ในปี 2013 ขณะที่วงกำลังทัวร์สนับสนุนอัลบั้มชุดแรกของพวกเขา Oshin นักร้องนำ,มือกีต้าร์และคนแต่งเพลงหลัก Zachary Cole Smith ก็ยกเลิกแผนของวงที่จะไปทัวร์ยุโรปโดยให้เหตุผลว่าเขานั้นเริ่มเหนื่อยล้าจนเกินไปและอยากจะเขียนวัตถุดิบสำหรับงานใหม่ของ DIIV "ในฐานะศิลปิน สิ่งที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดสำหรับผมคือการสร้างสรรค์ผลงาน แต่ในตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องรอง เนื่องจากมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำและขับเคลื่อนไปข้างหน้า" ในช่วงแรก Smith แต่งเพลงและบันทึกเสียงร่วมกับ Chet "JR" White อดีตมือเบสของวง Girls ในซานฟรานซิสโก "ผมเขียนเพลงไว้เยอะมากในสถานการณ์แปลกๆที่แตกต่างกัน ปีที่แล้วถือเป็นช่วงที่วุ่นวายที่สุดในชีวิตของผม ได้ออกเดินทางไปในที่ต่างๆ ออกทัวร์และเขียนเพลงในสถานที่ที่ต่างกัน เพลงที่ออกมาก็เลยจะประหลาดหน่อย"
แต่เซสชั่นที่ทำร่วมกับ White นั้นก็ไม่ประสบความสำเร็จ Smith ให้เหตุผลว่า "ผมมีไอเดียเกี่ยวกับวัฒนธรรมของยาเสพติดในซานฟรานซิสโก ผมคิดว่าแรงบันดาลใจจากเรื่องนี้มันจะออกมาเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมแน่ๆ แต่มันก็ไม่เกิดขึ้น เราอยู่ในสตูดิโอและแทนที่จะหยิบกีต้าร์แล้วเล่นเพลงเหล่านั้นออกมา ผมกลับคิดอะไรไม่ออกและยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม"
หลังจากนั้นไม่นาน ในวันที่ 13 ก.ย. 2013 Smith และแฟนสาว Sky Ferreira ถูกจับในข้อหา"มีสิ่งผิดกฏมายในครอบครอง" หลังจากถูกตำรวจค้นรถในขณะที่กำลังเดินทางไป Basilica Music Festival ซึ่ง Smith บอกว่าเหตุการณ์นี้กลายเป็นอิทธิพลของการแต่งเพลงในอัลบั้ม Is the Is Are
หลายเพลงในอัลบั้ม Is the Is Are บันทึกเสียงในเดือน มี.ค. 2015 ที่ Strange Weather Recording Studio และ The Bunker Studio ใน Williamsburg บรู๊คลิน สำหรับการบันทึกเสียงนั้น Smith เล่าว่า "ผมไม่อยากให้ซาวด์มันออกมาเนี้ยบ หรือถูกปรุงแต่งมากเกินไป ผมอยากได้ซาวด์ที่เหมือนคนเล่นจริงๆ ทำกันเองง่ายๆ นั่นคือจุดประสงค์หลักของอัลบั้ม ผมอยากนำเสนอความไม่เพอร์เฟคและความบกพร่องแบบที่มนุษย์เป็น และหวังว่าคนอื่นจะเข้าใจผมมากกว่าจะติดสินผม"
มือกลอง Colby Hewitt นั้นลาออกจากวงในช่วงฤดูใบไม้ผลิเนื่องจากปัญหายาเสพติด มาสเตอร์ของอัลบั้มเสร็จสิ้นในเดือน ก.ค. 2015 Smith ร่วมงานกับสามศิลปินวิช่วลอาร์ทสำหรับปกอัลบั้ม และเขาให้หนึ่งในนั้นเขียนบทกวี 50 บทโดยใช้คำอะไรก็ได้ที่ฟังดูน่าสนใจ "Is the is are" คือประโยคสุดท้ายของบทกวีที่ Smith ชอบ และเขานำมันมาใช้เป็นชื่ออัลบั้ม
หลังจากที่ไม่ประสบความสำเร็จในการบันทึกเสียงกับ White ในช่วงแรก Smith จึงตัดสินใจที่จะโปรดิวซ์งานด้วยตัวเอง "มีโปรดิวเซอร์รุ่นใหม่หลายคนที่สนใจจะโปรดิวซ์ให้วงเรา มันเจ๋งดีนะที่พวกเขาสนใจเรา แต่สุดท้ายด้วยความที่ผมเป็นพวกชอบบงการและผมมีภาพที่ชัดเจนในหัว คนเดียวที่ผมเชื่อใจให้โปรดิวซ์อัลบั้มคือตัวผมเอง"
Smith บอกว่าอัลบั้มนี้ได้แรงบันดาลใจจากประสบการณ์ของเขาตั้งแต่อัลบั้มชุดแล้วปล่อยออกมารวมถึงการถูกจับเพราะมียาเสพติดในครอบครองซึ่งตามมาด้วยความอดทนจากการถูกสื่อมวลชนจับตาดูพฤติกรรมของทั้งเขาและ Ferreira แฟนสาว DIIV ตั้งใจที่จะทำเพลงร็อคในแนวทางใหม่ Smith บอกว่า "เรากำลังทำสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเลือกทั่วไปเมื่อพูดถึงเพลงร็อค แม้ว่าจะมีหลายแนวทางของดนตรีร็อคที่ถูกทำมาแล้ว แต่ผมคิดว่าน่าจะยังมีที่ว่างสำหรับทำอะไรที่น่าสนใจ ซาวด์กีต้าร์ในแบบของ DIIV นั้นยังมีอยู่ แต่เราแค่ขยายขอบเขตของเพลงออกไป"
ในช่วงที่แต่งเพลงในอัลบั้มนี้ Smith บอกว่าอิทธิพลหลักของเขาคือ Elliott Smith และ Royal Trux "ในอัลบั้มชุดแรกเราพยายามปฏิเสธโครงสร้างแบบเพลงป็อบ เราได้อิทธิพลจากวงไซคีเดลิคของเยอรมันอย่าง Kluster, La Düsseldorf, Neu! หรือ Can แต่การได้ฟังงานของ Elliot Smith นั้นพาผมไปหาโครงสร้างแบบเพลงป็อบที่มีท่อน เวิร์ส - คอรัส - พรีคอรัส ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยสนใจมาก่อน นอกจากนี้ผมยังได้แรงบันดาลใจจากอัลบั้ม Accelerator ของ Royal Trux และอัลบั้มแรกของพวกเขาด้วย มันมีบางอย่างที่บ้าคลั่งอยู่ในนั้น