16 พ.ค. 2021 เวลา 12:30 • ประวัติศาสตร์
Chapter 2: Absinthe (Part 2: The Green Devil)
สวัสดีครับ กลับมาอีกครั้ง และนี่คือภาคจบของบทที่ 2 ครับ Absinthe และปีศาจสีเขียว เรื่องราวดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ อ่ะ ลองอ่านดูครับ
Chapter 2, Part 2: Absinthe & the Green Devil
ปีศาจสีเขียว
และแล้ว​ ขาลงของ​ absinthe ก็มาถึง​ พายุนั้นค่อยๆเข้ามาใกล้ในความเงียบสงัด​ แต่ไม่ใช่เพียงแค่ลูกเดียว​ แต่เป็นพายุหลายลูกเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้าๆ​ รอให้ถึงเวลาที่ใช่​ สำหรับทุกสิ่งที่จะมาถาถมเข้ามาพร้อมๆกัน
*หมายเหตุ* เรื่องผมเขียนมานี้ ผมได้แปลจากบทความของนิตยาสาร Playboy ในปี 1971 มีเนื้อหาค่อนข้างรุนแรง ประหนึ่งเหมือนนิยายฆาตกรรม, ไม่แนะนำให้อ่านให้ลูกหลานท่านเพื่อเป็นนิทานก่อนนอน หากใครที่ sensitive เชิญข้ามไป session ต่อไปได้เลยครับ*
เช้าของ​วันที่​ 28 สิงหาคม​1905 ในหมู่บ้านเล็กๆที่เมือง​ Commugny ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่ติดกับฝรั่งเศส​ Jean Lanfrey อายุ​ 31 ปี​ ตื่นขึ้นมาตอนตีสี่ครึ่งตามปรกติ​ และทำตามกิจวัตร​ประจำวันของเขา​ นั่นก็คือการดื่ม​ Absinthe​ 1 shot กับ​ น้ำ​ 3 ส่วน​ เขาทำแบบนี้ประจำทุกวันคล้ายดังพิธีกรรมที่ต้องทำหลังจากตื่นนอน
Lanfray เป็นชาวฝรั่งเศสโดยกำเนิด เขาเป็นผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่ง​ สูงประมาณ​ 180 เซนติเมตร​ และหนัก​ 80 กิโลกรัม​ ทำอาชีพเป็นคนงานอยู่ที่สวนองุ่นแห่งหนึ่ง​ เขาเป็นทหารฝรั่งเศสมาก่อน​ รับใช้ชาติอยู่​ 3 ปีก่อนที่จะมาใช้ชีวิตอันน่าเบื่อที่นี่​ การอยู่ในนั้น​ ได้สอนอะไรให้กับชีวิตเค้าอยู่​ 2 อย่าง​ นั่นคือการฆ่า​ และการดื่ม​ absinthe
Lanfray และครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ในบ้าน​ 2 ชั้น​ ที่อยู่ใกล้ๆกับ​สวนไวน์ที่เขาทำงานอยู่​ Lanfray อยู่ชั้นบนกับภรรยาของเขา​ และลูกสาวอีก​ 2 คน​ Rose​ อายุ​ 4 ขวบ​ และ​ Blanche อายุขวบครึ่ง​ ในขณะที่พ่อและพี่ชายของเค้าอาศัยอยู่ชั้น​ 1
Lanfray ดื่ม​ absinthe แก้วที่​ 2 จนหมดแก้วก่อนลงไปยังชั้นล่างเพื่อรวมตัวกับพ่อและพี่ชายของเขา​ ก่อนลงเค้าฝากภรรยาให้ขัดรองเท้าของเขาและลง​ wax และสามคนพ่อลูกก็ออกเดินทางไปทำงานที่ไร่องุ่น​ ระหว่างทาง​ เขาแวะที่คาเฟ่เล็กๆ และดื่ม​ Creme​ de​ Menthe (เหล้าหวานรสมิ้นท์)​ ผสมน้ำและ​ Cognac (องุ่นบรั่นดีจากฝรั่งเศส)​ ผสมโซดา​ ณ​ ตอนตี​ 5 ครึ่ง​ และเดินหน้าออกไปทำงาน [เก็บคะแนนไปแล้ว 3 แต้มก่อนพระอาทิตย์ขึ้นด้วยซ้ำ]
