17 พ.ค. 2021 เวลา 01:24 • ข่าว
ตะวันออกลางต้องลุกเป็นไฟ 🔥เพราะกระดาษใบเดียว 📜
กระดาษใบเดียวที่มีเนื้อหาเพียง 67 คำ แต่สามารถเปลี่ยนภูมิภาคตะวันออกกลางให้เป็นแดนมิคสัญญีได้นานกว่าศตวรรษ
กระดาษใบที่ว่านั้นคือ "ประกาศบัลโฟร์" (Balfour Declaration) นั่นเองครับ
ประกาศบัลโฟร์
บทความนี้จะพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับกระดาษเจ้าปัญหาใบนี้ ผ่านปลายปากกาของผศ.ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครับ
“ข้าพเจ้าเห็นใจพวกยิว แต่การเห็นใจนี้ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าตาบอดต่อการต้องการความยุติธรรม เสียงเรียกร้องให้มีรัฐยิวนั้นไม่ดึงดูดใจข้าพเจ้านัก ปาเลสไตน์เป็นของพวกอาหรับในความหมายเดียวกันอย่างที่ประเทศอังกฤษเป็นของชาวอังกฤษ และประเทศฝรั่งเศสเป็นของชาวฝรั่งเศส… เป็นความผิดพลาดทีเดียวที่จะเข้าไปในประเทศนั้นโดยมีปืนของอังกฤษคุ้มกันอยู่ จะกล่าวหาชาวอาหรับแม้แต่อย่างใดไม่ได้ ถ้าพวกนี้ต้องต่อสู้ต่อการรุกราน” Mahatma Candhi, Article in Harjan, November 12,1938
มหาตมะ คานธี
ท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลางซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเกลียดชังที่นำไปสู่การเข่นฆ่าและการจองล้างจองผลาญซึ่งกันและกันไม่เว้นแต่ละวัน คงทำให้หลายต่อหลายคนอดที่จะนึกสงสัยไม่ได้ว่า ต้นเหตุความขัดแย้งระหว่างชาวอาหรับและชาวยิวนั้นมีความเป็นมาอย่างไร อะไรที่เป็นชนวนก่อให้เกิดเปลวเพลิงแห่งความเคียดแค้นที่ยังคงลุกโชนมาถึงทุกวันนี้ แม้เวลาจะผ่านไปแล้วกว่า 80 ปีก็ตาม
บางคนสรุปเป็นทฤษฎีง่าย ๆ ว่า ความอาฆาตพยาบาทระหว่างกลุ่มชนสองเผ่าพันธุ์นี้มีพื้นฐานมาจากความขัดแย้งทางศาสนา ซึ่งทำให้ยากต่อการเยียวยาแก้ไข แต่หากพิจารณาอย่างครอบคลุม โดยใช้รากฐานทางประวัติศาสตร์และความเชื่อทางศาสนาเป็นข้อมูลประกอบแล้ว จะพบว่าทฤษฎีความขัดแย้งทางศาสนาไม่น่าจะถูกต้องเสียทีเดียว
เพราะอย่างน้อยในทัศนะอิสลามถือว่า ทั้งชาวยิวและชาวคริสเตียนที่ยังคงนับถือศาสนาดั้งเดิมของตนโดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ล้วนเป็น “ชาวคัมภีร์” (People of the Book) หรือเป็นกลุ่มชนที่เชื่อในคัมภีร์ ซึ่งพระเจ้าประทานลงมาเป็นแนวทางให้แก่มนุษยชาติ ผ่านทางศาสนทูตในแต่ละยุคแต่ละสมัย ซึ่งชาวคัมภีร์เหล่านี้ย่อมได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพจากอิสลาม
แม้แต่ในประวัติศาสตร์อิสลามเอง หลังจากที่พิชิตนครเยรูซาเล็มได้ในศตวรรษที่ 7 ก็ปรากฏว่าผู้นำอิสลามในสมัยนั้น โดยเฉพาะ คอลีฟะฮ์ อุมัร อิบนฺ ค็อฏฏอบ ก็ได้ให้สิทธิอันเท่าเทียมแก่ชาวคริสเตียนและชาวยิว ทั้งในแง่ของการดำรงชีวิตและการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
