20 พ.ค. 2021 เวลา 10:55 • ยานยนต์
MITSUBISHI ECLIPSE : เปิดตำนานรถคันแรกของ "พอล วอล์คเกอร์" ใน FAST & FURIOUS | MAIN STAND
แม้แฟรนไชส์ภาพยนตร์ FAST & FURIOUS จะมีอายุอานามมาก็ 20 ปี อีกทั้งนับวันยิ่งทวีความ "หลุดโลก" ขึ้นทุกที แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า "รถซิ่ง" ยังคงเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของ "เร็ว..แรงทะลุนรก" ตลอดมา
และถึงบทบาทของ ไบรอัน โอคอนเนอร์ หนึ่งในตัวละครนำจะหายไปหลังจากภาค Fast & Furious 7 สืบเนื่องจากการเสียชีวิตของ พอล วอล์คเกอร์ เมื่อปี 2013 แต่เรื่องราวของเขายังคงเป็นที่จดจำของคอหนัง คนรักรถเสมอ
Main Stand ขอพาทุกท่านไปพบกับเรื่องราวของ Mitsubishi Eclipse "รถคันแรก" ที่ พอล วอล์คเกอร์ ใช้ซิ่งใน Fast & Furious
สปอร์ตญี่ปุ่น จิตวิญญาณอเมริกัน
ก่อนจะไปว่าถึงเรื่องราวบนแผ่นฟิล์ม เรามาทำความรู้จักกับรถรุ่นนี้กันก่อน ...
ในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ แม้ค่ายรถต่าง ๆ จะต้องห่ำหั่นแข่งขันกันชิงยอดขาย ถึงกระนั้น ก็ยังมีพื้นที่ให้กับความร่วมมือ สาเหตุก็เพราะการพัฒนารถยนต์ขึ้นมาสักรุ่น ต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล หากมีพันธมิตรที่คิดในทางเดียวกัน ก็จะลดต้นทุนไปได้มาก
Photo : Mitsubishi Motors North America
Mitsubishi จากประเทศญี่ปุ่นก็ถือเป็นหนึ่งในค่ายรถยนต์ที่คิดเช่นนั้น ทำให้ในยุค 80s พวกเขาตัดสินใจผูกสัมพันธ์กับ Chrysler หนึ่งใน "บิ๊กทรี" 3 ค่ายรถยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกา (อีก 2 ค่ายคือ Ford และ General Motors) กลายเป็นพันธมิตร Diamond-Star Motors หรือ DSM
แน่นอนว่าเมื่อมีความร่วมมือกัน การแชร์สิ่งต่าง ๆ เพื่อพัฒนารถจากแพลตฟอร์มเดียวกันคือสิ่งหนึ่งที่ต้องทำ ที่สุดแล้ว หนึ่งในผลลัพธ์ที่ได้มา คือรถสปอร์ตคอมแพคที่แยกติดแบรนด์ได้ถึง 3 ยี่ห้อ ... ฝั่ง Chrysler เปิดตัวกับ 2 แบรนด์ลูก Eagle และ Plymouth ในชื่อรุ่น Talon และ Laser ตามลำดับ ส่วน Mitsubishi พวกเขาใช้ชื่อม้าแข่งไร้พ่ายที่อังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 18 มาตั้งเป็นชื่อรุ่นว่า Eclipse
Photo : FavCars.com
Mitsubishi Eclipse รวมถึง Eagle Talon และ Plymouth Laser เป็นรถที่เรียกว่า "แฝดสาม" คงไม่ผิดอะไร เมื่อชิ้นส่วนต่าง ๆ แทบจะสลับใส่กันได้ทั้งหมด ที่ต่างแน่ ๆ ก็คงเป็นโลโก้ยี่ห้อและรุ่น เปิดตัวเจเนอเรชั่นแรกเมื่อปี 1989 ใช้เครื่องยนต์ของทาง Mitsubishi ทั้ง 4G37 1.8 ลิตร ไม่มีเทอร์โบ, 4G63 2.0 ลิตร ไม่มีเทอร์โบ และ 4G63T 2.0 ลิตร เทอร์โบ มีทั้งเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ เช่นเดียวกับระบบขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อนสี่ล้อ มากับรูปทรงโฉบเฉี่ยว เฟี้ยวด้วยไฟหน้าป๊อปอัพ กระดกขึ้นลงตามสมัยนิยมยุคนั้น ทว่ามาตรฐานความปลอดภัยที่เปลี่ยนแปลง ทำให้ต้องเปลี่ยนมาใช้ไฟหน้าปกติตอนไมเนอร์เชนจ์