พวกเขาทำงานกันจนถึงเวลาพักเที่ยง​ อาหารกลางวันของ​ Lanfray คือ​ ขนมปัง, ไส้หรอกและชีส​ที่ภรรยาทำให้ ส่วนเครื่องดื่มของเขาคือ​ Piquette​ (ไวน์คุณภาพต่ำ​ที่นิยมดื่มกันในหมู่คนทำงานในฟาร์ม​องุ่น ทำโดยการเติมน้ำไปในถังองุ่นที่ถูกคั้นแล้ว​ แล้วคั้นเอาน้ำสองออกมาอีกรอบ​ จะได้ไวน์ที่จืด​และแอลกอฮอล์ต่ำลง​ อยู่ที่ประมาณ​ 4-9%) Lanfray ดื่มด้วยความภาคภูมิใจ เพราะ piquette ของเขาเป็นที่เลื่องลือว่าเป็น piquette ที่แรงที่สุดในระแวก Lanfray กลับไปทำงานหลังมื้อกลางวัน และเขาก็เบรคดื่ม piquette อีก 2 แก้วตอนประมาณบ่าย 3 และดื่มไวน์แดงอีกแก้วตอน 4.15 เมื่อเพื่อนบ้านยื่นแก้วมาให้เขา ก่อนที่จะเลิกงาน ตอนสี่โมงครึ่ง Lanfray พ่อและพี่ชายของเขา แวะที่คาเฟ่ระหว่างทางกลับบ้าน เขาดื่ม กาแฟกับบรั่นดี พวกเขากลับถึงบ้านประมาณ 5 โมงกว่าๆและดื่ม piquette คนละลิตร (ถ้าผู้อ่านนึกภาพไม่ออกว่าการดื่มไวน์หนึ่งลิตรเยอะขนาดไหน ให้คิดว่าเวลาไปร้านอาหารแล้วสั่งไวน์ 1 แก้ว ไวน์แด้วนั้นส่วนมากจะอยู่ที่ประมาณ 150 ml ซึ่ง 1 ลิตรจำนวนจะเท่ากับดื่มไวน์ในร้านอาหาร 6.6 แก้ว)
ในขณะที่หนุ่มๆกำลังสนุกสนาน หนึ่งคนที่ไม่สนุกด้วยคือภรรยาของ Lanfray แม่ลูกสองต้องดูแลลูกที่ยังเล็ก แต่ก็ยังต้องทำความสะอาดบ้าน เตรียมอาหาร ช่วยงานฟาร์ม ภรรยาขอ Lanfray ให้ช่วยรีดนมวัว พวกเขามีวัวอยู่ประมาณ 20 ตัว นมวัวเหล่านี้สามารถเป็นรายได้เสริมให้กับครอบครัวได้ Lanfray นั้นเหนื่อยมาทั้งวัน เหรื่อยจากการขุดดินและดื่ม piquette เขาไม่ได้อยู่ในมู๊ดที่จะรีดนมวัวเลย เขาตะโกนตอบกลับว่า “ไปลงนรกแล้วก็รีดนมวัวจากที่นั่นเอาเองสิ แล้วก็เอากาแฟมาให้ชั้นด้วย” ภรรยาหยิบกาไปวางที่เตาและออกไปนอกตัวบ้านด้วยความไม่พอใจแต่ไม่พูดอะไร เพราะการตอบโต้ช้างเท้าหน้ามันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยในสมัยนั้น​
Lanfray เทกาแฟใส่แก้ว​ตามด้วยองุ่นบรั่นดีแบบแรงที่เค้าทำด้วยตัวเอง​ เมื่อภรรยา​กลับมา​ Lanfray ก็ตำหนิภรรยาว่ากาแฟมันร้อนไม่พอ​ และเมื่อเค้าเหลือบเห็นรองเท้าที่เขาฝากทำความสะอาดไว้ตั้งแต่เช้า​ มันยังอยู่ที่เดิม​ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลกจากเมื่อตอนก่อนเขาออกจากบ้าน​ Lanfray ต่อว่าภรรยาแรงขึ้นจนพ่อของเขาลุกขึ้นและเดินออกไปจากบ้านเพราะไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้อง​ ทั้งสองคนขึ้นเสียงใส่กัน Lanfray บอกภรรยาของเขาให้หุบปากเดี๋ยวนี้​ แต่ภรรยาฟิวขาดและตอบกลับว่า​ "ฉันอยากเห็นคุณทำให้ฉันหยุดพูดเหมือนกัน!"