เช่นเดียวกันกับวัฒนธรรมของชาวยิวในยุคก่อน ๆ ที่ไม่เคยอาฆาตมาดร้ายต่อชาวมุสลิม ยกเว้นก็แต่เฉพาะชาวยิวบางคนบางกลุ่มเท่านั้น ที่เชื่อในความเหนือกว่าทางชาติพันธุ์ของตนเอง โดยปฏิบัติต่อกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ด้วยความมีอคติ
เพราะฉะนั้น ความเชื่อที่ว่าความเกลียดชังซึ่งกันและกันในปัจจุบันเกิดจากความขัดแย้งที่มีพื้นฐานมาจากศาสนา จึงเปรียบเสมือนม่านบังตาที่ทำให้หลายฝ่ายเกิดความท้อแท้ที่จะหาทางแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม
ความขัดแย้งในประเด็นปัญหาปาเลสไตน์ที่เราเห็นความเป็นไปในปัจจุบัน อาจต้องย้อนรากเหง้ากลับไปดูที่ คำแถลงการณ์บัลโฟร์ (Balfour Declaration) ซึ่งมีชื่อเรียกตามนามของรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษสมัยนั้น คือ เซอร์ อาร์เธอร์ เจมส์ บัลโฟร์ (Sir Arthur James Balfour) คำแถลงการณ์บัลโฟร์นี้ ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอังกฤษในเดือนตุลาคม 1917 มาถึงวันนี้ก็ครบรอบ 100 ปีพอดี (บทความนี้เขียนเมื่อปี 2017)
เซอร์ อาร์เธอร์ เจมส์ บัลโฟร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษในตอนนั้น
ใจความของคำแถลงการณ์ตอนสำคัญมีความว่า
“รัฐบาลแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพิจารณาด้วยความเห็นชอบ ในการตั้งถิ่นฐานสำหรับพวกยิวขึ้นแห่งหนึ่งในประเทศปาเลสไตน์ และจะใช้ความพยายามจนสุดความสามารถที่จะอำนวยความสะดวกต่อการบรรลุถึงวัตถุประสงค์ข้อนี้ เป็นที่เข้าใจอย่างแจ้งชัดว่า จะไม่มีการปฏิบัติการใด ๆ อันเป็นผลร้ายต่อสิทธิพลเรือนและการนับถือศาสนา ของหมู่ชนที่มิใช่ชาวยิวในประเทศปาเลสไตน์ หรือสิทธิและสถานภาพทางการเมืองที่พวกยิวได้รับในประเทศอื่น”
เพื่อที่จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจมากขึ้น และเพื่อความเป็นกลางในการนำเอาบทแถลงการณ์บัลโฟร์ข้างต้นไปวิเคราะห์ต่อไป จึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องสืบสาวราวเรื่องเหตุการณ์สำคัญๆ ก่อนที่แถลงการณ์บัลโฟร์จะถูกประกาศและมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย
ความมีอยู่ว่าเมื่อราว ๆ ค.ศ. 1915 มีการติดต่อกันทางจดหมายระหว่าง เซอร์ เฮนรี่ เมคมาฮอน (Sir Henry McMahon) ข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำอียิปต์ กับ ชารีฟ ฮุสเซน (Sharif Hussein) ผู้ครองแคว้นฮิญาชและเป็นตัวแทนของชาวอาหรับทั้งผอง