ความสำเร็จในเจเนอเรชั่นแรก ทำให้ทั้ง Mitsubishi และ Chrysler ออกเจเนอเรชั่นที่ 2 ออกมาในปี 1994 แม้คราวนี้จะเหลือแค่แฝดสอง เมื่อ Plymouth Laser ไม่ทำตลาดอีกต่อไป เหลือแค่ Mitsubishi Eclipse กับ Eagle Talon ... โฉมนี้มาพร้อมกับบอดี้ที่ใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อย เส้นสายโค้งมนมากขึ้น และมีตัวถังเปิดประทุนให้เลือก ส่วนเครื่องยนต์มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ตัวท็อป 4G63T 2.0 ลิตร เทอร์โบ ยังอยู่ แต่ตัวกลาง เปลี่ยนเป็น 4G64 2.4 ลิตร ไม่มีเทอร์โบ ซึ่ง Mitsubishi เป็นผู้ผลิต และตัวโลว์ ใช้เครื่อง 420A 2.0 ลิตร ไม่มีเทอร์โบ ของ Chrysler มีทั้งเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ เช่นเดียวกับระบบขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อนสี่ล้อ
Photo : Kelley Blue Book
ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นในเจเนอเรชั่นที่ 3 เมื่อ Chrysler ตัดสินใจปิดตำนานของ Eagle Talon ตลอดจนแบรนด์ Eagle ลง แต่ Mitsubishi ยังคงใช้แพลตฟอร์มรถของ Chrysler ต่อไป ซึ่งการที่พวกเขาใช้แพลตฟอร์มเดียวกับ Chrysler Sebring Coupe และ Dodge Stratus Coupe นี้เอง ทำให้ Mitsubishi Eclipse เจเนอเรชั่นที่ 3 มีขนาดใหญ่โตขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด และมีความเป็น "อเมริกัน" มากขึ้น กล่าวคือใช้เครื่องยนต์ความจุมากกว่าเดิม ... ไม่มีอีกแล้ว 4G63 2.0 ลิตร อันโด่งดัง ค่ายเหลี่ยมเพชรตัดสินใจใช้เครื่อง 4G64 2.4 ลิตร ไม่มีเทอร์โบ กับ 6G72 3.0 ลิตร ไม่มีเทอร์โบ แทน และถึงจะมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ แต่ก็มีแค่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าแบบเดียว
ปี 2005 Mitsubishi เข็นเจเนอเรชั่นที่ 4 ของ Eclipse ออกมา คราวนี้พวกเขาไม่ได้พึ่งพาทาง Chrysler ที่ความสัมพันธ์ระหว่างกันเริ่มร้าวฉาน ก่อนสวมคอนเวิร์สแยกทางอย่างเป็นทางการในปี 2015 อีกต่อไปแล้ว พัฒนารถโดยฝีมือพวกเขาเอง เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ไม่มีเทอร์โบ ยังคงอยู่ แต่เปลี่ยนเป็นรหัส 4G69 ส่วนตัวแรง เปลี่ยนมาใช้เครื่องบล็อกใหญ่ 3.8 ลิตร ไม่มีเทอร์โบ รหัส 6G75 และยังคงมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ กับระบบขับเคลื่อนล้อหน้าแบบเดียวเช่นเดิม
สู่เกมและแผ่นฟิล์ม
นอกจากการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อหลัก ๆ แล้ว สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ช่วยสร้างการรับรู้และความนิยมให้เพิ่มขึ้นได้อย่างแท้จริง คือการนำสินค้าต่าง ๆ ไปโผล่ในเกม รวมถึงภาพยนตร์
Mitsubishi เองก็ทราบดีถึงสิ่งนั้น พวกเขาจึงได้อนุญาตให้รถรุ่นต่าง ๆ ของพวกเขาไปปรากฏในเกมและหนัง โดยคอเกม น่าจะคุ้นเคยกันดีกับ Eclipse เจเนอเรชั่น 2 ที่ปรากฏในวิดีโออินโทรเกม Need For Speed Underground ซึ่งวางขายในปี 2003 ภาคที่ Electronic Arts หรือ EA ค่ายเกมชื่อดังตัดสินใจเปลี่ยนแปลงแนวทาง มาเน้น "รถแต่ง" แทน "รถหรูแรง" ก่อนประสบความสำเร็จล้นหลาม เป็นหนึ่งในภาคที่ขายดีที่สุดตลอดกาล ซึ่งหลายคนยังคิดถึงจนทุกวันนี้
Photo : EA
ขณะเดียวกัน Mitsubishi Eclipse เจเนอเรชั่นที่ 4 ก็เป็นหนึ่งในรถที่มีให้ใช้ในเกม Need For Speed Most Wanted ที่วางขายปี 2005 อีกหนึ่งภาคของ NFS ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด แถมยังเป็นหนึ่งในรถที่ "Big Lou" บอสย่อยของเกม ในฐานะ Blacklist อันดับ 11 ใช้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวในเกม ถือเป็นระลอกสอง ที่ทำให้ Mitsubishi Eclipse ถูกพูดถึงในวงกว้างมากขึ้น เพราะระลอกแรกนั้น คือการปรากฏตัวในแฟรนไชส์ภาพยนตร์รถซิ่งที่โด่งดังที่สุด ... Fast & Furious
คอรถ คอหนัง น่าจะจำกันได้ดีว่า รถคันแรก ๆ ที่ปรากฏตั้งแต่ช่วงต้นเรื่อง The Fast and the Furious ภาคแรกของแฟรนไชส์ Fast & Furious ที่เข้าโรงภาพยนตร์เมื่อปี 2001 คือ Mitsubishi Eclipse เจเนอเรชั่น 2 สีเขียว ที่ ไบรอัน โอคอนเนอร์ หนึ่งในพระเอกของเรื่อง แสดงโดย พอล วอล์คเกอร์ ใช้ทั้งตอนแข่งซิ่งบนถนนหลวงครั้งแรกกับ โดมินิก ทอเรตโต อีกหนึ่งพระเอกที่แสดงโดย วิน ดีเซล รวมถึงตอนที่ ไบรอัน พา ดอม ซิ่งหนีตำรวจ หลังการแข่งขันซึ่ง ไบรอัน แพ้ยับจบลงไม่นาน
Photo : Universal Pictures
แม้ Eclipse สีเขียว จะถูกปิดตำนานใน The Fast and the Furious อย่างรวดเร็ว แต่ Eclipse ก็ยังมีบทบาทใน 2 Fast 2 Furious ภาค 2 ของแฟรนไชส์ที่เข้าโรงฉายเมื่อปี 2003 เมื่อ Eclipse เจเนอเรชั่น 3 สีม่วง ได้เป็นรถคู่ใจของ โรมัน เพียร์ซ เพื่อนซี้ตั้งแต่เด็กของ ไบรอัน ที่แสดงโดย ไทรีส กิ๊บสัน ซึ่งโชคชะตานำพาให้พวกเขาต้องกลับมาร่วมมือกัน ในภารกิจเพื่ออิสรภาพของทั้งคู่เอง
เบื้องหลังเข้าสู่หนังดัง
นั่นคือเรื่องราวเบื้องหน้าที่ Mitsubishi Eclipse ได้ไปปรากฏในแฟรนไชส์ภาพยนตร์ Fast & Furious แต่เรื่องราวเบื้องหลังนั้น ทำไมถึงเลือกใช้รถรุ่นนี้ล่ะ ?
Photo : Fast and Furious Facts
เครก ลีเบอร์แมน ที่ปรึกษาทางเทคนิคใน 2 ภาคแรกของแฟรนไชส์ Fast & Furious เปิดเผยถึงเรื่องดังกล่าวว่า เนื่องจากทุนสร้าง The Fast and the Furious ภาคเปิดตำนานมีเพียง 38 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ต้องเลือกวิธีการ "เช่า" รถซิ่งจากคนเล่นรถ รวมถึงสำนักแต่งต่าง ๆ มาเข้าฉาก โดยหนึ่งในกฎของการเลือกว่าจะใช้รถยี่ห้อและรุ่นใดบ้างคือ ต้องเป็นรถที่หาได้ง่ายในตลาดรถมือสอง เพราะอาจต้องมีการซื้อรถเพิ่ม เพื่อใช้เป็นรถสตันท์ เข้าฉากแอคชั่น
เกณฑ์ดังกล่าว ถูกใช้กับรถของ ไบรอัน โอคอนเนอร์ เช่นกัน และนั่นทำให้ Mitsubishi Eclipse เจเนอเรชั่นที่ 2 เป็นผู้ถูกเลือก เพราะถึง Mitsubishi จะเป็นค่ายรถญี่ปุ่น แต่ Eclipse ก็เป็นรถที่ผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกา อีกทั้งสามารถซื้อหารถมือสองมาทำเป็นรถสตันท์ได้ไม่ยาก ทั้งแบรนด์เหลี่ยมเพชร หรือแม้กระทั่งรถคู่แฝดอย่าง Eagle Talon
Photo : The Fast and the Furious Wiki - Fandom
ทีมผู้สร้าง The Fast and the Furious เช่า Mitsubishi Eclipse คันที่ ไบรอัน ใช้ มาจากคนเล่นรถชื่อ จอห์น ลาปิด ซึ่งเจ้าตัวเพิ่งจะจับรถคันนี้อาบน้ำ เปลี่ยนจากสีเขียวเข้มในตอนที่ซื้อ เป็นสีเงินได้ไม่นานนัก ทว่าการที่ Universal Pictures สตูดิโอผู้สร้าง ต้องการให้รถในเรื่องมีความโดดเด่น (สังเกตจากสีของรถที่นักแสดงหลักแต่ละคนใช้ได้ เพราะนอกจากจะจัดจ้านแล้ว ยังแทบไม่ซ้ำกันเลย) Eclipse คันนี้เลยต้องถูกจับอาบน้ำอีกครั้ง เพื่อสาดสีเขียวสด แบบเดียวกับที่รถจักรยานยนต์ค่าย Kawasaki ใช้
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่อาจจะทำให้แฟน ๆ Fast & Furious ต้องเกาหัวแกรก ๆ มากที่สุดคือ Eclipse ของ ไบรอัน ไม่ได้มาพร้อมกับเครื่อง 4G63T หัวใจดวงเดียวกับที่หนึ่งในตำนานรถซิ่งยุค 90s อย่าง Mitsubishi Lancer Evolution ใช้ เพราะ ลีเบอร์แมน กับ ลาปิด ยืนยันด้วยตัวเองว่า Eclipse คันนี้ เป็นรุ่นโลว์ออปชั่น ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 420A และได้รับการโมดิฟายเพียงเล็กน้อย ไม่มีการเซ็ตเทอร์โบ ส่วนไนตรัส ตัวเพิ่มความแรงแบบเร่งด่วนฉับพลัน ที่คนรักความเร็วหลายคนรู้จักก็จากเรื่องนี้ ติดตั้งหลอก ๆ ไว้เพื่อโชว์เท่านั้น
1
Photo : The Fast and the Furious Wiki - Fandom