"อยากเห็นอย่างนั้นใช่ไหม! อยากเห็นอย่างนั้นใช่ไหม!" Lanfray พูดพรึมพรัมในขณะที่ฟันกรามด้านบนและล่างของเขากำลังประทำซึ่งกันและกันด้วยความโกรธ​ ในระหว่างที่เดินไปหยิบปืน​ไรเฟิล​ Vetterli ลำกระบอกยาว​ 32.2 นิ้ว ซึ่งเป็นปืนที่เขาได้มาตอนที่เคยเป็นทหาร​ พ่อของเขาบอกว่า​" อย่าทำอะไรสิ้นคิดแบบนี้เลย" Lanfray ตอบพ่อ​" พ่ออย่ามีส่วนร่วมในนี้เลย​ ถ้าพ่อไม่อยากจะมีปัญหา" เขาเล็งปืนไปที่หัวของภรรยาของเขา​ และเหนี่ยวไกปืน​ ภรรยาของ​ Lanfray เสียชีวิตแทบจะทันที​ พ่อของ​ Lanfray รีบวิ่งหนีไป​ ลูกสาวคนโตได้ยินเสียงปืนก็กรี๊ดลั่นพร้อมวิ่งหนีไปอีกห้อง​ Lanfray เดินเข้าไปหาลูกที่ชั้นสอง​ แล้วยิงเข้าไปที่หน้าอก​ ก่อนที่จะเดินไปที่เปลของลูกคนเล็ก​ Blanche, ที่กำลังนอนหลับอยู่​ Lanfray ปลิดชีพของทารกน้อยก่อนที่จะพยายามฆ่าตัวตายด้วยปืนกระบอกเดียวกับที่สังหารทุกคนในครอบครัว​
เขาพยายามที่จะฆ่าตัวตาย​ แต่ว่ากระบอกปืนนั้นยาวเกินที่เค้าจสามารถยิงเข้าที่หัวได้​ เขาเลยพยายามใช้เชือกเป็นตัวช่วยโดยเอาไปขึงกับไกปืนไว้​ แต่เมื่อเขากระตุกเชือกเพื่อยิง​ กระบอกปืนดันเปลี่ยนทิศ​ แทนที่กระสุนจะพุ่งตรงขึ้นไปที่สมองของเขา​ มันกลับทะลุผ่านฟันกรามด้านล่างของเขา เลือดจากบาดแผลของเขาไหลอย่างต่อเนื่อง
เขาอุ้มศพของลูกสาวคนเล็กไว้ภายใต้อ้อมแขนของเขา ลงบันได ออกจากบ้าน และมุ่งหน้าไปที่โรงนาข้างบ้าน เมื่อเขาถึง เขาทิ้งตัวลงนอน และหมดสติไป ตำรวจเจอเขากำลังหลับอยู่ที่นั่น Lanfray ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลเพื่อเอากระสุนออก Lanfray หลับไปอีกรอบ ก่อนที่จะพาเขาไปที่เรือนจำเพื่อดำเนินคดีในศาล เขาถูกพาไปดูศพของเหยื่อ จากการสัมภาษณ์นางพญาบาลกล่าวว่า Lanfray โอดครวญด้วยน้ำตาแล้วพูดว่า “มันไม่ใช่ผมที่ทำนะ พระเจ้า บอกพวกเขาที่ว่ามันไม่ใช่ผม ผมรักครอบครัวของผมมาก” Lanfray ยังคงยืนยันว่าเขาจำอะไรไม่ได้ เขาใช้ประโยคทำนองนี้ในศาลด้วยเช่นกัน เขาบอกว่า เขาไม่ใช่คนที่เคยคิดที่จะทำเรื่องชั่วร้ายแบบนั้น แต่มันเป็นเพราะ absinthe ปีศาจสีเขียว ที่ผมดื่มตอนเช้า!
วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน 1905 ประชาชนต่างรวมตัวกัน เพื่อหารือหลังจากที่รู้ว่าภรรยาของ Lanfray นั้นมีลูกชายอยู่ในท้องมาสี่เดือน ทุกคนหวาดกลัวกัน ถึงแม้ว่าวันนั้น Lanfray จะดื่มไวน์ไปหลายลิตร รวมไปถึงบรั่นดีอีกหลายแก้ว แต่ประชาชนก็จำฝังใจว่า Lanfray คนที่ดื่ม abinthe แล้วฆ่าทั้งครอบครัวไง ถึงแม้ว่าจะค้นหาใน google ว่า absinthe murder ก็จะขึ้นเป็นคดีนี้ ด้วยข่าวที่เกิดขึ้นจึงทำให้คนส่วนมากเริ่มมีอคติกับเจ้านางฟ้า….ไม่สิ ปีศาจร้ายสีเขียวไปเรียบร้อย
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 1906 เป็นวันที่ศาลตัดสินคดีนี้ ทนายของทั้ง 2 ฝั่งโต้เถียงกัน โดยที่มี Dr. Albert Mahaim จิตแพทย์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ให้ความว่าคดีนี้เป็นอีกตัวอย่างที่พิสูจน์ว่า absinthe ทำให้คนกลายเป็นคนบ้า สุดท้ายศาลตัดสินว่าเป็นความผิด Lanfray ต้องจำคุก 30 ปี และหลังจากนั้น 3 วันเขาก็ฆ่าตัวตาย ตำรวจและจิตแพทย์ศึกษาพฤติกรรมของ Lanfray แล้วค้นพบว่าระหว่างวัน เขาจะดื่มไวน์ระหว่าง 2-2 ลิตรครึ่ง, piquette แบบแรง 2-2 ลิตรครึ่ง นอกจากนั้นยังดื่มบรั่นดีและ liqueur หลายแก้ว และ absinthe อีกประมาณ 1-2 แก้ว ย้ำว่าจำนวนเหล่านี้คือในแต่ละวันนะครับ
โศกนาฏกรรมครั้งนี้มันอาจจะเป็นโชคร้าย ที่รวมกับสิ่งที่คนบางกลุ่มได้แพลนไว้ ฉาบฉวยสิ่งที่เกิดขึ้น และสร้างโอกาสเพื่อที่จะพลิกสถานการที่จะทำให้กลุ่มของตัวเองได้มีพลังและอำนาจอีกรอบ ผู้อ่านอาจสงสัยว่าคนพวกนี้คือใคร กลุ่มคนนี้มาจากภาคแรกที่ผมเขียน นั่นคือกลุ่มไวน์นั่นเอง การผลิตไวน์ได้กลับมาเป็นปรกติแล้ว หลังจากที่โดนเพลี้ยโจมดีไปเกือบสองทศวรรษ ปัญหาของพวกเขาคือ ไม่มีคนกลับไปดื่มไวน์ เพราะทุกคนกำลังตกหลุมรัก absinthe อยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงรวมตัวกันเพื่อที่จะโจมตี absinthe โดยใช้คดีของ Lanfray เป็นชะนวนในการปั่น media ต่างๆ และถึงแม้กระทั่งล้อบบี้ในสภาเพื่อให้แบน absinthe และในช่วงเวลาใกล้เคียงกันก็มีฆาตกรรมเกิดขึ้นที่นครเจนีวา ซึ่ง absinthe ตกเป็นเหยื่อและถูกแบนจากเมืองเจนีวา การโวตห้ามขาย absinthe ที่ Switzerland เกิดขึ้นในเดือนตุลาคม ปี 1910
Mad Scientist
Cr. Dish Rag Magazine
ผู้ที่มีอิทธิพลต่อ absinthe นอกจาก Lanfray แล้วก็ยังจะมีแพทย์ชาวฝรั่งเศสอีกหนึ่งท่าน เขาคนนั้นเป็นผู้ที่มีเกียรติและทุกคนเคารพ แพทย์ผู้นั้นชื่อ Dr. Valentin Magnan หัวหน้าแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ที่โรงพยาบาล Saint-Anne และเขาก็ได้ทำงานวิจัยขึ้นมา
เขามีทฤษฎีว่า absinthe เป็นสิ่งที่ให้โทษแก่มนุษยชาติ และ wormwood คือต้นเหตุ เขาใช้ wormwood สกัด แต่เขาเคลมในรายงานหรือให้สัมภาษณ์ว่าใช้ absinthe ในการทดลอง และผลลัพธ์ในด้านลบของ wormwood สกัด ถูกเปลี่ยนเป็น absinthe ที่ผสมน้ำ และ Dr. Magnan ก็ไม่เคยได้ทดลองใช้จริงกับมนุษย์
สัตว์ที่ทดลองมีอยู่ 3 ชนิด หนู, แมว และกระต่าย โดยสัตว์เหล่านี้จะสูด wormwood สกัดเข้าทางจมูก สัตว์ทดลองทั้งหลายเริ่มเกิดอาการตื่นเต้น และหลังจากนั้นไม่นาน มันก็ชัก และตายในที่สุด เขาสรุปว่า wormwood ที่เป็นหนึ่งในสมุนไพรหลักของ absinthe มาสารหนึ่งที่ชื่อว่า Thujone สารนี้มีอันตรายต่อร่างกาย สามารถทำให้เกิดภาพหลอน เกิดโรคลมบ้าหมู และทำให้ถึงแก่ชีวิตได้
Dr. Magnan มักจะพูดถึงคนใข้ทางจิตทั้งหลายของเขาที่โรงพยายาลถึงอาการของพวกเขา ผู้คนเหล่านั้นจะมีอาการนอนไม่หลับ ลงแดง เกิดอาการชัก และเกิดภาพหลอน ล้วนมีต้นเหตุมาจาก absinthe ปีศาจสีเขียวเป็นสิ่งที่อันตราย ต่างกับสุราชนิดที่ดี เช่นไวน์ เบียร์ หรือไซเดอร์ ที่อย่างมากจะมีอาการแฮงค์เล็กน้อยหลังจากการนอนหลับอย่างเต็มอิ่ม ถ้าดื่มในจำนวนที่เหมาะสม
บทสรุปของการแบน
Cr. Science History Institute
ด้วยเหตุผลหลายด้าน ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ นำทีมโดย Dr. Valentin Magnan ด้านสังคมโดยกลุ่มต่อต้าน absinthe ที่ชื่อ The Temperent และ กระแสของการต่อต้านแอลกอฮอล์ทั่วโลก (รวมถึงประเทศอเมริกา ที่ prohibition เกิดขึ้นไม่นานหลังจากการแบน absinthe) รวมถึงการล็อบบี้ และ เหล่าโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ ทำให้ absinthe ถูกแบนในสวิตเซอร์เลนด์ในปี 1910, แบนในประเทศอเมริกาในปี 1912 และแบนในประเทศฝรั่งเศสในปี 1915
แต่ในบางประเทศ เช่น สหราชอณาจักร ที่ไม่ได้อินกับ absinthe อยู่แล้วเพราะว่า absinthe เป็นสิ่งที่นิยมในฝรั่งเศส และอะไรที่คูลล์ในฝรั่งเศส มันไม่คูลล์ในสหราชอณาจักร พวกเขาจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องแบน อีกประเทศที่ไม่ได้แบนด้วยเหตุผลที่ตรงกันข้ามคือประเทศสเปน ชาวสเปนหลงไหนใน absinthe มากถึงขั้นที่แบนไม่ลง
หลังจากที่แบนไม่นาน โลกก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย ทั้งสงครามโลกครั้งที่ 1, ตามด้วย The Great Depression, และสงครามโลกครั้งที่ 2, และสงครามเย็น โลกอันยุ่งเหยิงและวุ่นวายทำให้ทุกคนลืม absinthe ที่ถูกแบนไปเกือบทั้งศตวรรษ
โลกหลังการแบน Absinthe
แต่ในระหว่างนั้น ฝรั่งเศสก็ไม่ปล่อยให้จิตวิณญานของ absinthe สูญหายไปซะทีเดียว Paul Ricard หุ้นส่วนของบริษัท Pernot Ricard สร้างผลิตภัณฑ์หนึ่งที่ชื่อว่า Pastis ในปี 1932 ซึ่งออกสู่ตลาด 17 ปี หลังจากที่ absinthe ถูกแบนและจำหน่ายเน้นที่ประเทศฝรั่งเศสเพื่อแทนที่ absinthe
เรามาทำความรู้จัก Pastis กันซักนิด ถึงแม้ว่า Pastis จะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทดแทน absinthe เพื่อเลี่ยงข้อบังคับทางกฎหมาย Pastis จึงไม่มีส่วนผสมของ wormwood แต่แทนที่ wormwood ที่ขาดหาย Pastis มี Licorice ที่เพิ่มเข้ามาแทน ส่วนกระบวนการผลิตนั้น Pastis แช่สมุนไพรก่อนที่จะนำไปกลั่น และใส่น้ำตาลหลังจากนั้น ดังนั้น Pastis จึงถือเป็น Liqueur หรือเหล้าหวาน ในขณะที่ absinthe เป็น spirit หรือสุรากลั่นเพราะไม่ได้มีการเติมน้ำตาลลงไป ข้อแตกต่างในระดับของแอลกอฮอล์ Pastis จะอยู่ที่ระหว่าง 40%-50% ในขณะที่ absinthe จะมีแอลกอฮอล์อยู่ที่ 45%-74%
การคืนชีพของ Absinthe
นักวิทยาศาสตร์ชื่อ Ted Breaux (ภายหลังเป็นเจ้าของแบรนด์ Lucid Absinthe) ทำวิจัยเรื่อง absinthe กันอีกครั้ง และค้นพบว่า สาร Thujone ที่ได้มาจาก wormwood และอยู่ใน absinthe นั้นมีน้อยมาก จนไม่สามารถทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย หรือทำให้เกิดภาพหลอนได้ และถ้าจะดื่ม absinthe ขนาดที่จะทำให้ Thujone ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างการ ผู้ดื่มนั้นคงเสียชีวิตจากสุราเป็นพิษไปนานก่อนที่จะได้มีโอกาสเห็นภาพหลอนด้วยซ้ำ ดังนั้น หลายๆประเทศจึงเริ่มการยกเลิกการแบนของ absinthe ประเทศแรกที่ยกเลิกการแบนคือประเทศเยอรมัน ในปี 1981, ตามด้วย สาธารณรัฐเช็ก ในปี 1987, ฝรั่งเศสในปี 2000, สวิตเซอร์แลนด์ในปี 2005, และอเมริกาในปี 2007
ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า ระดับของสาร Thujone ที่อยู่ใน absinthe นั้นน้อยมากเกินกว่าที่จะเป็นอันตราย แต่ทางกระทรวงสาธารณสุขก็ได้กำหนดสารนี้ใน absinthe อยู่ ในประเทศอเมริกา absinthe จะต้องมีสาร Thujone น้อยกว่า 10 มิลลิกรัม/ลิตร และใน EU กำหนดว่าจะต้องมีน้อยกว่า 35 มิลลิกรัม/ลิตร ซึ่ง absinthe ส่วนมากในยุโรปก็มีสาร Thujone น้อยกว่าลิมิทที่ EU ได้ตั้งไว้ไม่ว่าจะเป็นสมัยปัจจุบันหรือสมัยรุ่งเรือง
เด็กใหม่ในตลาด
Cr. absinthe.gr
สาธารณรัฐเช็ก ถือเป็นประเทศแรกๆที่ปลดล๊อค absinthe พวกเขาได้ผลิตสไตล์ของเขาขึ้นมาที่เรียกว่า Bohemian Absinth ถ้าเราซื้อมาซักขวดแล้วอยากรู้ว่าอันนี้เป็นสไตล์ Bohemian หรือเปล่า สังเกตุง่ายครับ ปรกติ absinthe จะสะกดลงท้ายด้วยตัว ‘e’ แต่สำหรับสไตล์ Bohemian จะสะกดว่า absinth ที่ไม่มีตัว ‘e’
นอกจากการสะกดแล้ว Bohemian absinth ก็มีวิธีดื่มที่แตกต่างเช่นกัน หากใครเคย google image แล้วเห็นว่ามีการจุดไฟที่ absinth อะไรก็ตามที่มีไฟเข้ามาเกี่ยวข้องมันมักจะทำให้ดูตื่นตาตื่นใจขึ้นมาทันที เคยเห็น cocktail ที่ชื่อ Flaming Lamborghini ไหมครับ มันดูตื่นตาตื่นใจมาก แล้วรสชาติล่ะ?
เหตุผลที่ absinth สไตล์นี้ต้องจุดไฟ เป็นเพราะว่าด้วยต้นทุนที่ถูก และไม่ได้ใส่ anise, funnel หรือสมุนไพรที่นอกจาก wormwood จึงทำให้ Bohimien Ansinth ไม่สามารถทำให้เกิดปฏิกิริยา Louche (การที่ absinthe เปลี่ยนจากใสเป็นขุ่น ข้อมูลเชิงลึกอยู่ในภาคแรก) ได้ โดยวิธีการดื่ม Bohemian Absinth จะใช้อุปกรณ์เหมือนแบบ Parisian โดยจะมีแก้ว absinthe และ ช้อน absinthe ที่มีน้ำตาลวางอยู่ด้านบน สื่งที่ต่างคือ การเท absinth แบบ Parisian จะเทไปในแก้วก่อนที่จะวางช้อนและน้ำตาล แต่สำหรับ Bohemian จะเท absinth ผ่านน้ำตาล หลังจากนั้นก็จุดไฟ ด้วยแอลกอฮอล์ที่สูงของ absinth จึงทำให้น้ำตาลติดไฟและค่อยใช้น้ำดับไฟบนน้ำตาล โดยสัดส่วนจะอยู่แค่ที่ 1:2 ซึ่งต่างจาก สไตล์ Parisian ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1:4 ผลลัพธ์ของการทำเช่นนี้ทำให้ ansinth ในแก้วดูขุ่น คล้ายกับ Louche
Absinthe ในยุคปัจจุบัน
จากหนังเรื่อง Euro Trip
ผมถือว่าผมโชคดีที่ได้เริ่มทำอาชีพบาร์เทนเดอร์ที่ประเทศอเมริกา และการทำงานในบาร์ครั้งแรกของผม เป็นร้าน cocktail bar ที่มี collection ที่โหดมากๆของเมือง ณ ตอนนั้น และรัฐ Washington ก็มีแบรนด์ absinthe เป็นของตัวเองด้วย ชื่อ Pasifique เอาจริงๆ มันเป็น absinthe ที่ดีมากๆ และผมได้มีโอกาสลอง absinthe หลายๆแบรนด์จากหลายประเทศ รวมไปถึงแบรนด์ที่ชื่อ Mansinthe ที่เป็นของ Marilyn Manson มีแอลกอฮอล์ 66.6% ถ้าเป็นชาวร็อคที่รู้จักลูกพี่ Marilyn Manson คนนี้อาจจะเข้าใจว่าทำไมถึงต้องเป็น 66.6% แต่ไม่ใช่แค่นั้น ผมรู้สึกโชคดี ที่ทำงานแรกของผมมีทั้ง absinthe หลายแบรนด์ อุปกรณ์ที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นสำหรับดื่มคนเดียวอย่าง absinthe dripper หรือ ansinthe foutain สำหรับหลายคน มีลูกค้าที่ชอบดื่ม absinthe มีแม้กระทั่ง absinthe ปั่นอยู่ในเมนู ซึ่งส่วนตัวผมชอบมาก
เป็นเรื่องปรกติที่มีลูกค้าเข้ามาถามว่า absinthe ของร้านยูว์ เป็น absinthe จริงหรือเปล่า? ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจว่าแล้ว absinthe ปลอมมันคืออะไร หลายๆคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า absinthe ถูกกฎหมายแล้ว และมันก็ไม่ได้ทำให้หลอนด้วย แต่มันก็น่าเข้าใจได้นะครับ การที่ absinthe เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างใหม่มากๆ จำเพลง Poker Face ของ Lady Gaga ได้ไหมครับ เพลงนี้ออกมาในปี 2008 เพียงแค่ 1 ปีหลังจากที่ absinthe ถูกกฎหมายในประเทศอเมริกาเอง และเรายังถูกสื่อโชว์ให้ดูว่านางฟ้าสีเขียวจะทำให้ประสาทเราหลอน เช่นฉากแรกๆของหนังเรื่อง Moilin Rouge หรือ Euro Trip ดังนั้น การที่คนทั่วไปเห็นว่า absinthe เป็นสิ่งที่ลึกลับมันคงไม่ใช่เรื่องแปลก
สำหรับเรื่อง absinthe ก็คงต้องจบลงเพียงเท่านี้ ส่วนตัวผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่สนุกมาก แต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเท่าไรฟังเท่าไร
ถ้าเกิดท่านไหนอ่านแล้วสนุกอยากแชร์ ทั้งแชร์ใน Social หรือจะเล่าให้เพื่อนฟังก็ยินดีเลยนะครับ
ยังมีเรื่องราวข้อความอีกมากมายที่มาในขวดแก้ว ใครอยากให้ผมเปิดอ่านขวดไหน สามารถ request มาได้เลยครับ
โฆษณา