ข้อใหญ่ใจความของจดหมายระบุว่า เมคมาฮอนพยายามเกลี่ยกล่อมให้ชาวอาหรับสนับสนุนฝ่ายมหาอำนาจพันธมิตร สู้รบกับฝ่ายมหาอำนาจอักษะในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยสัญญาจะให้เอกราชแก่ชาวอาหรับในทุก ๆ ดินแดนหลังจากสงครามยุติลง รวมถึงปาเลสไตน์ด้วย ด้วยเหตุนี้ อังกฤษจึงได้ลงนามในข้อตกลงแองโกล-อาหรับในฤดูใบไม้ร่วงปี 1915 นั่นเอง
คำสัญญาดังกล่าวทำให้ ชารีฟ ฮุสเซน เข้าร่วมรบกับกองทัพฝ่ายพันธมิตร ขณะเดียวกัน ชาวอาหรับจากซีเรีย เลบานอน และปาเลสไตน์ ก็เข้าร่วมลุกฮือขึ้นก่อกบฏต่อต้านอาณาจักรออตโตมานที่ประกาศเข้าร่วมสงครามในนามฝ่ายอักษะ ชาวอาหรับยินดีต้อนรับกองทัพอังกฤษที่เข้ามาในปาเลสไตน์ เปรียบทหารอังกฤษเหล่านั้นเป็นเสมือนผู้มาปลดปล่อยให้พวกเขามีอิสรภาพหลังจากต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของตุรกีมานานเกือบ 500 ปี
แต่แล้วชาวอาหรับก็ถูกหักหลัง เพราะไม่เพียงแต่อังกฤษจะไม่รักษาคำมั่นสัญญาเท่านั้น แต่ยังไปสนับสนุนองค์กรยิวไซออนิสต์ให้จัดตั้งรัฐยิวขึ้นในปาเลสไตน์ โดยไม่ได้ปรึกษาหารือกับชาวอาหรับเจ้าของดินแดนแต่ประการใดทั้งสิ้น อีกทั้งยังออกมาตรการต่าง ๆ ขึ้นมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้ชาวยิวได้อพยพเข้ามาในแผ่นดินปาเลสไตน์แบบไม่จำกัดจำนวน
ในเวลานั้น ประชากรของประเทศปาเลสไตน์ทั้งหมดมีอยู่ประมาณ 700,000 คน ในจำนวนนี้ร้อยละ 90 หรือประมาณ 600,000 คนเป็นชาวอาหรับมุสลิม ซึ่งครอบครองดินแดนถึงร้อยละ 90 ที่เหลืออีกร้อยละ 10 เป็นที่อยู่อาศัยของชาวยิว ซึ่งมีประชากรอยู่ประมาณ 70,000 คน
พอมาถึงปี1947 ที่รัฐยิวถูกสถาปนาขึ้นอย่างเป็นทางการ ปรากฏว่าประชากรยิวเพิ่มขึ้นถึง 600,000 คน ซึ่งนับเป็น 1 ใน 3 ของประชากรในดินแดนปาเลสไตน์ทั้งหมด หรือมีการเพิ่มขึ้นของประชากรยิวถึงร้อยละ 725 เลยทีเดียว สัดส่วนของการครอบครองที่ดินก็เปลี่ยนไปมาก อันนำไปสู่ความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อชุมชนอาหรับท้องถิ่น ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายขององค์กรยิวไซออนิสต์ ที่ปฏิเสธการจ้างงานชาวอาหรับปาเลสไตน์
อย่างไรก็ตาม คำประกาศบัลโฟร์ไม่น่าจะมีผลบังคับใช้ในทางกฎหมายได้ด้วยเหตุผลสำคัญ 3 ประการ คือ
ประการแรก คำประกาศบัลโฟร์เป็นข้อความที่มีเนื้อหาตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับการรับประกันถึงเอกราชของชาวอาหรับที่ถูกสัญญาไว้ในการติดต่อระหว่าง เมคมาฮอน กับ ฮุสเซน (McMahon – Hussein Correspondence) ซึ่งเมคมาฮอนเป็นผู้เชื้อเชิญชาวอาหรับให้เข้าเป็นพันธมิตรสู้รบในสงคราม คำประกาศบัลโฟร์จึงเท่ากับเป็นการหักหลังชาวอาหรับแบบซึ่ง ๆ หน้า