ถึงกระนั้น เพื่อความสมจริงตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น ทีมสร้าง The Fast and the Furious จึงได้ทำการซื้อ Mitsubishi Eclipse (และอาจรวมถึง Eagle Talon) เจเนอเรชั่น 2 เพื่อเป็นรถสตันท์ ใช้เข้าฉากต่าง ๆ อีกหลายคัน หนึ่งในนั้น คือรถที่ถูกแก๊งอั้งยี่เวียดนาม นำโดย จอห์นนี ทราน (แสดงโดย ริค ยุน) คู่ปรับของ ดอม กราดยิงจนระเบิดเป็นซาก สั่งลา Eclipse ของไบรอันแต่เพียงเท่านี้
ความยากลำบากของการหารถเข้าฉากในแฟรนไชส์ Fast & Furious แทบจะหมดไปเมื่อมีภาคต่อ เพราะใน 2 Fast 2 Furious ที่เข้าโรงฉายเมื่อปี 2003 นอกจากทุนสร้างจะเพิ่มเป็น 76 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว ทีมผู้สร้างยังได้รับการสนับสนุนจาก Mitsubishi Motors North America ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในแดนลุงแซม ส่งรถมาให้เข้าฉากหลายคัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Mitsubishi Lancer Evolution VII ที่ พอล วอล์คเกอร์ ซึ่งกลับมารับบท ไบรอัน โอคอนเนอร์ อีกครั้งใช้ในเรื่อง เพื่อเป็นการโปรโมทก่อนที่จะส่ง Mitsubishi Lancer Evolution VIII เข้ามาทำตลาด เป็น EVO ตัวแรกที่มีขายในสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ แม้ EVO VII ที่ใช้เข้าฉากในหนังแทบทั้งหมด เป็น Lancer ตัวธรรมดาที่ถูกนำมาตกแต่งเพิ่มเติม โดยมี EVO VII แท้ ๆ แค่คันเดียวก็ตาม
Photo : Universal Pictures
เหตุดังกล่าวนี้ ทำให้ Mitsubishi Eclipse กลับมาโลดแล่นในแฟรนไชส์ Fast & Furious อีกครั้ง กับการที่ Eclipse เปิดประทุน เจเนอเรชั่น 3 ถูกเลือกให้เป็นรถคู่ใจของ โรมัน เพียร์ซ พระรองในเรื่อง แม้จะเกิดความวุ่นวายในเบื้องหลังอยู่บ้าง เมื่อ ไทรีส กิ๊บสัน นักแสดงผู้รับบทดังกล่าว ไม่ถูกใจกับรถสีม่วง ภายในสีเหลือง ที่ทีมสร้างเตรียมไว้อย่างแรง ด้วยเหตุผลที่ว่า "ไม่อยากขับรถสีเดียวกับทีม ลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส" จนต้องส่งรถทุกคันไปเปลี่ยนสีภายในใหม่เป็นสีเงิน แถมต้องเปลี่ยนล้อแม็กใหม่ให้เงาวับตามสไตล์ฮิปฮอปอีกด้วย ซึ่งเรื่องหลังโชคดีหน่อย ตรงที่ ไทรีส รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเรื่องล้อแม็กด้วยตนเอง
1
จุดจบ และกำเนิดใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม
แม้ Mitsubishi Eclipse จะเป็นหนึ่งในรถแห่งความทรงจำของคอหนังและคอเกม ทว่าในโลกแห่งความจริง มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น ...
สาเหตุส่วนหนึ่ง มาจากปัญหาภายในของค่ายเหลี่ยมเพชรเอง ทั้งเรื่องการเงิน และปัญหาของรถรุ่นต่าง ๆ ซึ่งรวมถึง Eclipse ด้วย ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคหดหาย ยอดขายค่อย ๆ ตกลง ที่สุดแล้ว Mitsubishi ก็ตัดสินใจยุติสายพานการผลิตรุ่น Eclipse เมื่อปี 2011 ปิดตำนานรถสปอร์ตซามูไรจิตวิญญาณคาวบอยไปด้วยยอดขายรวมทั้ง 4 เจเนอเรชั่น 906,876 คัน
Photo : Mitsubishi Motors North America
และแม้ทาง Mitsubishi จะตัดสินใจคืนชีพชื่อ Eclipse กลับมาอีกครั้งเมื่อปี 2017 แต่กลับยิ่งทำให้คนรักรถเกาหัวแกรก ๆ หนักกว่าเดิม เพราะรูปโฉมของมัน ไม่ใช่รถสปอร์ตคอมแพค 2 ประตูอีกต่อไป แต่กลับเป็นรถคอมแพคครอสโอเวอร์ 5 ประตู ในชื่อ Eclipse Cross ตามนโยบายของค่ายเหลี่ยมเพชร ที่เน้นทำการตลาดรถครอสโอเวอร์ และรถเล็ก ซับคอมแพค เช่นทุกวันนี้
ไม่ว่าจะปัจจุบันจะเป็นอย่างไร แต่หลายครั้ง อดีตคือความทรงจำอันแสนหวานที่ทุกคนคิดถึง และสำหรับคอรถ คอเกม คอหนัง Mitsubishi Eclipse น่าจะเป็นหนึ่งในนั้น จากรถที่ พอล วอล์คเกอร์ ใช้ซิ่งใน Fast & Furious นั่นเอง
Photo : Bring a Trailer
ปัจจุบัน ราคามือสองของ Mitsubishi Eclipse เจเนอเรชั่น 2 รุ่นเดียวกับใน The Fast and the Furious ที่ผู้เขียนสำรวจผ่านเว็บไซต์รถมือสอง ตลอดจน Facebook Marketplace ถือว่าพอคบหาได้ เพราะมีการประกาศขายตั้งแต่ราคา 500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 16,000 บาท ถึง 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 472,000 บาท ขึ้นกับสภาพและของแต่ง เรียกได้ว่า การตามรอย ไบรอัน โอคอนเนอร์ ไม่ถึงกับยากเกินไปนัก ... หากคุณมีถิ่นฐานในประเทศสหรัฐอเมริกา
สาเหตุนั้น ต้องไม่ลืมว่า Mitsubishi Eclipse คือรถที่ผลิตมาสำหรับตลาดอเมริกันโดยเฉพาะ ทำให้มีแต่รถพวงมาลัยซ้าย (แม้มีการรถส่งมาขายในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งใช้รถพวงมาลัยขวาเช่นเดียวกับไทย แต่ทาง Mitsubishi นำรถพวงมาลัยซ้ายเข้ามาขาย ไม่ได้มีการเปิดไลน์พวงมาลัยขวาเป็นกิจจะลักษณะแต่อย่างใด) และด้วยกฎหมายของประเทศไทย ที่ห้ามนำเข้ารถมือสองแล้วในปัจจุบัน Eclipse ในแดนสยาม จึงหายากระดับ "Ultra Rare" เลยทีเดียว
Photo : The Fast and the Furious Wiki - Fandom
แต่ถึงกระนั้น Mitsubishi Eclipse ก็มีให้พบเห็นในประเทศไทยเช่นกัน แม้ไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด แถมยังมีอย่างน้อยหนึ่งคัน ที่ตกแต่งในแบบเดียวกับที่ พอล วอล์คเกอร์ ขับใน Fast & Furious ภาคแรก อีกด้วย ทว่าแรร์ไอเทมแบบนี้ เชื่อเถอะว่าเจ้าของไม่ปล่อยมือง่าย ๆ แน่นอน
หรือว่าจะต้อง "ย้ายประเทศกันเถอะ" เพื่อสานฝันการตามรอย พอล วอล์คเกอร์ แบบใน Fast & Furious ให้เป็นจริงกันหนอ ...
บทความโดย เจษฎา บุญประสม
แหล่งอ้างอิง :
โฆษณา