20 พ.ค. 2021 เวลา 16:04 • หนังสือ
#สรุปหนังสือ 𝗧𝗵𝗲 𝗪𝗵𝘆 𝗖𝗮𝗳𝗲́ : คาเฟ่สำหรับคนหลงทาง
1. หนังสือเล่มบางๆที่มีดาเมจค่อนข้างรุนแรง อ่านแล้วเหมือนมีคนมาบอกว่า “เดี๋ยวๆๆๆๆ เดี๋ยวก่อนนะ นี่คุณเกิดมาเพื่ออะไร รู้ตัวไหมเนี่ย แล้วมัวทำอะไรอยู่ คุณควรกลับไปใช้ชีวิตเดี๋ยวนี้ เวลามีน้อยแล้วนะ” อะไรประมาณนี้ เล่มนี้มีส่วนหนึ่งที่คล้ายกับหนังสือ Who Moved My Cheese ที่เน้นการทัชกับความรู้สึกและตรงกับปัญหาที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ พร้อมทั้งเข้าไปเปลี่ยนกรอบความคิดได้ถึงก้นบึ้งเลยทีเดียว ชอบส่วนหนึ่งของหนังสือที่กล่าวว่า “เมื่อคุณทราบเป้าหมายของชีวิต คุณก็จะใช้ชีวิตไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” เล่มนี้ 10/10 แบบไม่คิดมาก สำหรับสายจิตวิทยาไม่ควรพลาดครับ
——————————————————
2. หนังสือเล่าถึง “จอห์น” ที่อยู่ๆวันหนึ่งเกิดตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ชีวิตไม่มีอะไรมากกว่าไปกว่าการนั่งทำงานในคอกสี่เหลี่ยม 12 ชม. เพื่อจะได้เลื่อนตำแหน่งแล้วหรือ ?” วันหนึ่งในช่วงพักร้อนขณะที่กำลังขับรถกินลมชมวิวไปเรื่อยๆบนถนนทางหลวงเผอิญเกิดอุบัติเหตุข้างหน้าทำให้เค้าไม่สามารถขับต่อไปได้ เค้าจึงต้องย้อนกลับทางเดิม ด้วยเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยทำให้เค้าหลงเข้าไปในถนนที่เปล่าเปลี่ยว ผ่านแยกแล้วแยกเล่า เค้าก็ยังคงเจอแต่ถนนที่เวิ้งว้างว้าง แต่สุดท้ายโชคดีที่เค้าพบคาเฟ่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ห่างไกลแห่งนี้ คาเฟ่สุดแปลก ที่ไม่ขายเพียงอาหาร แต่เสิร์ฟคำถามทางจิตวิญญาณให้จอห์นได้อย่างเต็มอิ่ม
3. เมื่อคุณถามตัวเองว่า “#คุณมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ?” ยิ่งคุณจริงจังกับคำถามนี้เท่าไร คุณจะยิ่งถูกสะกดให้หาคำตอบอยู่ตลอด ไม่ว่าจะหลับหรือตื่น หรือเจอเหตุการณ์ต่างๆมากมาย สมองจะหาคำตอบให้คุณโดยบางทีคุณไม่รู้ตัว แต่แล้วเมื่อคุณได้คำตอบ คุณจะใช้ชีวิตที่ต่างออกไป คุณจะทำในสิ่งที่คุณต้องการอย่างแท้จริง ซึ่งตอบสนองการมาที่นี่ของคุณ คุณจะรู้ว่าสิ่งใดสอดคล้องกับสิ่งที่คุณเกิดมาและสิ่งใดทำให้คุณเบนห่างจากเป้าหมาย หนทางที่คุณจะเลือกเดินอาจมีเป็นสิบเป็นร้อย #แต่สุดท้ายมันจะลู่เข้าสู่เป้าหมายที่คุณต้องการ
1
——————————————————
4. เมื่อคุณรู้เป้าหมายของชีวิตแล้ว ไม่สำคัญว่ามันจะยากหรือต้องมีปัจจัยร้อยแปดพันเก้าเพื่อให้บรรลุ ไม่ว่ามันจะต้องใช้ประสบการณ์ ความรู้ คอนเนคชั่น การเดินทาง กิจกรรมหรือทรัพยากรอีกมากมาย โปรดอย่ากังวลไปขอเพียงเรารู้ว่าเราต้องการไปที่ใด เดี๋ยวเจตจำนงนั้นจะพาเราไปเอง