ประการที่สอง แถลงการณ์บัลโฟร์ มีการร่างขึ้นภายใต้การปรึกษาหารืออย่างใกล้ชิดกับองค์กรที่มีเป้าหมายหลักในการสถาปนารัฐยิวขึ้นมาในปาเลสไตน์ โดยใช้วิธีการบังคับให้ผู้ที่มิใช่ชาวปาเลสไตน์อพยพย้ายถิ่นเข้ามาอยู่ในประเทศ ซึ่งเป็นการทำลายสิทธิของชาวปาเลสไตน์อย่างใหญ่หลวง และเป็นสิ่งตรงข้ามกับคำสัญญาของมหาอำนาจ (สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และอังกฤษ) ก่อนที่จะได้รับชัยชนะในสงครามโลก ที่ว่าจะยึดมั่นในสิทธิขั้นพื้นฐานในการกำหนดชะตาชีวิตตนเอง (Right to Self Determination) ของประชาชนท้องถิ่นในแต่ละดินแดนที่เป็นอาณานิคมของตน
ประการที่สาม ซึ่งถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งคือ แถลงการณ์บัลโฟร์มีการประกาศใช้ในขณะที่ดินแดนปาเลสไตน์โดยทางนิตินัยแล้วยังคงเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมานอยู่ ดังนั้น อังกฤษจึงไม่มีสิทธิที่จะออกคำประกาศใด ๆ มาบังคับใช้ในดินแดนที่ยังไม่ได้อยู่ในเขตปกครองของตนเอง
ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ แผนการยึดครองดินแดนของขบวนการยิวไซออนิสต์ไม่ใช่ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากชาวยิวทั่วโลก ดังจะเห็นว่าเมื่อแถลงการณ์บัลโฟร์ผ่านการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอังกฤษ คำแถลงการณ์นี้ถูกคัดค้านอย่างดุเดือดโดย Sir Edwin Montagu ซึ่งเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษเชื้อสายยิวที่ประจำอยู่ในอินเดีย
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วแถลงการณ์บัลโฟร์ก็ถูกผนวกเข้าไว้ในระบอบการปกครองแบบอาณัติในปาเลสไตน์ ภายใต้อำนาจการอารักขาดูแลจากจักรวรรดินิยมอังกฤษตามมติที่ออกมาโดยองค์การสันนิบาตชาติ และจากจุดนี้เองที่พัฒนามาจนเป็นประเทศอิสราเอลในปี 1947 จนทำให้ตะวันออกกลางกลายเป็นดินแดนมิคสัญญีอย่างที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
A ball of fire and a plume of smoke rise above buildings in Gaza City as Israeli forces shell the Palestinian enclave, early on May 17, 2021 [Mahmud Hams/AFP]
เมื่อปลายเดือนตุลาคม 2017 นายกรัฐมนตรีปาเลสไตน์ร้องร้องให้อังกฤษออกมาขอโทษกรณีประกาศบัลโฟร์นี้ ขณะที่ประธานาธิบดีปาเลสไตน์กล่าวว่ากำลังเตรียมการที่จะฟ้องรัฐบาลอังกฤษต่อกรณีคำประกาศบัลโฟร์ ที่เป็นต้นเหตุให้ชาวปาเลสไตน์กว่า 700,000 คนต้องกลายเป็นผู้ผลัดถิ่นในปี 1948 อันเนื่องมากจากการขับไล่ชาวปาเลสไตน์ออกจากถิ่นฐานที่รุนแรงของยิวไซออนนิสต์ (อิสราเอล) (https://www.middleeasteye.net/news/uk-rules-out-apology-palestinians-balfour-declaration)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา