือนเป็นเจ้าของร้านต้อนรับอย่างดีถามว่าเราพักที่ Omena ใช่ไหมห้องเบอร์อะไร เราก็งงๆว่าจะถามทำไม สรุปว่าอาหารเช้านี้เป็น compliments จากโรงแรมไม่ต้องจ่ายเพิ่ม  โอ้ว..นึกว่า budget hotel จะไม่มีอาหารเช้า  ที่ไหนได้..โก้เชียวแหละ
อิ่มหนำสำราญแล้วเราก็ออกเดินเท้าเข้าเมืองอีก เพื่อนผู้เคยมาเมืองนี้พาเดินเลียบริมทะเล บรรยากาศดีมาก เงียบๆแต่สดชื่น มีเรือที่มีเสาสูงแบบเรือไวกิ้งจอดอยู่เรียงราย มีตลาดนัดขายของพื้นเมือง น่าดูทีเดียว ของ handicraft ที่ฟินแลนด์มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากๆ ส่วนใหญ่ทำจากไม้สน  หรือผ้าฝ้ายพิมพ์ลายดอกไม้สีสดใสสวยงาม  เมื่อหลายปีก่อนเราเคยได้ของฝากจากเพื่อนร่วมงานชาวฟิน เป็นแก้วผลึกใสที่มีลายเพนท์งดงาม  คราวนี้ไปมองหาอยากจะได้อีกแต่หาไม่เจอ คงต้องเป็นร้านพิเศษ
เรือไม้ที่มีเสาสูงระโยงระยาง
จุดที่เป็น landmark ของเฮลซิงกิ ก็น่าจะเป็นอาคารรัฐสภากับโบสถ์ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง เห็นมีนักท่องเที่ยวจับกลุ่มถ่ายรูปกันอยู่  แต่ที่เราประทับใจมากกลับเป็นร้านกาแฟริมถนนติดกับร้านกระเป๋าแบรนด์เนม ชื่อ Cafe Esplanad ซึ่งมีโต๊ะตั้งเรียงรายรับแดด และมีคนนั่งเต้มทุกโต๊ะโดยทุกคนจะนั่งหันหน้าไปทางเดียวกันหมดอย่างเป็นระเบียบ
ร้านกาแฟริมทางเดิน ที่ทุกคนนั่งหันหน้ารับแดด
อาคารต่างๆดูสง่าและเงียบขรึม
ชื่นชมความเป็นระเบียบเรียบร้อยของเมืองเฮลซิงกิพอสมควรแก่เวลาก็ต้องรีบเดินกลับไป Omena Hotel เพื่อ check-out ด้วยตนเองภายในเวลา 12:00 น ห้ามเกินเวลาแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้  เชคเอาท์เสร็จ กินอาหารกลางวันร้านเดิมที่กินเมื่อตอนเช้าเสร็จก็เรียก taxi ให้ไปส่งที่ท่าเรือเฟอร์รี่  ตอนแรกที่เพื่อนอธิบายว่าจากเฮลซิงกินั่งเรือข้ามฟากไป Talinn แป๊บเดียวสะดวกสบายมาก ดิฉันก็คิดว่าเป็นเรือข้ามฟากแบบฮ่องกง-เกาลูน ที่ไหนได้พอไปถึงท่าเรือถึงได้รู้ว่านี่มันรายการใหญ่น้องๆเรือสำราญ  Norwegian Jade เลยทีเดียว ท่าเรือเฮลซิงกิใหญ่โตพอๆกับสนามบิน มีตารางบอกเวลา departure/arrival  จะไปเมืองไหนประเทศไหนต้องไปให้ถูก Gate ไม่งั้นมีสิทธิไปลงอีกประเทศนึงไปเลย  คณะของเราจองตั๋วเรือล่วงหน้าไว้แล้วตั้งแต่เมื่อสองอาทิตย์ก่อน  ดังนั้นพอมาถึงท่าเรือเราก็แค่ไปรับ boarding pass เหมือนขึ้นเรือบินเปี๊ยบเลย ค่าโดยสารก็ไม่ถูกนะฮะคิดเป็นเงินบาทไทยก็หลายพันอยู่
ตอนนั่งรอที่ท่าเรือก็ไม่เห็นมีคนเท่าไหร่ แต่พอได้เวลาขึ้นเรือไม่รู้ผู้คนมาจากไหนต่างก็รีบขึ้นให้เร็วที่สุดเพื่อจะได้ไปจับจองที่นั่งหรือที่ยืนที่ถูกใจ ที่จริงคณะเราไม่ต้องรีบเพราะจองตั๋วแบบมีห้องให้นั่งเหยียดขา เก็บกระเป๋าสัมภาระและมีห้องน้ำส่วนตัว  แต่เห็นคนอื่นเค้ารีบกันเราก็รีบแย่งขึ้นกับเขาด้วย  โผล่เข้าไปในห้องเห็นว่าไม่มีหน้าต่างเลยใส่กระเป๋า 6-7 ใบก็แทบไม่มีที่ว่างให้แทรกตัวเข้าไปได้  ว่าแล้วทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปหาที่นั่งด้านนอกกันดีกว่า ในเรือมีกิจกรรมมากมายไม่แพ้เรือใหญแบบ่ Norwegian Jade ที่เราเพิ่งอำลามาหยกๆ มีห้องอาหารพร้อมดนตรีที่กำลังเล่นเพลงบีทเทิลส์ หรือจะเป็นบาร์ที่มีนักร้องเพลงแจ๊ส  หรือจะชอบ entertainment room ที่มีเกมส์และคาสิโน มี souvenir shop และที่ชอบมากคือมี supermarket ขายของกินนานาชนิดทั้ง ช๊อคโกแลต เหล้า ไวน์ ชีส บิสกิต ผัก ผลไม้สดๆ ก็มี ดังนั้นนั่งเรือสามชั่วโมงกว่าก็ไม่เบื่อเท่าไหร่แค่เดินดูนั่นนี่ ฟังเพลงนิดหน่อย พอรู้สึกอุดอู้ก็ขึ้นไปสูดอากาศบนดาดฟ้าเรือซึ่งดีมากแต่ลมแรงจนหนาวเลยนั่งได้ไม่นาน เรือลำนี้ใหญ่โตมีถึงแปดชั้นและชั้นล่างใช้เป็นที่บรรทุกรถยนต์ได้หลายร้อยคัน  ดังนั้นพอถึงที่หมายก็ชุลมุนแย่งกันลงทั้งรถทั้งคน
ดาดฟ้าเรือข้ามฟาก Helsinki-Talinn
โอเค ขอจบความประทับใจกับหนึ่งวันในเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ประเทศที่มีการพัฒนาสูงในทุกด้าน ทั้งด้านวัตถุ เทคโนโลยี ศิลปวัฒนธรรม ประสิทธิภาพของคน การศึกษา และรายได้ความเป็นอยู่ ...จำได้ไหมคะโทรศัพท์มือถือรุ่นบุกเบิก ชื่อ โนเกีย ก็ผลผลิตของชาติฟินแลนด์นี่แหละค่ะ และวันนี้ ฟินแลนด์คือประเทศที่มีผู้นำหญิงและคณะรัฐมนตรีที่อายุในวัยสี่สิบต้นๆ .. นี่คือคุณภาพล้วนๆค่ะ
#เที่ยวทิพย์ฟินแลนด์
#lovelydayinhelsinki
#onlylovelydays
#onlyrose
โฆษณา