5. ทุกๆวันเราใช้เวลาไปกับสิ่งต่างๆมากมายกับผู้คน กิจกรรม ข่าวสารต่างๆ ซึ่งไม่ได้สอดคล้องกับเป้าหมายชีวิต ไม่ต่างกับการว่ายน้ำตลอดเวลาโดยไม่ดูกระแสน้ำ สิ่งเร้าที่ดึงเราออกจากเป้าหมายคือ กระแสน้ำที่พัดเราถอยห่าง แต่เรากลับใช้เวลาและพลังงานทั้งหมดไปกับการว่ายทวนกระแสนั้น ข้อเสียของการว่ายน้ำตลอดเวลาคือ ทั้งพลังงานและเวลาของเราจะหมดลงเรื่อยๆ เมื่อถึงโอกาสที่กระแสน้ำจะไหลไปในทางที่ตรงกับเป้าหมาย เราจะมีแรงและเวลาเหลือน้อยจนไม่สามารถผลักดันตัวเองไปข้างหน้าได้ดีอย่างที่มันจะเป็น จะดีกว่าไหมถ้าจะยอมให้สิ่งเร้าพัดเราถอยหลังบ้าง และเก็บแรงไว้กับสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ ในเล่มยกตัวอย่างเรื่อง “เต่าตนุ” ซึ่งเป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง
——————————————————
6. ในสังคมปัจจุบัน ผู้คนส่วนใหญ่ต่างทนทำงานที่ตนไม่ชอบ เพื่อให้มีเงินเก็บหรือทรัพย์สินมากพอ เพื่อที่บั้นปลายจะได้ใช้ชีวิตตามที่เราอยากเป็น อยากทำ ความหวังและภาพฝันหล่อเลี้ยงให้มีแรงผลักดันไปข้างหน้า แต่สิ่งเหล่านี้หาใช่ความจริงไม่ ความพอใจนั้นเกิดขึ้นในภาพของอนาคต แต่กับปัจจุบันล่ะ เรากลับทนอยู่กับความจืดชืด ไร้สีสัน นี่เป็นเหตุให้เราทุกคนกลัวตาย อาจไม่ใช่กลัวความเจ็บปวดจากความตาย แต่มันคือการเสียใจที่ยังไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการจริงๆเลย ดังนั้นการเตรียมตัวโดยใช้เวลามากมายเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตดั่งใจฝันนั้นอาจไม่ใช่ทางออกของการมีชีวิตที่เปี่ยมความหมาย (มีความเสี่ยงมากที่ภาพฝันจะไม่เกิดขึ้น) จะดีกว่าไหมถ้าเราได้ทำสิ่งที่เรารักตั้งแต่วันนี้เลย แม้จะเล็กๆน้อยๆก็ตาม
3
——————————————————
 
7. เราทุกคนสามารถจินตนาการและรับรู้ถึงความรู้สึกแห่งจินตนาการนั้นได้ ความสามารถนี้ทำให้เรามีภาพฝัน เป้าหมาย และมีเจตจำนงร่วมกันในระดับมหภาค แต่หารู้ไม่ว่าเหล่านี้มีข้อเสียที่น่ากลัวเป็นเงาตามตัว เพราะไม่เพียงแต่เราจะจินตนาการเองได้ #เรายังถูกทำให้จินตนาการได้ด้วย พูดง่ายๆคือ #เราถูกโน้มน้าวให้จินตนาการถึงภาพฝันต่างๆได้ โดยที่เราไม่ได้คิดเองแต่เป็นการชักจูงจากผู้อื่น นั่นก็คือ #การโฆษณา
การโฆษณาเป็นภัยมืดที่คอยดูดกลืนความพึงพอใจของเราไปโดยที่เราไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย โฆษณาเปลี่ยนไม้บรรทัดแห่งความสุขเราไปจนเราแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นโฆษณาอะไรเป็นความจริง
คุณจะมีความสุขมากถ้าคุณได้ขับรถหรูจากยุโรป คุณจะพอใจสุดๆถ้าคุณได้อยู่คอนโดหรูใจกลางเมืองติดรถไฟฟ้า คุณจะเปิดประสบการณ์ได้เหนือใครเมื่อคุณได้ไปเที่ยวต่างประเทศที่มีวิวทิวทัศน์สวยงามระดับโลก คุณจะเท่มากๆถ้าได้ถือกระเป๋าใบนี้ไปงานสังคม คุณจะปลอดภัยสุดๆเมื่ออยู่บ้านโครงการเมกะโปรเจคที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัย 3 ชั้น คุณจะมีผิวงามออร่า เปล่งปลั่ง จนเพื่อนคุณต้องอิจฉาเมื่อคุณใช้ผลิตภัณฑ์นู่นนี่นั่น บลาๆๆ
คำถามคือ ถ้าคุณไม่ได้ใช้ ไม่ได้ซื้อ ไม่ได้เป็นเจ้าของสิ่งเหล่านั้นล่ะ ผลก็คือสมองคุณก็จะเปรียบเทียบประมวลผลว่า “#คุณยังมีความสุขไม่ถึงที่สุด” โป๊ะเชะ ความพอใจในชีวิตคุณก็จะลดลงทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ปั่นจักรยานก็แฮปปี้มากๆแล้ว แต่เจอโฆษณามอเตอร์ไซค์สุดคูล คุณก็หมดความสุขกับจักรยานคันโปรดของคุณเสียแล้ว
วงจรยังไม่จบแค่นั้น ความเข้าใจผิดอย่างรุนแรง (ต้องบอกก่อนว่ามันเกิดขึ้นโดยเราไม่รู้ตัว) เรามักหลงยึดเอาภาพจินตนาการที่ได้จากการโฆษณานั้นเป็นเป้าหมายชีวิตของเรา หมายความว่า “เป้าหมายชีวิตของคุณ ไม่ได้กำหนดจากคุณ และบิดเบี้ยวจากตัวตนของคุณไปมากพอสมควร”
จากนั้นเราก็ยอมทำงานที่ไม่ชอบ เพื่อนำเงินมาซื้อเป้าหมายชีวิตที่เราไม่ได้คิดขึ้นเอง เราใช้พลังและเวลาส่วนใหญ่กับการสร้างเงิน แต่ใช้เวลาที่เหลือเล็กน้อยกับเป้าหมายของชีวิต(ซึ่งไม่ได้สร้างเองอีกด้วย) ถึงตอนนี้ทุกอย่างดูบิดเบี้ยวไปหมดจนต้องร้องว่า “กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง”
ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะปิดหูปิดตา ปิดกั้นโฆษณาทุกช่องทางเพราะคงเป็นไปไม่ได้ ในหนังสือให้ข้อสรุปว่า “แค่เพียงรู้ว่าความพึงพอใจที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากเราตัดสินว่ามันน่าพึงพอใจด้วยตัวเราเอง ไม่ใช่เพราะคนอื่นมาบอก”
8. แปลกที่ว่าเมื่อเรามีเป้าหมาย ทุกสิ่งทุกอย่างมักจะเป็นใจ ให้เส้นทางนั้นลู่เข้าสู่สิ่งที่เราต้องการจนดูเหมือนเป็นเรื่องพิศวง แต่แท้จริงแล้วก็เป็นเรื่องที่อธิบายได้ เมื่อทุกคนรู้ว่าเราต้องการอะไร เห็นความหลงใหลและความกระตือรือร้นของเรา เค้าเหล่านั้นจะสัมผัสได้ถึงเป้าหมายที่น่าตื่นเต้นเช่นเดียวกัน และเปิดใจเข้ามาช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ
9. เราทุกคนเป็นผู้ควบคุมความพึงพอใจของตัวเอง เหตุการณ์มากมายในชีวิตมักผลักให้คุณตกอยู่ในจุดที่คุณต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่คุณเผชิญ เร้าให้เกิดความตึงเครียด ยิ่งคุณปล่อยให้ปัจจัยภายนอกกำหนดความพอใจเราได้มากเท่าไรเราจะยิ่งมีความพึงพอใจในชีวิตน้อยลงเท่านั้น หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้ว #เราเป็นคนเลือกความพึงพอใจเอง ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่เหตุการณ์ภายนอก เราเลือกสิ่งแวดล้อมเองได้ เลือกทางเดินเองได้ เลือกมุมมองได้ และเลือกที่จะมีความสุขได้ เรามีอำนาจในการควบคุมอย่างสมบูรณ์ เพียงอย่าปล่อยให้ใครมาพรากมันไป
1
10. เรามักคิดว่าชีวิตเรานี่ช่างยิ่งใหญ่ ปัญหาที่เราเจอช่างยิ่งใหญ่ ความยากลำบากช่างหนักหนาสาหัส เรากังวลทุกครั้งว่าจะเลือกทางผิด ถ้าเลือกทางผิดแล้วเราจะทำอย่างไร ? การมีชีวิตนั้นช่างท้าทายและน่าหวั่นวิตกอย่างยิ่ง แต่ถ้าเรามองให้กว้างกว่านั้นมากๆ ชีวิตของเราเฉลี่ย 80 ปี เมื่อเทียบกับอายุโลกของเราประมาณ 4500 ล้านปี เมื่อปรับสัดส่วนให้โลกของเรามีอายุ 260 วันเชื่อไหมว่าเรามีเวลาบนโลกแค่เพียงช่วงการกระพริบตาครั้งเดียวเท่านั้น ! เวลาชีวิตเราสั้นมากๆ ความผิดพลาดที่เราหวั่นกลัว ปัญหาที่เราหวั่นเกรง เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวที่เล็กมากๆของความจริงที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้
1
เล่มนี้ได้มุมมองที่ดีมากๆอยากให้ทุกคนได้อ่านครับ 😊
//พะโล้
#เรื่องย่อของหนังสือเล่มเยี่ยม
โฆษณา